![]() |
|
นิทานชาดก นิทานนานาชาติ นิทานเด็ก |
อาปัณณกชาดก[อา-ปัน-นะ-กะ-ชา-ดก]ชาดก..ว่าด้วยข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันความผิดพลาด |
หัวข้อประจำเรื่อง |
เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
วัน
ครั้น
ต่อมา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อมไม่ไปอบาย คือ ไม่ไปเกิดในนรก เป็นต้น
- ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อมไปบังเกิดในเทวโลกได้เสวยทิพยสมบัติอย่างแน่นอน
ฉะนั้น การ
พระสัมมาสัมพุทธ
" แม้
ใน กาล ก่อน มนุษย์ ทั้ง หลาย ถือ เอา สิ่ง ที่ ไม่ ใช่ สรณะ ว่า เป็น สรณะ โดย การ ถือ เอา ด้วย การ คาด คะเน โดย การ ถือ เอา ผิด ๆ จึง ตก เป็น ภักษาหาร ของ ยักษ์ ใน ทาง กันดาร ถึง ความ พินาศ อย่าง ใหญ่ หลวง ส่วน เหล่า มนุษย์ ผู้ ถือ การ ยึด ถือ ชอบ ธรรม คือ ยึด ถือ เหตุ ผล ยึด ถือ ไม่ ผิด ได้ ถึง ความ สวัสดี ใน ทาง กันดาร" ครั้น
ตรัส แล้ว ก็ นิ่ง เสีย อนาถบิณฑิก เศรษฐี จึง กราบ ทูล อาราธนา พระ พุทธ องค์ จึง ตรัส เล่า อปัณณก ชาดก มี ความ โดย ย่อ ว่า เนื้อหาชาดก
ครั้ง
หนึ่ง ใน อดีตกาล ณ เมือง พาราณสี มี พ่อค้า ใหญ่ 2 คน เป็น เพื่อน กัน ต่าง นำ สิน ค้า บรรทุก เกวียน ไป ขาย ยัง ต่าง ถิ่น เมือง ไกล เป็น ประจำ แต่ นิสัย ใจ คอ ของ พ่อ ค้า ทั้ง สอง คน นี้ แตก ต่าง กัน ราว ฟ้า กับ ดิน พ่อค้า
คน หนึ่ง เป็น คน เจ้า อารมณ์ หู เบา เชื่อ คน ง่าย และ ขาด ความ สังเกต จึง มัก ตัด สิน ใจ ผิด พลาด เป็น ประจำ ส่วน พ่อ ค้า อีก คน หนึ่ง เป็น คน มี สติ ปัญญา มี ความ รู้ ดี และ ช่าง สังเกต ที่ สำคัญ ที่ สุด คือ ไม่ หู เบา ไม่ เชื่อ คน ง่าย พ่อ
ค้า ช่าง สังเกต นี้ มี หลัก ธรรม ประจำ ใจ ที่ เรียก ว่า อปัณณกธรรม แปล ว่า ข้อ ปฏิบัติ ที่ ไม่ ผิด พลาด 3 ประการ คือ
- เตรียม
ป้อง ในกัน ความ ลุ่ม หลง เมา มัว การ ดู รูป สวย ๆ ใน การ ฟัง เสียง ไพเราะ ใน การ สูด กลิ่นหอมหวน ใน การ ลิ้ม รส ใน การ สัมผัส ใน อารมณ์ น่า ใคร่ อัน เป็น เหตุ ให้ ต้อง เสีย งาน โดย มี อินทรียสังวร คือ สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ของ ตน เมื่อ ได้ เห็น ได้ ฟัง ได้ กลิ่น ได้ ลิ้ม รส ได้ แตะ ต้อง ได้ นึก คิด จึง มี สติ มั่น ไม่ ยิน ดี ยิน ร้าย ไม่ ประมาท ว่า สิ่ง เหล่า นั้น มี โทษ เพียง เล็ก น้อย มี ความ ตื่น ตัว รู้ จัก ระแวง ภัย จาก วัตถุ และ อารมณ์ น่า ใคร่ และ รู้ จัก ระวัง ป้อง กัน ภัย ที่ จะ มา ถึง เสมือน กระต่าย ขุด โพรง อาศัย อยู่ เพียง โพรง เดียว แต่ ขุด ปล่อง เตรียม ทาง หนี ที ไล่ ไว้ ถึง 5 ปล่อง - เตรียม
ป้อง โดยกัน ปัญหา เรื่อง ปาก ท้อง เฉพาะ เรื่อง อาหาร การ กิน (ถ้า กิน น้อย ไป ก็ ไม่ มี แรง ถ้า กิน มาก ไป ก็ ง่วง เหงา หาว นอน จิต ใจ ฟุ้ง ซ่าน ถ้า กิน ไม่ เป็น เวลา น้ำ ย่อย ก็ กัด กระเพาะ ลำ ไส้ ถ้า กิน สิ่ง มึน เมา ให้ โทษ ก็ เสีย สุข ภาพ) โดย มี โภชเนมัตตัญญุตา คือ รู้ จัก ประมาณ ใน การ กิน อาหาร ได้ แก่ กิน แต่ พอ ดี ไม่ มาก ไม่ น้อย เกิน ไป เลือก กิน แต่ ของ ที่ เป็น ประ โยชน์ แก่ ร่าง กาย เท่า นั้น ใน การ รับ ประทาน อาหาร เมื่อ รู้ สึก ว่า อีก 4-5 คำ จะ อิ่ม ให้ หยุด เสีย แล้ว ดื่ม น้ำ แทน สัก แก้ว หนึ่ง ก็ จะ อิ่ม พอ ดี - เตรียม
ป้อง ไม่กัน ปัญหา เกียจ คร้าน สัน หลัง ยาว เห็น แก่ ความ สุข ใน การ นอน โดย ประกอบ ชาคริยานุโยค คือ ฝึก สติ ให้ เป็น คน ตื่น ตัว อยู่ เสมอ เช่น ระลึก ถึง หน้า ที่ การ งาน ที่ รับ ผิด ชอบ ตลอด เวลา ออก กำลัง แต่ พอ ดี พัก ผ่อน ตาม เวลา อัน ควร สวด มนต์ ภาวนา รักษา ศีล เป็น กิจ วัตร นอก
จาก ตน เอง จะ ตั้ง อยู่ ในอปั ณ ณก ธรรม ทั้ง 3 ประการ นี้ แล้ว พ่อ ค้า ช่าง สังเกต ยัง อบ รม บริวาร ทั้ง 500 คน ของ ตน ให้ ปฏิบัติ ตาม อีก ด้วย อยู่
มา คราว หนึ่ง พ่อ ค้า ทั้ง สอง คน ต่าง คิด จะ เดิน ทาง ข้าม ทะเล ทราย ซึ่ง กันดาร มาก ไป ค้า ขาย ยัง เมือง เดียว แต่ ไม่ อาจ ไป พร้อม กัน ได้ เพราะ อาหาร น้ำ และ หญ้า ระหว่าง ทาง จะ ขาด แคลน ไม่ เพียง พอ สำหรับ คน และ โค พ่อค้าหูเบาคิดว่าตนควรจะออกเดินทางไปก่อน ด้วยเหตุผลว่า
- หนทางยังราบเรียบ ไม่ถูกเหยียบย่ำให้แตกเป็นฝุ่น
- หญ้าเลี้ยงโคก็มีเต็มที่ ยังไม่มีใครแตะต้อง
- พืชผักผลไม้ก็ยังบริบูรณ์อยู่ ทั้งสองข้างทาง
- น้ำตามทางยังใสสะอาดอยู่ น่าดื่มกิน
- สามารถตั้งราคาสินค้าขายได้ตาม ใจชอบ
ส่วนพ่อค้าช่างสังเกตคิดว่าควรจะออกเดินทางไปทีหลัง ด้วยเหตุผลว่า
- หนทางที่ขรุขระจะราบเรียบสม่ำเสมอ เพราะคนชุดก่อนถากถางไว้แล้ว
- หญ้าเลี้ยงโคจะงอกขึ้นใหม่ อ่อนกำลังดี
- พืชผักซึ่งคนชุดแรกเด็ดกินไป จะแตกยอดขึ้นมาใหม่อ่อนกำลังน่ารับประทาน
- ในบริเวณไม่มีน้ำ คนชุดแรกก็จะต้องขุดบ่อน้ำเอาไว้แล้ว
- การตั้งราคาสินค้าเป็นการยาก ถ้าหากขายสินค้าตามที่คนชุดแรกตั้งไว้ย่อมสะดวกกว่า
พ่อ
ค้า หู เบา นำ บริวาร 500 คน พร้อม ด้วย เกวียน 500 เล่ม บรรทุก สิน ค้า ไป เต็ม ที่ เตรียม น้ำ ใส่ ตุ่มใหญ่ ๆ บรรทุก เกวียน ไป ด้วย กะ ให้ พอ อาบ กิน ตลอด ระยะ ทาง กันดาร 60 โยชน์ เดิน ทาง ไป จน เข้า เขต ทะเล ทราย จน ถึง เขต แดน ยักษ์ กิน คน พวก ยักษ์ กลุ่ม หนึ่ง ประมาณ 20 ตน จำแลงกาย เป็น คน นั่ง รถ เทียม ด้วย โค ขาว ปลอด ประดับ ประดา อย่าง สวย งาม สวน ทาง มา โคลน ติด ล้อ หนา เตอะ เหมือน เพิ่ง เดิน ทาง ฝ่า สาย ฝน ที่ ตก หนัก มา ใหม่ ๆ แต่ ละ คน ท่า ทาง แข็ง กระด้าง กำแหง หาญ ยืน บ้าง นั่ง บ้าง บน รถ เคี้ยว กิน เหง้า บัว อย่าง เอร็ดอร่อย แสดง ว่า ทาง ที่ พวก เขา ผ่าน มา นั้น มี ห้วย หนอง คลอง บึง เต็ม ไป หมด ยักษ์
แปลง นั้น แสร้ง พูด หลอก พ่อ ค้า หู เบา ให้ ตาย ใจ ว่า หน ทาง ที่ ผ่าน มา นั้น ฝน ตก หนัก น้ำ ท่า อุดม สมบูรณ์ ไม่ จำ เป็น ต้อง ขน ตุ่ม น้ำ ไป ให้ หนัก เปล่า แล้ว ขับ เกวียน ผ่าน ไป พอ ลับ ตา ก็ กลับ เป็น ยักษ์ กิน คน ย้อน ติด ตาม หลัง ขบวน เกวียน ของ พ่อ ค้า พ่อ
ค้า หู เบา เห็น แก่ ความ สะดวก สบาย ไม่ คิด หน้า คิด หลัง ให้ รอบคอบ สั่ง บริวาร ให้ เท น้ำ ใน ตุ่ม ทิ้ง เสีย หวัง จะ ได้ น้ำ บ่อ หน้า แต่ เดิน ทาง ไป ตลอด วัน จะ หา น้ำ สัก หยด ก็ ไม่ พบ จึง รู้ ว่า ถูก หลอก เสีย แล้ว ครั้น ตก เย็น ก็ อ่อน เปลี้ย เพลีย แรง หิว โหย อด ทั้ง ข้าว และ น้ำ ทั้ง คน และ โค ก็ สลบ ไสล กลาย เป็น อาหาร อัน โอชะ ของ ยักษ์ กิน คน ใน ค่ำ คืน นั้น เอง เหลือ ไว้ แต่ เกวียน บรรทุก สิน ค้า จอด อยู่ กลาง ทะเล ทราย อัน เวิ้ง ว้าง เท่า นั้น ต่อ
มา ประมาณ เดือน ครึ่ง พ่อ ค้า ช่าง สังเกต ก็ ออก เดิน ทาง พร้อม ด้วย บริวาร 500 คน ขับ เกวียน 500 เล่ม ตาม มา อย่าง ระ มัด ระวัง ค่ำ ที่ ไหน ก็ พัก ที่ นั่น ก่อน นอน ก็ จัด ขบวน เกวียน ให้ เรียบ ร้อย และ ตั้ง เวร ยาม คอย ป้อง กัน รักษา สิน ค้า อย่าง รัด กุม จน กระทั่ง ล่วง เข้า เขต ทะเล ทราย พ่อ ค้า ช่าง สังเกต ก็ เรียก ประชุม บริวาร ทั้ง หมด ให้ โอวาท แก่ คน เหล่า นั้น ให้ ตั้ง อยู่ ใน ความ ไม่ ประมาท ย้ำ ให้ ถือ ปฏิบัติอปัณณก ธรรม ทั้ง 3 ประการ อย่าง เคร่งครัด คือ มี อินทรีย สังวรโภชเนมัตตัญญุ ตา และ ชาคริยานุโยค แล้ว ตั้งกฏ ข้อ บังคับ ขึ้น เป็น หลัก ปฏิบัติ ชั่ว คราว 3 ข้อ คือ
- ให้ทุกคนใช้น้ำอย่างประหยัด
- ห้ามรับประทานพืชผักผลไม้ประหลาด ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นการป้องกัน ไม่ให้หลงกินพันธุ์ไม้ มีพิษ
- ให้ช่วยกันสังเกตธรรมชาติ และความเคลื่อนไหวผิดปกติต่าง ๆ ตลอดทาง ไม่เห็นแก่พักผ่อน หลับนอน
เมื่อ
เดิน ทาง ข้าม ทะเล ทราย มา ได้ ครึ่ง ทาง ยักษ์ กิน คน ก็ แสดง ตน เป็น คน ขับ เกวียน สวน ทาง มา และ ทำ อุบาย เช่น เดิมพ่อ ค้า ช่าง สังเกต พอ เห็น ก็ จับ พิรุธ ได้ ทัน ที ว่า
- บุคคลเหล่านี้มีท่าทางแข็งกร้าวห้าวหาญผิดมนุษย์
- บุคคลเหล่านี้มีนัยน์ตาแดงเหมือนคนโกรธจัด ผิดมนุษย์
- บุคคลเหล่านี้ แม้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดด ก็ไม่มีเงาปรากฏ ผิดมนุษย์
พ่อค้าช่างสังเกตเชื่อว่า กลุ่ม
บุคคล ประหลาด ที่ สวน ทาง มา นี้ ต้อง ไม่ ใช่ มนุษย์ แน่ นอน คง จะ เป็น ยักษ์ จำ แล งมา ทำ อุบาย หลอก ลวง จึง ประชุม ให้ โอวาท แก่ บริวาร ทั้ง 500 คน ชี้ แจง ให้ ทราบ ถึง ธรรม ชาติ ของ ฝน ตก ว่า
- เมื่อ
ฝน ตก ลม ฝน อัน เย็น ชุ่ม ชื่น จะ ต้อง พัด ครอบ คลุม ไป เป็น ระยะ ทาง 3 โยชน์ แต่ พวก ตน มา ใกล้ บริเวณ ที่ ว่า ฝน ตก แล้ว ก็ ยัง มิ ได้ ต้อง ลม นั้น เลย - เมื่อ
ฝน ตก ฟ้า ย่อม แลบ แปลบ ปลาบ แล เห็น ได้ ใน ระยะ ทาง 5-6 โยชน์ แต่ ก็ ยัง ไม่ เคย เห็น สาย ฟ้า แลบ สัก แปลบ เดียว - เมื่อ
ฝน ตก เมฆ ฝน ดำ ครึ้ม ย่อม ปรากฏ ให้ เห็น ได้ ใน ระยะ ทาง 3 โยชน์ แต่ ก็ ยัง ไม่ เคย เห็น เมฆ แม้ แต่ ก้อน เดียว - เมื่อ
ฝน ตก ฟ้า ย่อม ร้อง ครืน ๆ ไป ไกล ได้ ยิน ใน ระยะ ทาง 2 โยชน์ แต่ ก็ ยัง ไม่ เคย ได้ ยิน เสียง ฟ้า ร้อง สัก ครืน เดียว ครั้น
ได้ ชี้ แจง ให้ บริวาร ทราบ ดัง นี้ แล้ว จึง กำชับ ให้ ทุก คน ใช้ น้ำ อย่าง ประ หยัด ยิ่ง ขึ้น เร่ง ขับ เกวียน ไป เย็น วัน นั้น เอง ก็ เดิน ทาง ไป ถึง บริเวณ ที่ กอง เกวียน ของ พ่อ ค้า หู เบา จอด สงบ อยู่ ราย รอบ ด้วย กอง กระดูก ของ คน และ โค ที่ ยักษ์ กิน ทิ้ง ไว้ พ่อ ค้า ช่าง สังเกต ฝึก ปฏิบัติอปั ณ ณก ธรรม มา เป็น ปกติ วิสัย จึง ไม่ หวาด หวั่น ครัน คร้าม กุม สติ ได้ อย่าง ดี สั่ง ให้ บริวาร ปลด เกวียน ออก ตั้ง กอง ค่าย เกวียน เป็น วง รอบ ทั้ง คน และ โค แล้ว พัก กิน อาหาร เย็น ท่ามกลาง กอง เกวียน นั้น ตก ค่ำ ก็ จัด คน แข็ง แรง มี อาวุธ ครบ มือ ผลัด กัน อยู่ เวร ยาม ตลอด คืน ยักษ์ จึง ไม่ กล้า เข้า มาก ล้ำ กราย รุ่ง เช้า ก็ สั่ง บริวาร ให้ รีบ ทำ กิจ ส่วน ตัว ให้ โค กิน หญ้า แล้ว เลือก เอา แต่ เกวียน ที่ แข็ง แรง แน่น หนา ไว้ คัด เอา สิน ค้า มี ค่า ของ พ่อ ค้า หู เบา ตาม ใจ ชอบ แล้ว ออก เดิน ทาง ไป ยัง เมือง ที่ ตน ปรารถนา ขาย สิน ค้า เหล่า นั้น ทั้ง หมด ได้ กำไร งาม กว่า ที่ คิด ไว้ ถึง 2-3 เท่า ตัว และ กลับ สู่ เมือง พา รา ณ สี โดย สวัสดิภาพ นับ
แต่ ครั้ง นั้น เป็น ต้น มา พ่อ ค้า และ บริวาร ทั้ง 500 คน ล้วน ซาบซึ้ง ถึง อานิสงส์ อัน ประเสริฐ ขอ งอปั ณ ณก ธรรม ว่า เป็น ธรรม สำหรับ คุ้ม ครอง ชีวิต และ ป้อง กัน ความ ผิด พลาด ได้ ดี เลิศ ต่าง คน ต่าง ปฏิบัติอปั ณ ณก ธรรม เต็ม ที่ ตาม กำลัง ความ สามารถ ของ ตน ทำ ให้ เป็น ผู้ มี สติ มี เหตุ ผล รู้ คุณ และ โทษ รู้ ความ เจริญ และ ความ เสื่อม รู้ ประ โยชน์ และ มิ ใช่ ประ โยชน์ รู้ ฐานะ และ มิ ใช่ ฐานะ แล้ว ถือ เอา ฐานะ ที่ ไม่ ผิด ไว้ ไม่ ถือ เอา โดย การ คาด คะเน เป็น ผู้ มี ปัญญา ปฏิบัติ ตรง ตาม หน ทาง ของ บัณฑิต ตลอด อายุ ขัย ครั้น ละ โลก แล้ว ก็ ไป สู่ สุคติ โลก สวรรค์ สม แก่ กรรม ดี ที่ ตน ทำ ไว้ โดย ทั่ว หน้า ท้าย ที่ สุด แห่ง ชาดก พระสัม มาสัม พุทธ เจ้า ตรัส สุภาษิต ว่า "การถือเอาโดยการคาดคะเนเป็นประมาณ จัดเป็นการถือที่ผิด การถือตามเหตุผลซึ่งเป็นจริง จัดเป็นการถือที่ถูก สิ่งใดที่ไม่ผิดผู้เป็นบัณฑิตย่อมถือสิ่งนั้น"
ประชุมชาดก
เมื่อจบชาดกแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา
ให้ ลุ่มลึก ยิ่งขึ้น ไป ตาม ลำดับ อุบาสก ทั้ง 500 คน นั้น ส่งใจ ไป ตาม พระธรรม เทศนา ด้วย ใจจดจ่อ ได้มี ดวงตา เห็นธรรม เป็น พระโสดายัน เที่ยงแท้ว่า จะได้ บรรลุ อรหัตผล เป็น พระอรหันต์ สืบต่อไป ภายใน ไม่เกิน 7 ชาติ เบื้องหน้า พระบรมศาสดา ครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พ่อค้าหูเบา ได้มาเป็นพระเทวทัต บริวาร 500 คนของพ่อค้าหูเบา ได้มาเป็นบริวารของพระเทวทัต บริวาร 500 คนของพ่อค้าช่างสังเกต ได้มาเป็นพุทธบริษัท พ่อค้าช่างสังเกต ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากชาดก
- คนพาลย่อมถือเอาการคาดคะเนเป็นประมาณ จึงมักตัดสินใจผิด ๆ เชื่อผิด ๆ หูเบา ถือเอาสิ่งที่ ไม่เป็นสรณะว่าเป็นสรณะเหมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
- ไม่ว่าในกาลไหน ๆ ก็ตาม บัณฑิตย่อมหมั่นอบรมตนและหมู่คณะให้ตั้งอยู่ในอปัณณกธรรมเป็น ประจำ ผู้ที่จะประพฤติอปัณณกธรรมให้สมบูรณ์เต็มที่ต้องรักษาศีล 5 เป็นปกติ และฝึกสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
- บัณฑิตย่อมไม่ถืออารมณ์ตนเป็นใหญ่ (อัตตาธิปไตย) ไม่ถือคนหมู่มากเป็นใหญ่ ไม่หลงค่านิยม ผิด ๆ ตามสังคม (โลกาธิปไตย) แต่ถือธรรม คือ เหตุผล ความถูกต้องเป็นใหญ่ (ธรรมาธิปไตย)
- อุปนิสัยใจคอ กรรมดี กรรมชั่ว ที่ตนทำไว้ ไม่สูญเปล่า ย่อมติดตามตนไปทุกภพทุกชาติ
- การไม่คบคนพาล เลือกคบแต่บัณฑิต ย่อมเป็นมงคลจริง
- การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เช่น ยกย่องบัณฑิตให้เป็นผู้นำ ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อม เป็นมงคลจริง
- การเป็นพหูสูต ศึกษามาก ย่อมเป็นมงคลจริง
- การเป็นคนมีวินัย ตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิต ย่อมเป็นมงคลจริง
- การได้ฟังธรรม ย่อมเป็นมงคลจริง
- การฝึกตนให้เป็นคนไม่ประมาท ไม่หวังน้ำบ่อหน้าย่อมเป็นมงคลจริง
- การฝึกอินทรียสังวร ซึ่งเป็นตบะ คือคุณเครื่องเผาผลาญบาปอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นมงคลจริง
- โลกนี้ โลกหน้า มีจริง
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสจริง
วิธีปฏิบัติอปัณณกธรรม ในระดับพระภิกษุ
- อินทรียสังวร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ แล้วไม่ถือโดยนิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ เพื่อไม่ให้อกุศลบาปกรรม คือ อภิชฌาและโทมนัสหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจได้ โดยย่อคือ ไม่ให้ยินดียินร้าย ในเมื่อได้เห็นรูป ฟังเสียง เป็นต้น
ไม่ถือโดยนิมิต หมายถึง ไม่ถือรวม ๆ ว่า บุคคลนี้สวยงามจริงหนอ หล่อจริงหนอ
ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ หมายถึง ไม่ถือแยกว่า แขนงาม ขางาม หน้างาม ฯลฯการปิดกั้นอภิชฌา และโทมนัส มิให้รั่วไหลเข้าครอบงำจิตใจโดยทางตา หู จมูก ฯลฯ นี้ชื่อว่า เป็นผู้สำรวมอินทรีย์ด้วยดี เมื่อสำรวมอินทรีย์ดีแล้ว ก็เหมือนปิดประตูบ้านไว้ดี โจรจึงเข้าบ้านไม่ได้ ศีลย่อมอยู่อย่างครบถ้วน
- โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในอาหาร พิจารณาอาหารโดยแยบคายก่อนบริโภคว่า อาหารเหล่านี้ มิใช่จะบริโภคเพื่อเล่น เพื่อมัวเมา เพื่อประดับ เพื่อตกแต่ง แต่บริโภคเพียงเพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่ เพื่อให้ดำเนินไป เพื่องดเว้นการเบียดเบียน เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ดังนั้น เราจะบำบัดเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นการยังชีวิตให้ดำเนินไป ความไม่มีโทษและการอยู่อย่างผาสุก จะมีแก่เราดังนี้
- ประกอบชาคริยานุโยค ชำระจิตจากนวรณ์ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งสมาธิติดต่อกันตลอดวัน ในเวลากลางคืนก็จงกรมและทำสมาธิภาวนาตลอดปฐมยาม นอนสีหไสยาสน์ ตะแคงขวาเอาเท้าซ้อนเท้า มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจจะลุกขึ้นในมัชฌิมยามลุกขึ้นแล้วก็รีบเร่งชำระจิตจากนิวรณ์ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งสมาธิ ตลอดปัจฉิมยาม
อธิบายศัพท์
สาวก ผู้ฟังคำสอน ศิษย์
อัญญเดียรถีย์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนาประเภทหนึ่ง ซึ่งหลงเข้าใจผิดว่าการทรมานตัวด้วยวิธีต่าง ๆ ย่อมสามารถทำให้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าบิดามารดาไม่มีพระคุณต่อเรา นรก - สวรรค์ไม่มี บุญ - บาป ไม่มีเป็นต้น พุทธมามกะ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธศาสนิกชน หรือชาวพุทธ หมายถึงผู้ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก เป็นแนวทางปฏิบัติ และเป็นแบบแผนในการดำเนินชีวิต อุบาสก ฆราวาสผู้ชายที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง อานิสงส์ ผลบุญ ผลแห่งกุศลกรรม ประโยชน์ พระรัตนตรัย แปลว่าแก้วประเสริฐ 3 ดวง เป็นศัพท์เฉพาะ หมายถึงสิ่งเคารพนับถือสูงสุดของพุทธศาสนิกชน ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ใดเคารพนับถือ และปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ย่อมสามารถยกใจของผู้นั้นให้สูงขึ้น พ้นจากอำนาจกิเลสทั้งหลายได้ และนำความปลาบปลื้มใจมาให้ สรณะ แปลว่า ที่พึ่ง ที่ระลึก หมายถึงที่พึ่งทางใจ เมื่อเกิดปัญหาชีวิตขึ้น ผู้ถือสิ่งใดเป็นสรณะ ก็จะระลึกถึงสิ่งนั้น ชาวพุทธพึ่งพระรัตนตรัยด้วยการระลึก ถึงคุณความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทำไว้แล้วเป็นตัวอย่าง แล้วปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด โดยมีพระสงฆ์ทำหน้าที่เป็น ทั้งครูและกัลยาณมิตรคอยแนะนำตักเตือนให้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้อันเป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ อันตนและสัตว์อื่นเคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน หรือการระลึกชาตินั่นเอง โยชน์ ระยะทางยาว 400 เส้น ยักษ์ เป็นอมนุษย์พวกหนึ่ง เป็นกายกึ่งหยาบ กึ่งละเอียด คือไม่หยาบเท่ากายมนุษย์ แต่ไม่ละเอียดเท่ากายเทวดา เพราะฉะนั้น บางครั้งจึงเหาะได้ หายตัวได้เช่นเดียวกับเทวดา แต่ในเวลาเดียวกัน ก็สามารถกินอาหารหยาบ ๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ได้ เดิมทียักษ์เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เป็นคนมีนิสัยมักโกรธ ถึงแม้จะให้ทาน รักษาศีล แต่ก็ทำด้วย อารมณ์ขุ่นมัว เมื่อละโลกไปแล้วจึงไปเกิดเป็นยักษ์ พระคาถาประจำชาดก
อปณฺณกฏฺฐานเมเก
เอตทญฺญาย เมธาวีทุติยํ อาหุ ตกฺกิกา
ตํ คณฺเห ยทปณฺณกํคนพวกหนึ่ง กล่าวฐานะอันหนึ่งว่า ไม่ผิด
นักเดาทั้งหลายกล่าวฐานะอันนั้นว่าเป็นที่สอง
คนมีปัญญารู้ฐานะและมิใช่ฐานะนั้นแล้ว ควรถือฐานะที่ไม่ผิดไว้
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com