Logo003poet2543.gif (2019 bytes)

Tale002.gif (3475 bytes)

นิทานชาดก    นิทานนานาชาติ    นิทานเด็ก

อาปัณณกชาดก

[อา-ปัน-นะ-กะ-ชา-ดก]

ชาดก..ว่าด้วยข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันความผิดพลาด

หัวข้อประจำเรื่อง
 
สถานที่ตรัสชาดก  สาเหตุที่ตรัสชาดก  เนื้อหาชาดก  ประชุมชาดก  ข้อคิดจากชาดก   อธิบายศัพท์ พระคาถาประจำชาดก

สถานที่ตรัสชาดก

เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี

สาเหตุที่ตรัสชาดก

วันหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐีและบริวารได้นำดอกไม้ ธูปเทียนและสิ่งของควรแก่สมณะบริโภค ไปกราบถวายบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ณ เชตวันมหาวิหารตามปกติ ในวันนั้นมีสหาย ของท่านเศรษฐีอีก 500 คน ซึ่งเป็นสาวกของ อัญญเดียรถีย์ ตามไปด้วย

ครั้นฟังพระธรรมเทศนาจบแล้ว สหายของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี 500 คนนั้น เกิดศรัทธาเลื่อมใสใน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเปี่ยมล้น จึงละ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด เลิกนับถือลัทธิอัญญเดียรถีย์ ประกาศตนเป็น พุทธมามกะ ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง ตลอดไป นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ต่างก็ตั้งใจไปวัด ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มิได้ขาด

ต่อมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ไปประทับ ณ กรุงราชคฤห์ พวก อุบาสก สาวกเก่าอัญญเดียรถีย์ทั้ง 500 คน ก็เลิกไปวัด หันกลับไปนับถืออัญญเดียรถีย์ตามเดิมอีก ครั้นอีก 7-8 เดือนต่อมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จกลับไปยังเชตวันมหาวิหารตามเดิม อัญญเดียรถีย์ทั้ง 500 คนนั้น ก็ตามอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไปวัดอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนสติด้วยการตรัส อานิสงส์ ของการบูชา พระรัตนตรัย ว่ามีอานิสงส์มาก คือ

  1. ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อมไม่ไปอบาย คือ ไม่ไปเกิดในนรก เป็นต้น
  2. ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อมไปบังเกิดในเทวโลกได้เสวยทิพยสมบัติอย่างแน่นอน

ฉะนั้น การที่อัญญเดียรถีย์ทั้ง 500 คนนี้เป็นคนโลเล กลับกลอก รับไตรสรณคมน์แล้วละทิ้งเสีย ย่อมเป็นความผิดมหันต์ไม่สมควรอย่างยิ่ง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติหนหลัง ของอัญญเดียรถีย์ทั้ง 500 คนนี้ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเป็นปริศนาธรรม ว่า

" แม้ในกาลก่อน มนุษย์ทั้งหลาย ถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่สรณะว่า เป็นสรณะ โดยการถือเอาด้วยการคาดคะเน โดยการถือเอาผิด ๆ จึงตกเป็นภักษาหารของยักษ์ ในทางกันดาร ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ส่วนเหล่ามนุษย์ผู้ถือการยึดถือชอบธรรม คือ ยึดถือเหตุผล ยึดถือไม่ผิด ได้ถึงความสวัสดีในทางกันดาร"

ครั้นตรัสแล้วก็นิ่งเสีย อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงกราบทูลอาราธนา พระพุทธองค์จึงตรัสเล่า อปัณณกชาดก มีความโดยย่อว่า

เนื้อหาชาดก

ครั้งหนึ่ง ในอดีตกาล ณ เมืองพาราณสี มีพ่อค้าใหญ่ 2 คน เป็นเพื่อนกัน ต่างนำสินค้าบรรทุกเกวียน ไปขายยังต่างถิ่นเมืองไกลเป็นประจำ แต่นิสัยใจคอของพ่อค้าทั้งสองคน นี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

พ่อค้าคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์ หูเบา เชื่อคนง่าย และขาดความสังเกต จึงมักตัดสินใจผิดพลาดเป็นประจำ ส่วนพ่อค้าอีกคนหนึ่งเป็นคนมีสติปัญญา มีความรู้ดี และช่างสังเกต ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่หูเบา ไม่เชื่อคนง่าย

พ่อค้าช่างสังเกตนี้มีหลักธรรมประจำใจที่เรียกว่า อปัณณกธรรม แปลว่า ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดพลาด 3 ประการคือ

  1. เตรียมป้องกันความลุ่มหลงเมามัว ในการดูรูปสวย ๆ ในการฟังเสียงไพเราะ ในการสูดกลิ่นหอมหวน ในการลิ้มรส ในการสัมผัส ในอารมณ์น่าใคร่ อันเป็นเหตุให้ต้องเสียงานโดยมี อินทรียสังวร คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของตน เมื่อได้เห็น ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้แตะต้อง ได้นึกคิด จึงมีสติมั่น ไม่ยินดียินร้าย ไม่ประมาทว่าสิ่งเหล่านั้นมีโทษเพียงเล็กน้อย มีความตื่นตัว รู้จักระแวงภัยจากวัตถุและอารมณ์น่าใคร่ และรู้จักระวังป้องกันภัยที่จะมาถึง เสมือนกระต่ายขุดโพรงอาศัยอยู่เพียงโพรงเดียวแต่ขุดปล่องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ถึง 5 ปล่อง
  2. เตรียมป้องกันปัญหาเรื่องปากท้อง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน (ถ้ากินน้อยไปก็ไม่มีแรง ถ้ากินมากไปก็ง่วงเหงาหาวนอน จิตใจฟุ้งซ่าน ถ้ากินไม่เป็นเวลา น้ำย่อยก็กัดกระเพาะ ลำไส้ ถ้ากินสิ่งมึนเมาให้โทษก็เสียสุขภาพ) โดยมี โภชเนมัตตัญญุตา คือ รู้จักประมาณในการกินอาหาร ได้แก่ กินแต่พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป เลือกกินแต่ของที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย เท่านั้น ในการรับประทานอาหารเมื่อรู้สึกว่าอีก 4-5 คำจะอิ่มให้หยุดเสีย แล้วดื่มน้ำแทนสักแก้วหนึ่งก็จะอิ่มพอดี
  3. เตรียมป้องกันปัญหาเกียจคร้านสันหลังยาว ไม่เห็นแก่ความสุขในการนอน โดยประกอบ ชาคริยานุโยค คือ ฝึกสติให้เป็นคนตื่นตัวอยู่เสมอ เช่น ระลึกถึงหน้าที่การงานที่รับผิดชอบตลอดเวลา ออกกำลังแต่พอดี พักผ่อนตามเวลาอันควร สวดมนต์ภาวนา รักษาศีล เป็นกิจวัตร

นอกจากตนเองจะตั้งอยู่ในอปัณกธรรมทั้ง 3 ประการนี้แล้ว พ่อค้าช่างสังเกตยังอบรมบริวารทั้ง 500 คนของตน ให้ปฏิบัติตามอีกด้วย

อยู่มาคราวหนึ่ง พ่อค้าทั้งสองคนต่างคิดจะเดินทางข้ามทะเลทรายซึ่งกันดารมาก ไปค้าขายยังเมืองเดียว แต่ไม่อาจไปพร้อมกันได้ เพราะอาหาร น้ำ และหญ้าระหว่างทางจะขาดแคลนไม่เพียงพอสำหรับคนและโค

พ่อค้าหูเบาคิดว่าตนควรจะออกเดินทางไปก่อน ด้วยเหตุผลว่า

  1. หนทางยังราบเรียบ ไม่ถูกเหยียบย่ำให้แตกเป็นฝุ่น
  2. หญ้าเลี้ยงโคก็มีเต็มที่ ยังไม่มีใครแตะต้อง
  3. พืชผักผลไม้ก็ยังบริบูรณ์อยู่ ทั้งสองข้างทาง
  4. น้ำตามทางยังใสสะอาดอยู่ น่าดื่มกิน
  5. สามารถตั้งราคาสินค้าขายได้ตาม ใจชอบ

ส่วนพ่อค้าช่างสังเกตคิดว่าควรจะออกเดินทางไปทีหลัง ด้วยเหตุผลว่า

  1. หนทางที่ขรุขระจะราบเรียบสม่ำเสมอ เพราะคนชุดก่อนถากถางไว้แล้ว
  2. หญ้าเลี้ยงโคจะงอกขึ้นใหม่ อ่อนกำลังดี
  3. พืชผักซึ่งคนชุดแรกเด็ดกินไป จะแตกยอดขึ้นมาใหม่อ่อนกำลังน่ารับประทาน
  4. ในบริเวณไม่มีน้ำ คนชุดแรกก็จะต้องขุดบ่อน้ำเอาไว้แล้ว
  5. การตั้งราคาสินค้าเป็นการยาก ถ้าหากขายสินค้าตามที่คนชุดแรกตั้งไว้ย่อมสะดวกกว่า

พ่อค้าหูเบานำบริวาร 500 คน พร้อมด้วยเกวียน 500 เล่ม บรรทุกสินค้าไปเต็มที่ เตรียมน้ำใส่ตุ่มใหญ่ ๆ บรรทุกเกวียนไปด้วยกะให้พออาบกินตลอดระยะทางกันดาร 60 โยชน์ เดินทางไปจนเข้าเขตทะเลทราย จนถึงเขตแดน ยักษ์ กินคน พวกยักษ์กลุ่มหนึ่งประมาณ 20 ตน จำแลงกายเป็นคนนั่งรถเทียมด้วยโคขาวปลอดประดับประดาอย่างสวยงาม สวนทางมา โคลนติดล้อหนาเตอะเหมือนเพิ่งเดินทางฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาใหม่ ๆ แต่ละคนท่าทางแข็งกระด้างกำแหงหาญ ยืนบ้าง นั่งบ้างบนรถ เคี้ยวกินเหง้าบัวอย่างเอร็ดอร่อย แสดงว่าทางที่พวกเขาผ่านมานั้น มีห้วยหนองคลองบึงเต็มไปหมด

ยักษ์แปลงนั้นแสร้งพูดหลอกพ่อค้าหูเบาให้ตายใจว่า หนทางที่ผ่านมานั้นฝนตกหนัก น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องขนตุ่มน้ำไปให้หนักเปล่า แล้วขับเกวียนผ่านไป พอลับตาก็กลับเป็นยักษ์กินคนย้อนติดตามหลังขบวนเกวียนของพ่อค้า

พ่อค้าหูเบาเห็นแก่ความสะดวกสบาย ไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ สั่งบริวารให้เทน้ำในตุ่มทิ้งเสีย หวังจะได้น้ำบ่อหน้าแต่เดินทางไปตลอดวัน จะหาน้ำสักหยดก็ไม่พบ จึงรู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว ครั้นตกเย็น ก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง หิวโหย อดทั้งข้าวและน้ำ ทั้งคนและโคก็สลบไสล กลายเป็นอาหารอันโอชะของยักษ์กินคนในค่ำคืนนั้นเอง เหลือไว้แต่เกวียนบรรทุกสินค้า จอดอยู่กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างเท่านั้น

ต่อมาประมาณเดือนครึ่ง พ่อค้าช่างสังเกตก็ออกเดินทางพร้อมด้วยบริวาร 500 คน ขับเกวียน 500 เล่ม ตามมาอย่างระมัดระวัง ค่ำที่ไหนก็พักที่นั่น ก่อนนอนก็จัดขบวนเกวียนให้เรียบร้อยและตั้งเวรยามคอยป้องกันรักษาสินค้าอย่างรัดกุม จนกระทั่งล่วงเข้าเขตทะเลทราย พ่อค้าช่างสังเกตก็เรียกประชุมบริวารทั้งหมด ให้โอวาทแก่คนเหล่านั้นให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ย้ำให้ถือปฏิบัติอปัณณกธรรมทั้ง 3 ประการอย่างเคร่งครัด คือ มีอินทรียสังวรโภชเนมัตตัญญุตา และชาคริยานุโยค แล้วตั้งกฏข้อบังคับขึ้นเป็นหลักปฏิบัติชั่วคราว 3 ข้อ คือ

  1. ให้ทุกคนใช้น้ำอย่างประหยัด
  2. ห้ามรับประทานพืชผักผลไม้ประหลาด ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นการป้องกัน ไม่ให้หลงกินพันธุ์ไม้ มีพิษ
  3. ให้ช่วยกันสังเกตธรรมชาติ และความเคลื่อนไหวผิดปกติต่าง ๆ ตลอดทาง ไม่เห็นแก่พักผ่อน หลับนอน

เมื่อเดินทางข้ามทะเลทรายมาได้ครึ่งทาง ยักษ์กินคนก็แสดงตนเป็นคนขับเกวียนสวนทางมา และทำอุบายเช่นเดิมพ่อค้าช่างสังเกตพอเห็นก็จับพิรุธได้ทันทีว่า

  1. บุคคลเหล่านี้มีท่าทางแข็งกร้าวห้าวหาญผิดมนุษย์
  2. บุคคลเหล่านี้มีนัยน์ตาแดงเหมือนคนโกรธจัด ผิดมนุษย์
  3. บุคคลเหล่านี้ แม้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดด ก็ไม่มีเงาปรากฏ ผิดมนุษย์

พ่อค้าช่างสังเกตเชื่อว่า กลุ่มบุคคลประหลาดที่สวนทางมานี้ต้องไม่ใช่มนุษย์แน่นอน คงจะเป็นยักษ์ จำแลงมาทำอุบายหลอกลวง จึงประชุมให้โอวาทแก่บริวารทั้ง 500 คน ชี้แจงให้ทราบถึงธรรมชาติของฝนตกว่า

  1. เมื่อฝนตก ลมฝนอันเย็นชุ่มชื่นจะต้องพัดครอบคลุมไปเป็นระยะทาง 3 โยชน์ แต่พวกตนมาใกล้ บริเวณที่ว่าฝนตกแล้วก็ยังมิได้ต้องลมนั้นเลย
  2. เมื่อฝนตก ฟ้าย่อมแลบแปลบปลาบแลเห็นได้ในระยะทาง 5-6 โยชน์ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นสายฟ้า แลบสักแปลบเดียว
  3. เมื่อฝนตก เมฆฝนดำครึ้มย่อมปรากฏให้เห็นได้ในระยะทาง 3 โยชน์ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นเมฆแม้ แต่ก้อนเดียว
  4. เมื่อฝนตกฟ้าย่อมร้องครืน ๆ ไปไกลได้ยินในระยะทาง 2 โยชน์ แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินเสียงฟ้าร้อง สักครืนเดียว

ครั้นได้ชี้แจงให้บริวารทราบดังนี้แล้ว จึงกำชับให้ทุกคนใช้น้ำอย่างประหยัดยิ่งขึ้น เร่งขับเกวียนไป เย็นวันนั้นเองก็เดินทางไปถึงบริเวณที่กองเกวียนของพ่อค้าหูเบาจอดสงบอยู่ รายรอบด้วยกองกระดูกของคนและโค ที่ยักษ์กินทิ้งไว้ พ่อค้าช่างสังเกตฝึกปฏิบัติอปัณกธรรมมาเป็นปกติวิสัยจึงไม่หวาดหวั่นครันคร้ามกุมสติได้อย่างดี สั่งให้บริวารปลดเกวียนออกตั้งกองค่ายเกวียนเป็นวงรอบทั้งคนและโค แล้วพักกินอาหารเย็นท่ามกลางกองเกวียนนั้น ตกค่ำก็จัดคนแข็งแรง มีอาวุธครบมือ ผลัดกันอยู่เวรยามตลอดคืน ยักษ์จึงไม่กล้าเข้ามากล้ำกราย รุ่งเช้าก็สั่งบริวารให้รีบทำกิจส่วนตัว ให้โคกินหญ้า แล้วเลือกเอาแต่เกวียนที่แข็งแรงแน่นหนาไว้ คัดเอาสินค้ามีค่าของพ่อค้าหูเบาตามใจชอบ แล้วออกเดินทางไปยังเมืองที่ตนปรารถนา ขายสินค้าเหล่านั้นทั้งหมดได้กำไรงามกว่าที่คิดไว้ถึง 2-3 เท่าตัว และกลับสู่เมืองพาราสีโดยสวัสดิภาพ

นับแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา พ่อค้าและบริวารทั้ง 500 คน ล้วนซาบซึ้งถึงอานิสงส์อันประเสริฐของอปัณกธรรม ว่าเป็นธรรมสำหรับคุ้มครองชีวิต และป้องกันความผิดพลาดได้ดีเลิศ ต่างคนต่างปฏิบัติอปัณกธรรมเต็มที่ตามกำลังความสามารถของตน ทำให้เป็นผู้มีสติ มีเหตุผล รู้คุณและโทษ รู้ความเจริญและความเสื่อม รู้ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ รู้ฐานะและมิใช่ฐานะ แล้วถือเอาฐานะที่ไม่ผิดไว้ ไม่ถือเอาโดยการคาดคะเน เป็นผู้มีปัญญาปฏิบัติตรงตามหนทางของบัณฑิตตลอดอายุขัย ครั้นละโลกแล้วก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ สมแก่กรรมดีที่ตนทำไว้โดยทั่วหน้า ท้ายที่สุดแห่งชาดก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสุภาษิตว่า

"การถือเอาโดยการคาดคะเนเป็นประมาณ จัดเป็นการถือที่ผิด การถือตามเหตุผลซึ่งเป็นจริง จัดเป็นการถือที่ถูก สิ่งใดที่ไม่ผิดผู้เป็นบัณฑิตย่อมถือสิ่งนั้น"

ประชุมชาดก

เมื่อจบชาดกแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้นไปตามลำดับ อุบาสกทั้ง 500 คนนั้น ส่งใจไปตามพระธรรมเทศนาด้วยใจจดจ่อ ได้มีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดายัน เที่ยงแท้ว่าจะได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์สืบต่อไปภายในไม่เกิน 7 ชาติ เบื้องหน้า

พระบรมศาสดา ครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

พ่อค้าหูเบา ได้มาเป็นพระเทวทัต
บริวาร 500 คนของพ่อค้าหูเบา ได้มาเป็นบริวารของพระเทวทัต
บริวาร 500 คนของพ่อค้าช่างสังเกต ได้มาเป็นพุทธบริษัท
พ่อค้าช่างสังเกต ได้มาเป็นพระองค์เอง

ข้อคิดจากชาดก

  1. คนพาลย่อมถือเอาการคาดคะเนเป็นประมาณ จึงมักตัดสินใจผิด ๆ เชื่อผิด ๆ หูเบา ถือเอาสิ่งที่ ไม่เป็นสรณะว่าเป็นสรณะเหมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
  2. ไม่ว่าในกาลไหน ๆ ก็ตาม บัณฑิตย่อมหมั่นอบรมตนและหมู่คณะให้ตั้งอยู่ในอปัณณกธรรมเป็น ประจำ ผู้ที่จะประพฤติอปัณณกธรรมให้สมบูรณ์เต็มที่ต้องรักษาศีล 5 เป็นปกติ และฝึกสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
  3. บัณฑิตย่อมไม่ถืออารมณ์ตนเป็นใหญ่ (อัตตาธิปไตย) ไม่ถือคนหมู่มากเป็นใหญ่ ไม่หลงค่านิยม ผิด ๆ ตามสังคม (โลกาธิปไตย) แต่ถือธรรม คือ เหตุผล ความถูกต้องเป็นใหญ่ (ธรรมาธิปไตย)
  4. อุปนิสัยใจคอ กรรมดี กรรมชั่ว ที่ตนทำไว้ ไม่สูญเปล่า ย่อมติดตามตนไปทุกภพทุกชาติ
  5. การไม่คบคนพาล เลือกคบแต่บัณฑิต ย่อมเป็นมงคลจริง
  6. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เช่น ยกย่องบัณฑิตให้เป็นผู้นำ ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อม เป็นมงคลจริง
  7. การเป็นพหูสูต ศึกษามาก ย่อมเป็นมงคลจริง
  8. การเป็นคนมีวินัย ตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิต ย่อมเป็นมงคลจริง
  9. การได้ฟังธรรม ย่อมเป็นมงคลจริง
  10. การฝึกตนให้เป็นคนไม่ประมาท ไม่หวังน้ำบ่อหน้าย่อมเป็นมงคลจริง
  11. การฝึกอินทรียสังวร ซึ่งเป็นตบะ คือคุณเครื่องเผาผลาญบาปอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นมงคลจริง
  12. โลกนี้ โลกหน้า มีจริง
  13. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสจริง

วิธีปฏิบัติอปัณณกธรรม ในระดับพระภิกษุ

  1. อินทรียสังวร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ แล้วไม่ถือโดยนิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ เพื่อไม่ให้อกุศลบาปกรรม คือ อภิชฌาและโทมนัสหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจได้ โดยย่อคือ ไม่ให้ยินดียินร้าย ในเมื่อได้เห็นรูป ฟังเสียง เป็นต้น

    ไม่ถือโดยนิมิต หมายถึง ไม่ถือรวม ๆ ว่า บุคคลนี้สวยงามจริงหนอ หล่อจริงหนอ
    ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ หมายถึง ไม่ถือแยกว่า แขนงาม ขางาม หน้างาม ฯลฯ

    การปิดกั้นอภิชฌา และโทมนัส มิให้รั่วไหลเข้าครอบงำจิตใจโดยทางตา หู จมูก ฯลฯ นี้ชื่อว่า เป็นผู้สำรวมอินทรีย์ด้วยดี เมื่อสำรวมอินทรีย์ดีแล้ว ก็เหมือนปิดประตูบ้านไว้ดี โจรจึงเข้าบ้านไม่ได้ ศีลย่อมอยู่อย่างครบถ้วน

  2. โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในอาหาร พิจารณาอาหารโดยแยบคายก่อนบริโภคว่า อาหารเหล่านี้ มิใช่จะบริโภคเพื่อเล่น เพื่อมัวเมา เพื่อประดับ เพื่อตกแต่ง แต่บริโภคเพียงเพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่ เพื่อให้ดำเนินไป เพื่องดเว้นการเบียดเบียน เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ดังนั้น เราจะบำบัดเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นการยังชีวิตให้ดำเนินไป ความไม่มีโทษและการอยู่อย่างผาสุก จะมีแก่เราดังนี้
  3. ประกอบชาคริยานุโยค ชำระจิตจากนวรณ์ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งสมาธิติดต่อกันตลอดวัน ในเวลากลางคืนก็จงกรมและทำสมาธิภาวนาตลอดปฐมยาม นอนสีหไสยาสน์ ตะแคงขวาเอาเท้าซ้อนเท้า มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจจะลุกขึ้นในมัชฌิมยามลุกขึ้นแล้วก็รีบเร่งชำระจิตจากนิวรณ์ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งสมาธิ ตลอดปัจฉิมยาม

อธิบายศัพท์

สาวก ผู้ฟังคำสอน ศิษย์


อัญญเดียรถีย์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนาประเภทหนึ่ง ซึ่งหลงเข้าใจผิดว่าการทรมานตัวด้วยวิธีต่าง ๆ ย่อมสามารถทำให้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าบิดามารดาไม่มีพระคุณต่อเรา นรก - สวรรค์ไม่มี บุญ - บาป ไม่มีเป็นต้น
พุทธมามกะ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธศาสนิกชน หรือชาวพุทธ หมายถึงผู้ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก เป็นแนวทางปฏิบัติ และเป็นแบบแผนในการดำเนินชีวิต
อุบาสก ฆราวาสผู้ชายที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง
อานิสงส์ ผลบุญ ผลแห่งกุศลกรรม ประโยชน์
พระรัตนตรัย แปลว่าแก้วประเสริฐ 3 ดวง เป็นศัพท์เฉพาะ หมายถึงสิ่งเคารพนับถือสูงสุดของพุทธศาสนิกชน ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ใดเคารพนับถือ และปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ย่อมสามารถยกใจของผู้นั้นให้สูงขึ้น พ้นจากอำนาจกิเลสทั้งหลายได้ และนำความปลาบปลื้มใจมาให้
สรณะ แปลว่า ที่พึ่ง ที่ระลึก หมายถึงที่พึ่งทางใจ เมื่อเกิดปัญหาชีวิตขึ้น ผู้ถือสิ่งใดเป็นสรณะ ก็จะระลึกถึงสิ่งนั้น ชาวพุทธพึ่งพระรัตนตรัยด้วยการระลึก ถึงคุณความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทำไว้แล้วเป็นตัวอย่าง แล้วปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด โดยมีพระสงฆ์ทำหน้าที่เป็น ทั้งครูและกัลยาณมิตรคอยแนะนำตักเตือนให้
บุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้อันเป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ อันตนและสัตว์อื่นเคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน หรือการระลึกชาตินั่นเอง
โยชน์ ระยะทางยาว 400 เส้น
ยักษ์ เป็นอมนุษย์พวกหนึ่ง เป็นกายกึ่งหยาบ กึ่งละเอียด คือไม่หยาบเท่ากายมนุษย์ แต่ไม่ละเอียดเท่ากายเทวดา เพราะฉะนั้น บางครั้งจึงเหาะได้ หายตัวได้เช่นเดียวกับเทวดา แต่ในเวลาเดียวกัน ก็สามารถกินอาหารหยาบ ๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ได้ เดิมทียักษ์เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เป็นคนมีนิสัยมักโกรธ ถึงแม้จะให้ทาน รักษาศีล แต่ก็ทำด้วย อารมณ์ขุ่นมัว เมื่อละโลกไปแล้วจึงไปเกิดเป็นยักษ์

พระคาถาประจำชาดก

อปณฺณกฏฺฐานเมเก
เอตทญฺญาย เมธาวี
ทุติยํ อาหุ ตกฺกิกา
ตํ คณฺเห ยทปณฺณกํ

คนพวกหนึ่ง กล่าวฐานะอันหนึ่งว่า ไม่ผิด
นักเดาทั้งหลายกล่าวฐานะอันนั้นว่าเป็นที่สอง
คนมีปัญญารู้ฐานะและมิใช่ฐานะนั้นแล้ว ควรถือฐานะที่ไม่ผิดไว้

Ani004LHummbird.gif (2404 bytes)

7Smooth.com Group
Copy Right 1999

poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com