![]() |
|
นิทานชาดก นิทานนานาชาติ นิทานเด็ก |
เสรีววาณิชชาดก
|
หัวข้อประจำเรื่อง |
เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
ครั้งหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อเข้ามาบวชเรียน ในพระพุทธศาสนาใหม่ ๆ ได้ตั้งใจ ปฏิบัติธรรม รักษาศีล เจริญภาวนา อย่างเคร่งครัด ด้วยความอุตสาหะพากเพียร แต่ครั้นอยู่ไปนานเข้า ๆ ยังไม่เห็นผล แห่งการปฏิบัติ อย่างแจ่มชัด ตามที่หวังไว้ ก็บังเกิดความ เบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดกำลังใจ ที่จะประพฤติธรรมต่อไป จึงคลายความเพียรลง เพื่อนภิกษุด้วยกัน ปรารถนาจะสงเคราะห์ ภิกษุรูปนี้ จึงพาไปเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงกอปรด้วย พระเมตตาธิคุณและ พระมหากรุณาธิคุณ อันไพศาล ใคร่จะอนุเคราะห์ ภิกษุรูปนี้ จึงทรงระลึกชาติ ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเตือนด้วย พระสุรเสียงกังวาน และอ่อนโยนว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอบวชในศาสนา ที่มีแก่นสาร ให้มรรคผลเห็นปานนี้ เมื่อละความเพียรเสียแล้ว จะต้องโศกเศร้า ไปตลอดกาลนาน เหมือนดัง เสรีววาณิช ที่ไม่ได้ถาดทอง มีค่านับแสนนั่นเทียว
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ใคร่จะทราบเรื่องราว โดยตลอด จึงกราบทูลอาราธนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ตรัส เล่าเรื่อง ของ เสรีววาณิช โปรดแก่ ตนทั้งหลาย
ในอดีตกาล นับย้อนกลับไป 5 กัปจาก ภัทรกัป นี้ มีพ่อค้าเร่ 2 คน อาศัยอยู่ในเมืองเสรีวะ พ่อค้าทั้งสอง มีชื่อตรงกัน กับเมือง ที่อาศัย คือ เสรีวะ แม้ว่า จะมีชื่อเหมือนกัน แต่ทว่าทั้งสอง กลับมีอุปนิสัยใจคอ แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
วันหนึ่ง ทั้งสองต่างนำสินค้าของตนข้ามแม่น้ำไปยัง เมืองอัฏฐปุระ เพื่อจำหน่าย และแลกซื้อข้าวของ ที่เห็นว่า พอจะนำกลับมา ค้าขาย ทำกำไรงาม ต่อไปได้
ที่เมืองอัฏฐปุระ มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของ อดีตเศรษฐี ตระกูลเก่าแก่มาก ตระกูลหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ ได้ถึงกาล ฉิบหาย คนในตระกูล ล้มหาย ตายจาก ไปจนเกือบหมด คงเหลือแต่ ยายหลานคู่หนึ่ง ตกทุกข์ได้ยาก ตรากตรำ รับจ้างเขา เลี้ยงชีพ พอประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น
พ่อค้าคนแรก ได้ตะโกนเร่ขายสินค้าของตน ผ่านมาถึงบ้านยายหลานคู่นี้ เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เร่ขายสินค้า หลานสาวจึงวิ่งออกมาดู เห็นแก้วแหวน เครื่องประดับ ล้วนของสวย ๆ งาม ๆ ก็อยากได้ จึงอ้อนวอนยาย ซื้อให้สักชิ้นหนึ่ง ยายก็ได้แต่ทอดถอนใจ เพราะไม่อาจทำตาม ความประสงค์ ของหลานสาวได้ จึงได้แต่ปลอบใจ และเตือนสติว่า
หลานรัก เราน่ะเป็นคนยากคนจน เงินที่หามาได้ ก็แทบจะไม่พอกินพอใช้ อยู่แล้ว จะเอาอะไร ไปแลกของของเขา ได้เล่า อย่าไปอยากได้มันเลย
แต่หลานสาว ไม่ละความพยายาม สู้อุตส่าห์วิ่งเข้าไปในบ้าน หยิบถาดเก่าคร่ำคร่า ใบหนึ่ง ซึ่งเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ อะไรแล้ว นำออกมา ขออนุญาตยาย แลกกับเครื่องประดับ ยายก็ตามใจ
เมื่อพ่อค้ารับถาดมาถือ รู้สึกว่า มีน้ำหนักมากผิดถาดธรรมดา จึงเอาเข็มลองขีดหลังถาดดู ปรากฏว่า มีรอยเส้น เหลืองอร่าม จึงทราบทันทีว่า ถาดใบนี้ ทำด้วยทองคำ มีมูลค่านับแสนทีเดียว แต่เพราะความโลภจัด คิดจะได้ของฟรี จึงแสร้งพูดว่า
ถาดใบนี้ไม่มีราคาพอที่จะแลกสินค้าอะไรได้หรอก ว่าแล้วก็โยนถาด ทิ้งลงกับพื้น อย่างไม่ยี่หระ แล้วเดินจากไป
พอตกบ่าย พ่อค้าอีกคน ก็มาถึง ตะโกนเร่ขายสินค้า เช่นคนก่อน หลานสาว ก็ยังคงรบเร้ายาย ให้ซื้อเครื่องประดับ ให้ตนยายจึงกล่าวย้ำว่า
เมื่อเช้า พ่อค้าคนนั้นโยนถาดของเราทิ้ง เจ้าก็เห็นอยู่แล้ว จะเอาอะไรไปแลกกับเขาอีกล่ะ?
หลานเป็นเด็กช่างสังเกต จึงบอกยายว่า
ยายจ๋า พ่อค้าคนเมื่อเช้า พูดจาหยาบคาย ผิดกับคนนี้ ท่าทางใจดี พูดจาก็อ่อนโยน เขาคงให้เราแลก หรอก นะจ๊ะ ยาย
เมื่อเรียกพ่อค้า แวะบ้านแล้ว ก็ส่งถาดให้ เพื่อขอแลกกับ เครื่องประดับ สักชิ้นหนึ่ง แต่เมื่อพ่อค้า รับถาด ขึ้นดู ก็เห็นว่า เป็นถาดทองคำ ด้วยความมีใจ เป็นธรรม และมีนิสัยสัตย์ซื่อ เขาจึงบอกความจริง แก่ยายหลาน ทั้งสองว่า
ถาดใบนี้เป็น ถาดทองคำ มีค่านับแสนทีเดียว สินค้าของข้าพเจ้า ทั้งหมดนี้ ยังมีค่าไม่พอ ที่จะแลกกับ ถาดทองใบนี้ ได้เลย
ทั้งสองยายหลานต่างตะลึง ด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อพ่อค้ายืนยันว่า เป็นถาดทองจริง ยายจึง กล่าวกับ พ่อค้าใจซื่อ ผู้นี้ว่า
ถาดใบนี้ กลายเป็น ถาดทองคำขึ้นมาได้ ก็เพราะบุญของท่านเอง จงรับไปเถิด แล้วจะให้ค่าตอบแทน แก่เราเท่าไร ก็สุดแต่ท่าน จะเห็นสมควร
พ่อค้าใจซื่อจึงยกสินค้า และเงินทั้งหมด ที่ตนมีอยู่ แก่ยายหลานคู่นี้ ขอไว้เพียงตาชั่ง และเงินติดตัว เล็กน้อย พอเป็น ค่าเดินทาง ข้ามแม่น้ำ กลับเมือง ของตนเท่านั้น
ส่วนพ่อค้าใจคด
เมื่อออกจากบ้าน สองยายหลานแล้ว
ก็เดินเร่ขายสินค้า ไปตามลำดับ
ด้วยใจคอที่ กระวนกระวาย
จดจ่ออยู่แต่ ถาดทองคำ
ที่ตนขว้างทิ้งนั้น ในที่สุด
ก็ตัดสินใจ ย้อนกลับไปยัง
บ้านของสองยายหลาน ทำทีว่า
มีเมตตา จะอนุเคราะห์
เอาถาดใบนั้นมาเถิด เราจะยอมให้แลก สินค้าได้สักชิ้นหนึ่ง ตามชอบใจ พ่อค้าใจคดร้องบอก ยายได้ยินดังนั้น จึงกล่าวตำหนิ อย่างไม่ไว้หน้าว่า
เจ้าคนใจคด เมื่อเช้านี้นี่เอง เจ้าบอกว่า ถาดทองของเราไม่มีราคาค่างวด พอที่จะแลกสินค้า ของเจ้าได้ แต่เมื่อ สักครู่นี้ มีพ่อค้าเร่อย่างเจ้า เขาใจซื่อ และ มีคุณธรรม ได้แลกถาดทองใบนั้นไปเสียแล้ว ให้เงินและ สินค้าทั้งหมด แก่ฉันทีเดียว
พ่อค้าใจคดได้ฟังดังนั้น ก็รู้ว่า ตนพลาดโอกาส ที่จะเป็นเจ้าของ ถาดทองคำใบนั้น เสียแล้ว บังเกิดความเสียใจ โศกเศร้า จนสุดระงับได้ ถึงกับ เป็นลมหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมา ความเสียดาย ได้พุ่งแล่น ท่วมท้นหัวใจ จนควบคุมสติ ไว้ไม่อยู่ ลุกขึ้น โปรยปรายเงินทอง ข้าวของเรี่ยราด ท่าทางเลื่อนลอย คว้าคันชั่งถือไว้ ต่างอาวุธ วิ่งไล่ตาม พ่อค้าใจซื่อ ไปอย่าง ไม่คิดชีวิต
เมื่อถึงท่าน้ำ เห็นเรือกำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำ จึงร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ให้คนแจวเรือรับจ้าง ย้อนกลับมารับตน แต่พ่อค้าใจซื่อรู้ทัน จึงสั่งเร่งฝีพาย ให้เร็วขึ้นอีก
พ่อค้าใจคด เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ยิ่งคุมแค้นหนักขึ้น มือทั้งสองกำเม็ดทรายชูขึ้น พร้อมกับกล่าวอาฆาตว่า
หากจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้ คือภพชาติ ที่เจ้าและข้า จะต้องเกิดอีก ข้าจะขอติดตาม จองล้าง จองผลาญเจ้า ไปจนถึงที่สุด จนกว่า จะเข้า นิพพานกัน ไปข้างหนึ่ง
ด้วยจิตที่เร่าร้อน แผดเผา ด้วยเพลิงโทสะอันรุนแรง บีบคั้นจนหัวใจ วาณิชใจคดผู้นี้ แตกสลาย กระอักเลือด ทะลักออกมา แดงฉาน ขาดใจตาย อยู่ตรงนั้นเอง จิตที่ผูกเวรนี้ เมื่อละโลกไปแล้ว ก็ดำดิ่งสู่นรก ทนทุกข์ทรมาน อยู่เป็น เวลานานแสนนาน
ส่วนพ่อค้าใจซื่อได้กลับบ้านตน นำถาดทองคำไปขายตั้งตัวทำการค้า ร่ำรวยเป็นเศรษฐี และได้ทำบุญทำทานอยู่ จนตลอดชีวิตของเขา
นับแต่นั้นมา พ่อค้าทั้งสอง หากเกิดมาพบกันชาติใด ไม่ว่าจะเกิดเป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ หรือแม้แต่เกิดมา เป็นญาติกัน ก็ตาม พ่อค้าใจคด ก็ตามล้างผลาญ จองเวร กับพ่อค้าใจซื่อ ตลอดมากทุก ๆ ชาติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจบพระธรรมเทศนาแล้ว ทรงแสดงอริยสัจสี่โดยอเนกปริยาย พระภิกษุนั้น สามารถ ประคับประคองใจให้สงบนิ่ง ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ได้มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ ณ ที่นั้นเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า
พ่อค้าใจคด | ได้มาเป็นเทวทัต | |
พ่อค้าใจซื่อ | ได้มาเป็นพระองค์เอง |
- โลภนักมักลาภหาย
- คนพาลมองเห็นโทษของผู้อื่นอยู่ร่ำไป แต่มองไม่เห็นโทษของตนเอง
- คนพาลแม้รู้ธรรมก็ไม่ยอมปฏิบัติตามธรรม ความรู้นั้น ย่อมเป็นไป เพื่อความฉิบหาย แก่เขา เพราะแม้รู้เรื่องภพชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้ได้ยากยิ่ง ก็ยังนำความรู้นั้นไปเพื่อผูกอาฆาตจองเวร
กัป | ช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมาก นับตั้งแต่โลกยังเป็นหมอกเพลิง แล้วเริ่มเย็นลง ๆ จนกระทั่ง มีพืช สัตว์ มนุษย์ เกิดขึ้น เมื่ออยู่ไปนาน ๆ มนุษย์มีกิเลสมากขึ้น ทำความชั่วมาขึ้น ในที่สุด โลกก็กลับ เป็น หมอกเพลิงอีกครั้งหนึ่ง รวมเรียกว่า 1 กัป ซึ่งจะเป็น ระยะเวลา นานเท่าใด ยากที่จะ คำนวณ ได้ อุปมาว่า มีภูเขาศิลาแท่งทึบ ลูกหนึ่ง กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์ (1 โยชน์ 16 กิโลเมตร) ทุก ๆ 100 ปี เอาผ้าบาง เหมือนควันไฟ มาลูบครั้งหนึ่ง จนกระทั่ง ภูเขารูปลูกบาศก์ นี้ สึกไป จนเรียบ เสมอพื้นดิน จึงนับได้ 1 กัป | |
ภัทรกัป | กัปที่เจริญ เป็นกัปที่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสถึง 5 พระองค์ ดังเช่นกัป ในปัจจุบันนี้ (บางกัป ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสเลย เป็นยุคที่โลก เสื่อมจากความดี เรียกว่า สุญกัป คือ กัปเสื่อม บางกัป มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบังเกิด 1 พระองค์บ้าง 2 พระองค์บ้าง 3 พระองค์ บ้าง อย่างมากที่สุดไม่เกิน 5 พระองค์) |
อิธ เจ นํ
วิราเธสิ จิรํ ตุวํ อนุตปฺเปสิ |
สทฺธมฺมสฺส
นิยามกํ เสริวายํ ว พาณิโช |
ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค
คือ
ความแน่นอนแห่งสัทธรรมในศาสนานี้
ท่านจะต้องเดือดร้อนใจ
ในภายหลังสิ้นกาลนาน
ดุจพาณิชชื่อเสรีวะผู้นี้
ฉะนั้น
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com