Logo003poet2543.gif (2019 bytes)

Tale002.gif (3475 bytes)

นิทานชาดก    นิทานนานาชาติ    นิทานเด็ก

ตัณฑุลนาฬิชาดก

[ตัน-ดุ-ละ-นา-ลิ-ชา-ดก]

ชาดกว่าด้วยความโลภจัดเห็นแก่ได้

หัวข้อประจำเรื่อง
สถานที่ตรัสชาดก   สาเหตุที่ตรัสชาดก   เนื้อหาชาดก   ประชุมชาดก  ข้อคิดจากชาดก  อธิบายศัพท์  พระคาถาประจำชาดก

สถานที่ตรัสชาดก

เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี

สาเหตุที่ตรัสชาดก

ครั้นหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ครั้งนั้น พระทัพพมัลลบุตร ซึ่งสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่ อายุเจ็ดขวบ และเป็นที่รัก ของสงฆ์ทั้งหลาย ได้รับหน้าที่เป็น ภัตตุเทศก์ คือทำหน้าที่ เป็นควบคุม ดูแลหอฉัน โรงทานทุก ๆ วัน ต้องคอย จัดสรร ปันส่วน อาหาร ให้แก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ในมหาวิหาร แห่งนี้ ตลอดจน จัดพระภิกษุ ไปตามที่รับนิมนต์ไว้ อีกด้วย นับเป็นภาระหนักมาก

ในมหาวิหารนี้ มีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งบวชเมื่อแก่ชื่อ อุทายี เป็นผู้มีนิสัย เหลาะแหละ โลเล เจ้าอารมณ์ โลภ เห็นแก่ได้ และติดในรสอาหาร อย่างหนัก ตั้งแต่บวช ก็ไม่ตั้งใจรักษาศีล ประพฤติธรรม เยี่ยงพระภิกษุ ทั้งหลาย ชอบก่อเรื่อง วุ่นวาย เสมอ ๆ แม้เรื่องที่ชั่วหยาบ น่าละอาย ชาวบ้าน ไร้การศึกษา ยังไม่ยอมทำ ท่านก็ทำ จึงเป็นเหตุให้ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงตำหนิ ต่อหน้า ที่ประชุมสงฆ์ และต้องทรงบัญญัติ พระวินัย เพิ่มขึ้น หลายครั้งหลายหน

อาทิเช่น ครั้งหนึ่ง พระอุทายีได้วาดภาพ หญิงเปลือย ลงบนจีวรนางภิกษุณี แล้วหลอกให้นางภิกษุณีนั้น ห่มไปฟัง โอวาท ในที่ประชุมสงฆ์ ทำให้ได้รับ ความอับอาย ขายหน้า อย่างมาก

มีบ่อยครั้ง พระอุทายีผู้โลภจัดเห็นแก่อาหาร ไม่พอใจวิธีการ แบ่งสรรปันส่วนอาหาร ตามวิธีการของ พระทัพพ มัลลบุตร ซึ่งบรรดา พระภิกษุ ทั้งมหาวิหาร ยอมรับแล้วว่า เป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด และยุติธรรมที่สุดแล้ว ทั้งนี้เพราะ มีบ้าง บางครั้งที่ พระอุทายีได้รับ แจกอาหาร ที่ไม่ค่อยประณีต ถูกปาก เนื่องจากบางวัน มีพระเถระผู้ใหญ่ พรรษาสูง จำนวนมาก จากแดนไกล มาเข้าเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรับฟังพระโอวาท พระทัพพมัลลบุตร จำเป็น ต้องจัดอาหาร ที่ประณีต ถวายพระเถระ เหล่านั้นก่อน เป็นเหตุให้ พระอุทายี ได้รับอาหารส่วนแบ่ง ที่ไม่ถูกปากไปบ้าง

วันใด พระอุทายีได้รับอาหาร ที่ประณีตถูกใจ ก็นิ่งเสีย แต่ถ้าวันใด ได้รับอาหาร ไม่ถูกปากไปบ้าง ก็จะเอะอะ โวยวาย พูดเสียดสี กระแทกแดกดัน พระทัพพมัลลบุตร ให้ได้ยินกัน ทั่วหอฉันโรงทาน พระภิกษุทั้งหลาย ต่างพากัน อิดหนา ระอาใจ ไปตาม ๆ กัน แต่ไม่รู้ที่จะทำประการใด

วันหนึ่ง มีพระเถระผู้ใหญ่มาเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ พระอุทายี ได้รับส่วนแบ่ง อาหาร ที่ไม่ถูกใจ จึงแสดงอาการ ไม่พอใจ อย่างเคย แต่คราวนี้ หนักกว่าเก่า ถึงกับลุกขึ้น ยืนท่ามกลางสงฆ์ ตะโกนด้วย เสียงดังลั่นว่า

"ท่านทั้งหลาย ในสถานที่นี้ มีพระภิกษุ จำนวนมากมาย นับไม่ถ้วน ใช่ว่า จะมี พระทัพพ มัลลบุตร เท่านั้นเมื่อไร ที่มีฝีมือ ในการแจกสลาก แบ่งสรร ปันส่วนอาหาร แม้เราเอง ก็เข้าใจ วิธีแจกสลากเช่นกัน ทำไม จึงไม่ให้โอกาสเรา เป็น ผู้แจกบ้างเล่า

พระภิกษุทั้งหลาย ปรารถนา จะตัดความรำคาญ จึงมีมติมอบให้ พระอุทายี ทำหน้าที่ แบ่งสรรปันส่วน อาหาร แทน พระทัพพมัลลบุตร

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระอุทายี ก็แบ่งสรรปันส่วน อาหารสงฆ์  ในหอฉันโรงทาน ตามอำเภอใจ โดยไม่คำนึงถึง ความเหมาะสม ตามลำดับพรรษา แต่อย่างใด มีบ้างบางครั้ง ท่านพยายาม จัดสรรอาหาร ตามลำดับพรรษา ก็ทำแบบสะเพร่า ขาดหลักเกณฑ์ เพราะท่าน ไม่ได้คอยติดตามดูแล อย่างใกล้ชิด เช่นพระทัพพมัลลบุตรว่า วันใด มีพระภิกษุ อาคันตุกะ มาเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากที่ไหน ๆ บ้าง แห่งละเท่าใด อายุพรรษา สูงต่ำเพียงไร จึงทำให้ ส่วนแบ่ง อาหารลักลั่น ไม่เหมาะสม บางทีถึงกับ ไม่ทั่วถึงกัน ทำความเดือดร้อน ให้หมู่สงฆ์ ทั้งมหาวิหาร ใครจะท้วงติงอย่างไร   ก็ไม่ยอมฟัง

พระภิกษุหนุ่มและ สามเณร ทั้งหลาย อดทนต่อความ เหลาะแหละ โลเล ไม่เป็นโล้เป็นพาย มักง่าย ขาดวินัย ของ พระอุทายี ต่อไป ไม่ไหว วันหนึ่ง จึงกล่าวกับท่านว่า

"ตั้งแต่ท่านรับหน้าที่แจกสลากเป็นต้นมา พระภิกษุทั้งหลาย ต่างได้รับความเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน ท่านไม่สมควร จะรับหน้าที่นี้ต่อไป จงออกไป เสียเถิด"

ว่าแล้ว ก็ช่วยกันยื้อยุดฉุด พระอุทายี ให้ออกจาก หอฉันโรงทานไป แต่ท่านก็พยายามขัดขืน และตะโกนด่าด้วย ถ้อยคำหยาบคาย ไม่ขาดปาก ทำให้เกิดเสียงอึงคะนึง หนักขึ้น

พระบรมศาสดาประทับอยู่ด้านในหอฉันโรงทาน ครั้นได้สดับเสียงนั้น จึงตรัสเรียกพระอานนท์มาซักถาม ทรงทราบ โดยตลอดแล้ว จึงทรงระลึกชาติ ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรัสว่า

"ดูก่อน อานนท์ มิใช่แต่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ถึงเมื่อชาติก่อน ๆ อุทายีก็ทำความเดือดร้อน เสื่อมลาภ ให้แก่ผู้อื่นมาแล้ว เหมือนกัน"

พระอานนท์จึงกราบทูลอาราธนา ให้ทรงเล่าเรื่องราว แต่หนหลัง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเล่า ตัณฑุลนาฬิชาดก   ดังต่อไปนี้

เนื้อหาชาดก

ในอดีตกาล สมัยเมื่อพรเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ ณ นครพาราณสี แคว้นกาสี พระองค์ทรงมี บัณฑิตผู้หนึ่ง เป็น เจ้าพนักงาน ตีราคาพัสดุ ที่จะซื้อ เข้ามาเป็นของหลวง เช่น ช้าง ม้า ทองคำ และเพชรพลอยต่าง ๆ

เนื่องจาก เป็นประเพณีในสมัยนั้นว่า เมื่อเจ้าพนักงาน ตีราคาพัสดุ ได้รับ พระบรมราชานุญาต ให้ใช้อำนาจแทน พระองค์ ในการตีราคาสินค้าแล้ว หากตีราคาสินค้าว่า มีมูลค่าเป็นเท่าใด เจ้าของ ก็จะได้รับมูลค่า เพียงเท่านั้น จะต่อรอง ขัดขืนไม่ยอมขายมิได้ เป็นอันขาด

บัณฑิตผู้นี้ ได้ทำหน้าที่ของตน อย่างยุติธรรม ไม่ว่า จะตีราคา สินค้าชนิดใด ก็ตีราคาให้สูงต่ำ สมเหตุ สมผล ตลอดมา แต่เนื่องจาก พระเจ้าพรหมทัต ทรงมีอุปนิสัยโลภ เห็นแก่ได้ ชอบเอาเปรียบ แม้แต่ พสกนิกร ตาดำ ๆ ของพระองค์เอง จึงไม่ ค่อยพอพระทัย ในการกระทำของ ท่านบัณฑิต เท่าใดนัก ทรงดำริ อยู่เสมอว่า ถ้าขืนปล่อย ให้ตีราคาเช่นนี้ ไม่ช้า พระราช ทรัพย์ ในท้องพระคลัง ก็จะต้องหมดสิ้นไป มีพระราชประสงค์ ที่จะเปลี่ยน เจ้าพนักงาน ตีราคาเสียใหม่ จึงทรงพยายาม มองหาคนใหม่ เข้ามารับงานแทน

วันหนึ่ง ขณะที่ประทับทอดพระเนตรไปยัง หน้าพระลาน ทรงเห็นชายชาวบ้านนอก คนหนึ่ง เดินเก้ ๆ กัง ๆ ผ่านมา ทางนั้น พระองค์ทรงคาดคะเน จากลักษณะ ท่าทาง ตลอดจน การแต่งเนื้อ แต่งตัว แล้วทรงดำริว่า อย่างไรเสีย บุคคลนี้ คงจะ เป็น คนตระหนี่ ถี่เหนียว แน่ ๆ เหมาะที่จะใช้ให้ ตีราคาพัสดุ ตามพระราชประสงค์ได้ จึงรับสั่งให เรียกตัวชายคนนั้น มาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า

"ถ้าจะให้รับหน้าที่ตีราคาพัสดุที่จะซื้อเป็นของหลวง เจ้าจะทำได้หรือไม่ ?"

ชายผู้นั้นก็รับคำทันที โดยไม่ได้ตรึกตรอง พระราชาจึงทรงปลด เจ้าพนักงาน คนเดิมออก โดยปราศจาก ความผิด แล้วแต่งตั้ง ชายผู้นี้ ขึ้นมา ทำหน้าที่แทน

เจ้าพนักงานคนใหม่ผู้นี้ เคยทราบกิตติศัพท์ ความโลภ เห็นแก่ได้ ของพระราชา มาแล้ว ประกอบกับ ตนเอง ก็มีนิสัย เป็นพาล เห็นแก่ได้ ชอบเอาเปรียบ ผู้อื่น เป็นทุนอยู่เช่นกัน ดังนั้น เมื่อได้รับตำแหน่งแล้ว จึงมักตีราคา ช้าง ม้า และพัสดุ สิ่งของ ที่มีผู้นำมาขาย ในราคาต่ำมาก จึงเป็นที่ พอพระทัย ยิ่งนัก

อยู่ต่อมาไม่นาน มีพ่อค้าผู้หนึ่งได้นำม้าพันธุ์ดี 500 ตัว จากแดนไกล มาเสนอขาย เพื่อใช้ใน ราชการ สงคราม พระเจ้า พรหมทัต จึงรับสั่งให้หา เจ้าพนักงาน คนใหม่ มาตีราคา

โดยเหตุที่ทราบ พระราชอัธยาศัย เขาจึงกดราคาม้าทั้ง 500 ตัวนั้น ให้ต่ำลง อย่างน่าใจหาย คือ มีมูลค่าเท่ากับ ข้าวสาร เพียงทะนานเดียว

พ่อค้าม้านั้นคาดไม่ถึงว่า จะถูกกดราคาต่ำ เช่นนี้ ก็ตกใจ แต่ไม่รู้จะทำประการใด เพราะเกรงกลัว พระราชอาญา ได้แต่ เดินคอตก ไปหาเจ้าพนักงาน ตีราคาคนเดิม เล่าเรื่องทั้งหมด ให้ทราบแล้วขอคำแนะนำปรึกษา

พนักงานบัณฑิตตรีกตรอง โดยรอบคอบแล้ว จึงแนะอุบายให้พ่อค้าม้าว่า

"ท่านจงกลับไปหา เจ้าพนักงาน ตีราคาผู้นั้น ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ให้สินบนแก่เขา แล้วบอกเขาว่า การที่ม้า 500 ตัวของท่าน ถูกตีราคา เท่ากับ ข้าวสาร 1 ทะนานนั้น ทุกคนทราบดี และไม่ขอโต้แย้ง แต่อย่างใด ที่มาหาครั้งนี้ ก็เพราะ ยังมีความ ข้องใจว่า แล้วข้าวสาร 1 ทะนานจะมีค่าสักเท่าไร ขอให้เขาเทียบ ราคา ข้าวสารนั้น กับนคร พาราณสี และขอร้อง ให้เขา ตอบคำถามนี้ ต่อหน้า พระที่นั่งด้วย ถ้าเขารับปากว่า จะทำให้ ก็จงนัดเขาไป เฝ้าพระราชา แล้วมาบอก ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจะตามไป ช่วยเหลือท่าน อีกแรงหนึ่ง"

พ่อค้าม้า รับทราบอุบายแล้ว ก็ไปยังที่อยู่ ของพนักงาน ตีราคา ให้สินบน แก่เขาจนจุใจ แล้วก็แจ้งความ ประสงค์ ตามอุบาย ของบัณฑิต ทุกประการ

เจ้าพนักงานตีราคาได้รับสินบนแล้ว ก็มีใจเอนเอียงเข้าข้างพ่อค้าม้า รับปาก จะทำตามคำของร้อง และนัดกัน ไปเฝ้า พระราชาในวันรุ่งขึ้น

พ่อค้าม้าก็กลับไปแจ้งให้ท่านบัณฑิตทราบทุกประการ ท่านบัณฑิตจึงนัดหมายอำมาตย์คนอื่น ๆ อีกหลายท่าน ให้เข้า เฝ้าพระราชา ในวันรุ่งขึ้นด้วย

ครั้นถึงเวลานัดหมาย พ่อค้าม้าก็ขอเข้าเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า

"ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบว่าม้า 500 ตัวมีค่าเท่ากับข้าวสาร 1 ทะนาน แต่ยังไม่ทราบว่า ข้าวสาร 1 ทะนาน จะมีราคาสัก เท่าไร?"

พระเจ้าพรหมทัตไม่ทรงเฉลียวพระทัย จึงตรัสถามเจ้าพนักงานตีราคา แต่เนื่องจากเจ้าพนักงานตีราคา ได้รับสินบน จาก พ่อค้าม้าแล้ว ก็กลับมีใจ เอนเอียง ตามวิสัยของคนพาล กลายเป็น พรรคพวกของ พ่อค้าม้าไป เมื่อถูกถามดังนั้น จึงทูล ตอบว่า

"ข้าวสาร 1 ทะนาน มีค่าเท่ากับ นครพาราณสี ทั้งภายในและภายนอก รวมกัน พระเจ้าข้า"

ในสมัยนั้น นครพาราณสี มีปราการล้อมรอบ วัดกำแพงภายใน โดยรอบยาวประมาณ 12 โยชน์ พื้นที่ ทั้งภายใน และภายนอก กำแพง มีอาณาเขต รวมกัน ถึง 300 ตารางโยชน์ บัดนี้ ได้ถูกตีราคา ให้เท่ากับ ข้าวสารเพียง ทะนานเดียว เสียแล้ว

ท่านบัณฑิตได้ยินดังนั้น จึงแสร้งถามเป็นเชิงทบทวนให้คนอื่นคิดตามเป็นคาถาดังนี้ ว่า

"ข้าวสาร 1 ทะนาน มีราคาเท่าไร พระนครพาราณสี ทั้งภายใน และภายนอก มีราคาเท่าไร ข้าวสาร ทะนานเดียว มีค่าเท่ากับ ม้า 500 ตัวเทียวหรือ?"

อำมาตย์ทั้งหลายในที่นั้นได้ฟังแล้ว จึงตบมือหัวเราะ และกล่าวคำเย้ยหยัน ออกมาว่า

"แต่ก่อน เราสำคัญว่า แผ่นดินและพระราชสมบัติ มีค่ามากมาย จนประมาณมิได้ มาบัดนี้ กลับกลายเป็นว่า ราชสมบัติ นครพาราณสี อันกว้างใหญ่ไพศาล ถึงปานนี้ มีราคาเท่ากับข้าวสาร เพียงทะนานเดียว เออหนอ พนักงาน ตีราคาคนนี้ ช่างทำ งามหน้าจริง ๆ พนักงาน ผู้ตีราคา คนก่อนนั้น ไปอยู่เสียที่ไหนเล่า ราชสมบัติ ของพระราชาเรา จึงมีค่าลดลง เหลือเพียง เท่านี้ได้"

พระเจ้าพรหมทัตทรงอดสูพระทัยนัก รับสั่งให้ปลด และขับไล่ เจ้าพนักงานผู้นั้น ออกไปเสียจาก พระราชวัง ทันที แล้วทรงแต่งตั้ง บัณฑิตคนเดิม ให้กลับมาเป็น เจ้าพนักงาน ตีราคา อีกครั้งหนึ่ง ม้าทั้ง 500 ตัว ก็ได้รับการตีราคาใหม่ อย่างยุติธรรม

ประชุมชาดก

ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงชาดกจบแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า

เจ้าพนักงานตีราคาผู้โลภเห็นแก่ได้ ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอุทายี
เจ้าพนักงานบัณฑิตคนเดิม ได้มาเป็นพระองค์เอง

ข้อคิดจากชาดก

  1. ในการทำงาน ให้ถือเอาความถูกต้องตามหลักการประโยชน์ และความเหมาะสม เป็นเกณฑ์ ไม่ถือเอา แต่ความถูกใจ มิฉะนั้น จะขาดความ ยุติธรรม แล้วกฏหมู่ จะเหนือกฏหมาย เพราะถึงจะทำดีเพียงใด ก็ย่อมไม่ถูกใจ คนพาลเป็นธรรมดา
  2. เมื่อจะมอบหมายงานให้ผู้ใด ถ้าใครรับปากง่ายเกินไปอย่าได้ใช้เลย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยตรัสว่า การที่พระองค์ ทรงมอบหมายให้ใคร ไปทำงานแล้ว ไม่เคยผิดพลาดเลย เพราะถือหลักว่า ถ้าจะใช้คนไหน ทำงานใหญ่งานสำคัญ ถ้าถามว่า ทำได้ไหม แล้วเขาตอบรับ ทันทีว่า ทำได้ ทั้งที่ไม่เคยทำ ท่านจะไม่ทรงใช้ แต่ถ้า คนไหน อิดเอื้อน ไม่ค่อยรับคำ เพราะเกรงว่า จะทำได้ดี ไม่ถึงขนาด แต่สามารถแจกแจงได้ว่า งานนั้น มีปัญหา อย่างนั้น ๆ และจะแก้ได้ อย่างนี้ ๆ ให้พิจารณาใช้คนนั้นก่อน
  3. เวลาจะทำงานใหญ่ มีผลประโยชน์มาก ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ มักจะถูกคนพาลโจมตี ให้ท้อใจ หนักใจเสมอ ๆ เพราะไปขัด ผลประโยชน์ของเขา ดังนั้น
    1. ผู้ใดจะทำงานใหญ่ จะต้องฝึกใจให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดินไว้เสียก่อน
    2. ผู้บังคับบัญชา และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายก็ต้องหมั่นให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานด้วย

ภาคผนวก

ชีวประวัติของพระทัพพมัลลบุตร

พระทัพพมัลลบุตร เดิมเป็นพระราชโอรส ของกษัตริย์ราชวงศ์มัลละ ในวันประสูติ พระราชมารดา เสด็จสวรรคต ขณะที่พระองค์ ยังอยู่ในพระครรภ์ ตามธรรมดา เมื่อมารดาสิ้นชีวิต บุตรในครรภ์ก็ต้องสิ้นชีวิตตาม แต่ด้วยเดชะบุญของ พระราชโอรส ในพระครรภ์ ที่ได้เคยสร้างสมมา อย่างดี ตั้งแต่อดีตชาติ จึงยังไม่สิ้นพระชนม์ไป พร้อมกับพระมารดา เนื่องจาก ไม่มีผู้ใดเฉลียวใจ พระศพจึงถูกนำไป ถวายพระเพลิง

ในขณะที่เพลิงกำลังลุกไหม้ พระศพอยู่นั้น ครรภ์ของพระนาง ถูกความร้อน ก็ระเบิดแตกออก พระราชโอรส ใน พระครรภ์ กระเด็นไปตกลงบน กอหญ้าแฝก พระอัยยิกา จึงทรงนำไปเลี้ยงไว้ พระราชทานนามว่า ทัพพะ

พระทัพพกุมาร มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ฝักใฝ่ในธรรม มาตั้งแต่จำความได้ ครั้นเจริญ พระชันษา ได้ 7 ชันษา ได้ฟังพระธรรมเทศนา ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว ก็บังเกิด ความเลื่อมใส ศรัทธา อย่างยิ่ง ประกอบกับ ในอดีตชาติ เคยปฏิบัติธรรม สร้างสมบารมีมา อย่างยิ่งยวด ทำให้ ทรงพิจารณาเห็น ความไม่เที่ยงของสังขาร ได้โดยรวดเร็ว จึงตัดสิน พระทัย เสด็จออก บรรพชา

ในวันบรรพชานั้นเอง ขณะปลงพระเกศา พระทัพพกุมาร ทรงสามารถ ประคับประคองใจ ให้สงบตั้งมั่น อยู่ภายใน บรรลุธรรม สำเร็จเป็น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ไปตามลำดับ ครั้นปลงพระเกศาหมด ก็สำเร็จเป็น พระอรหันต์ อยู่ ณ ที่นั้นเอง นับว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าพิธีบรรพชา

เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ทรงเล็งเห็นว่า บัดนี้ภารกิจในการปราบกิเลส ได้เสร็จสิ้นลง เหลือแต่ภารกิจ เพื่อสงเคราะห์ชาวโลก จึงกราบทูล พระบรมศาสดา ต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ รับทำหน้าที่ จัดเสนาสนะ คือจัดที่อยู่อาศัย ของสงฆ์ และเป็นภัตตุเทศก์ ในพระเชตวันมหาวิหาร

ในสมัยพุทธกาล พระอารามทั้งหลายเป็นสมบัติของสงฆ์ที่มาจากทิศทั้งสี่ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประธาน ดังนั้น พระภิกษุที่เดินทาง มาจาก สถานที่ต่าง ๆ จึงเข้าพักอาศัย ในพระอารามได้ โดยไม่มีข้อจำกัด แต่อย่างใด

เนื่องจากเชตวันมหาวิหารเป็นศูนย์กลาง การเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ในยุคนั้น และพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เสด็จมา ประทับ ครั้งละนาน ๆ จึงมีพระภิกษุ จำนวนมาก ผลัดเปลี่ยนกัน มาเฝ้าอยู่เสมอ ๆ มีความจำเป็น อย่างยิ่ง ที่จะต้องมี พระภิกษุ รูปใดรูปหนึ่ง ประจำหน้าที่ จัดเสนาสนะ ศาลา กุฏิ ให้พระภิกษุเหล่านั้น ได้เข้าพักอาศัย และ ปฏิบัติธรรม อย่างเหมาะสม

พระทัพพมัลลบุตร เมื่อได้รับมอบหน้าที่ให้จัดเสนาสนะ และเป็นภัตตุเทศก์ด้วยแล้ว ก็ทำหน้าที่ ได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้ โดยวัย ท่านจะยังเยาว์อยู่ แต่ก็มีความเป็นเลิศอยู่ถึง 4 ประการ คือ

1. มีปฏิภาณดี

2. มีความจำดี รู้อายุพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ทั่วไป

3. มีความสนใจ ติดตามเหตุการณ์ และผลงานอยู่เสมอ

4. ไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด

งานในหน้าที่ของท่านเป็นงานที่ยุ่งยาก และมักมีปัญหาเฉพาะหน้าให้ต้องแก้ไขอยู่เสมอ เพราะ

1. พระภิกษุมีจำนวนมากด้วยกัน ยากที่จะจัดการให้ถูกใจได้ทุกรูป

2. การปฏิบัติทุกอย่างต้องระวังให้อยู่ในกรอบของวินัยสงฆ์ ดังนั้นเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องอาหาร จึงต้องจัดให้ถูกต้อง   เหมาะสม ตามอายุพรรษา ของ พระภิกษุแต่ละรูป ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาเรื่อย ๆ

บางครั้ง ท่านต้องขอร้องให้พระภิกษุที่อาศัยอยู่ก่อน สละที่พักให้ พระภิกษุที่มาใหม่ ซึ่งมีอายุพรรษา สูงกว่า ตาม ธรรมดาแล้ว ต้องเกิด การไม่พอใจกัน บ้าง แต่ท่านก็มีวิธีการเกลี้ยกล่อม ให้ยอมตามจนได้อย่างเรียบร้อย

พระทัพพมัลลบุตรทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย แม้เวลาดึกดื่นเที่ยงคืน ท่านก็ยังต้องออกมา ต้อนรับ พระภิกษุผู้มาถึงใหม่ และจัดหาที่พักให้

ในสมัยนั้น การจัดหาคบเพลิงและตะเกียง เป็นเรื่องยากลำบาก ในเวลา กลางคืน จำเป็น ต้องใช้ แสงสว่าง นำทาง ท่านจึงเข้า เตโชกสิณ อธิษฐานให้มี เปลวเพลิง ที่นิ้วชี้ของท่าน ด้วยฤทธิ์ พระอรหันต์ แล้วใช้ส่อง ทางเดิน นำพระภิกษุ อาคันตุกะ เข้าที่พักตามที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ

พระภิกษุบวชใหม่จากต่างแดน ได้ทราบกิตติศัพท์ของท่าน ในเรื่องนี้ ก็อยากเห็นบ้าง อุตส่าห์เดินทาง มาจนถึง เชตวัน มหาวิหาร แต่ไม่ยอมเข้าพัก ในเวลากลางวัน รออยู่จนมืดค่ำ แล้วจึงเข้าไป ในมหาวิหาร โดยหวัง จะได้เห็น พระทัพพ มัลลบุตร ชูนิ้วเพลิง นำทางไป แล้วก็ได้เห็นสมใจ แต่ทำให้ พระทัพพมัลลบุตร ต้องเหน็ดเหนื่อย โดยใช่เหตุ ถึงกระนั้น ท่านก็ไม่เคย ปริปากบ่นหรือท้อถอย แต่ประการใด

ในเรื่องอาหารของพระภิกษุสงฆ์ ก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้นไปอีก เพราะอาหารของ พระภิกษุสงฆ์ ได้มาหลายรูปแบบ คือ

1. โดยการออกบิณฑบาต กรณีนี้ไม่มีปัญหา

2. รับนิมนต์ไปฉันที่บ้าน กรณีนี้มีปัญหาเรื่องการจัดเปลี่ยนเวรพระให้รับนิมนต์ ต้องจัดหมุนเวียน ให้ทั่วถึงกัน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร

3. อาหารที่มีผู้นำมาถวายที่พระอาราม กรณีนี้มีปัญหาเป็นประจำว่า ถ้าอาหารไม่เพียงพอกับ จำนวนพระภิกษุ จะทำอย่างไร อาหารประณีต ไม่ประณีต จะแบ่งสรรอย่างไร จึงจะยุติธรรม

พระทัพพมัลลบุตรจัดการแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ

1. พยายามจัดแบ่งอาหารเป็นกลุ่ม อาหารดี ประณีต จัดให้แก่พระภิกษุที่มีอายุพรรษามาก และ ภายในกลุ่มก็ให้ พระภิกษุ แต่ละรูป จับสลากอาหาร เพื่อไม่ให้เกิดความลำเอียง พระภิกษุกลุ่มที่มีอายุพรรษารองลงมา ก็ได้อาหาร ที่ประณีต รองลงมา และต้องจับสลากภายใน กลุ่มเช่นเดียวกัน

2. พระภิกษุบางรูป โดยวัยแล้ว ชรามาก แต่อายุพรรษาน้อย จึงมีปัญหาเรื่อง ชนิดอาหารอยู่บ้าง ท่านก็ใช้หลัก อนุโลมว่า อาหารร้อนนัก เผ็ดนัก ย่อยยากนัก ก็จัดให้พระภิกษุหนุ่ม สำหรับ พระภิกษุชรา ก็ให้ได้อาหาร ที่เหมาะกับวัย

การแบ่งสรรปันส่วนอาหารในกรณีเช่นนี้ จำต้องใช้หลักเมตตาธรรม และอุเบกขาธรรม อย่างยิ่งยวด พระทัพพ มัลลบุตร มีวิธีเจรจาที่นุ่มนวล และอดทน อย่างยิ่ง จึงได้รับความร่วมมือ ขจัดปัญหาเฉพาะราย ได้สำเร็จอยู่เสมอ ดังนั้น ท่านจึงเป็นที่ยอมรับนับถือ ในหมู่สงฆ์ทั้งหลายว่า เป็นภัตตุเทศก์ ที่มีความ สามารถ เป็นเลิศเสมอมา

    อธิบายศัพท์

    ตัณฑุลนาฬ ทะนานข้าวสาร
    ทัพพะ หญ้าแฝก
    มัลละ ชื่อวงศ์กษัตริย์ของอินเดียโบราณ (มัลลกษัตริย์)
    ทะนาน ชื่อมาตราตวงโบราณ 20 ทะนาน เป็น 1 ถัง
    อาคันตุกะ แขกผู้มาหา
    พระโสดาบัน พระอริยบุคคลชั้นแรกในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่มีสมาธิและปัญญา พอประมาณ สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ (กิเลสอย่างละเอียด) เข้าถึงธรรมกายพระโสดาในตน เมื่อละจากโลกแล้ว ย่อมไป เกิด ในสุคติภูมิ แต่ยังต้อง เวียนว่ายตายเกิด ในมนุษยโลก เพื่อทำความเพียรต่อ อีกอย่างมาก ไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะ หมด กิเลสเด็ดขาด ได้เป็นพระอรหันต์
    พระสกทาคามี พระอริยบุคคลชั้นที่ 2 ในพระพุทธศาสนา เป็น ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ และมีสมาธิปัญญาพอประมาณ เช่นเดียวกับพระโสดาบัน แต่มีกิเลสเบาบางกว่าพระโสดาบัน ถ้าหากมิได้บรรลุธรรมวิเศษ สูงขึ้นไป ในชาตินี้ ท่านจะกลับมาเกิดอีก เพียงชาติเดียวเท่านั้น แล้วก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
    พระอนาคามี พระอริยบุคคลชั้นที่ 3 ในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีศีลและสมาธิบริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่มีปัญญาพอประมาณ มีกิเลสเบาบางกว่า พระโสดาบัน และพระสกทาคามี ถ้าหากมิได้บรรลุธรรมวิเศษสูงขึ้นไปในชาตินี้ เมื่อสิ้นชีวิต ก็จะไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์   ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ที่พรหมโลก    นั้น ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์ทรมาน ในวัฏสงสารอีกต่อไป
    พระอรหันต์ พระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีศีล สมาธิ และปัญญาบริสุทธิ์บริบูรณ์
    เป็น ผู้หมดกิเลส แล้ว เมื่อถึงคราวสิ้นชีวิต ดับขันธ์ ธรรมกายก็เข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องกลับมา เวียนว่ายตายเกิด อีกต่อไป

    พระคาถาประจำชาดก

    กิมคฺฆตี ตณฺฑุลนาฬิกา

    พาราณสีอนฺตรพาหิรานิ

    อสฺสปญฺจสเตตานิ เอกา ตณฺฑุลนาฬิกา

    ข้าวสารทะนานเดียวมีราคาเท่าไร พระนครพาราณสีทั้งภายในและภายนอก มีราคาเท่าไร

    ข้าวสารทะนานเดียว มีราคาเท่าม้า 500 ตัวเทียวหรือ

Ani004LHummbird.gif (2404 bytes)

7Smooth.com Group
Copy Right 1999

poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com