![]() |
|
นิทานชาดก นิทานนานาชาติ นิทานเด็ก |
กัฎฐหาริชาดก [กัด-ถะ-หา-ริ-ชา-ดก] ชาดกว่าด้วยการถือชั้นวรรณะจัด |
หัวข้อประจำเรื่อง |
เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
นับแต่โบราณ ดินแดนประเทศอินเดีย อันเป็นถิ่นกำเนิดของ พระพุทธศาสนา มีการถือชั้น วรรณะ กัน อย่างรุนแรง แม้ในหมู่ พระประยูรญาติของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เองก็ตาม พระพุทธองค์ ทรงพยายาม อย่างยิ่งยวด ที่จะขจัดปัญหานี้ ให้สิ้นไป แต่เนื่องจาก เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน จึงยากแก่การแก้ไข ดังเช่น
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงทราบว่า พระนางวาสภขัตติยา พระราชธิดาของ พระเจ้ามหานาม แห่งศากยวงศ์ ได้ถูกถอด ออกจากตำแหน่ง พระอัครมเหสีของ พระเจ้าปเสนทิโกศล แม้พระราชโอรส ของ พระนาง ชื่อวิฑูทภะ ซึ่งมีอายุประมาณ 7-8 ขวบ ก็พลอยถูกถอด ออกจากตำแหน่ง รัชทายาท ด้วย เพราะ พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทรงทราบ ภายหลังว่า พระนางวาสภขัตติยา เป็นราชธิดา ที่เกิดจาก นางทาสี จึงต้องนับว่า พระนาง อยู่ใน วรรณะต่ำสุด คือ จัณฑาล และพระราชโอรส ของพระนาง ก็ต้องเป็น จัณฑาลด้วย
การที่พระนางวาสภขัตติยา ได้มาเป็นพระมเหสีของ พระเจ้าปเสนทิ กษัตริย์แห่ง แคว้นโกศลนั้น เนื่องด้วย พระเจ้า ปเสนทิโกศล มีความเคารพ เลื่อมใส ในพระบรมศาสดามาก ปรารถนาจะได้เป็น พระประยูรญาติ กับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงสู่ขอ พระราชธิดา ของพระเจ้ามหานาม มาเป็นพระมเหสี
พระเจ้ามหานามนั้น ทรงถือพระองค์ว่า มีชาติตระกูล ที่สูงส่ง เก่าแก่ มาแต่โบราณกาล ส่วนพระเจ้า ปเสนทิโกศลนั้น เป็นราชตระกูล ใหม่กว่ามาก จึงมีพระทัยดูถูก เหยียดหยาม ไม่ประสงค์ จะร่วมพระราชวงศ์ด้วย แต่ไม่อาจขัดขืน ด้วยเกรง พระบรมเดชานุภาพ จึงได้ส่ง พระนางวาสภขัตติยา พระราชธิดาที่เกิดจาก นางทาสีไปให้ โดยหมายพระทัยว่า คงจะไม่มีผู้ใด ล่วงรู้ความลับ เรื่องชาติกำเนิด ของนาง
เมื่อความลับถูกเปิดเผยขึ้น ภายหลัง พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ไม่อาจยกย่องพระนาง กับพระราชโอรส ได้อีกต่อไป แต่ความอาลัยรัก ยังมีอยู่มาก จึงให้เพียงถอด พระราชอิสริยยศเสีย แต่ยังคงให้อาศัยอยู่ ในพระราชวัง ได้ดังเดิม
พระบรมศาสดา มีพระทัยเปี่ยมล้นด้วย ความเมตตากรุณา ใคร่จะอนุเคราะห์ พระนางกับ พระราชโอรส ผู้ปราศจาก ความผิด และขจัดการถือ ชั้นวรรณะ ให้สิ้นไปจากแผ่นดิน ดังนั้น ในเช้าวันหนึ่ง พระองค์จึงได้เสด็จไป ทรงเยี่ยม พระเจ้า ปเสนทิโกศล พร้อมด้วย พระภิกษุ จำนวน 500 รูป ขณะประทับ ฉันภัตตาหาร ณ พุทธอาสน์ พระองค์ได้ตรัสถามถึง พระนาง วาสภขัตติยา ว่าหายไปไหน ไม่เห็นมาเฝ้า เช่นเคยปฏิบัติมา พระเจ้า ปเสนทิโกศล จึงจำเป็นต้อง ตรัสเล่าเรื่องถวาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเรื่องแล้ว จึงตรัสถามโดยกุศโลบายว่า
"ดูก่อน มหาบพิตร พระนางวาสภขัตติยาเป็นธิดาของใคร?"
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบบังคมทูลว่า
"พระนางเป็นธิดาของพระเจ้ามหานามแห่งศากยวงศ์พระเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามต่อไปว่า
"นางมาที่เมืองนี้ มาหาใคร ใครไปขอให้มา หรือนางมาเอง?"
พระราชาทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้า ไปสู่ขอนางมาเป็นพระมเหสีเองพระเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเล็งเห็นทางที่จะช่วยเหลือ พระนางวาสภขัตติยาได้ ก็ต่อเมื่อ ยกเอาแต่ ชาติตระกูล ทางฝ่าย บิดา มาอ้าง และยกเอา ความสำคัญ ของพระราชโอรส มาก่อน จึงตรัสว่า
"ดูก่อน มหาบพิตร นางเป็นธิดาของพระราชา มาสู่พระราชาเหมือนกัน ได้โอรส ก็โดยอาศัย พระราชา ไฉน พระราชโอรสนั้น จึงไม่ควรได้เป็น เจ้าของราชสมบัติ ของพระชนกเล่า อย่าว่า แต่ครั้งนี้เลย แม้แต่โบราณกาล พระราชา มีโอรสกับ หญิงเก็บฟืน ที่อยู่ร่วมกัน เพียงครู่เดียว พระองค์ยังทรงยอม มอบราชสมบัติ แก่พระโอรสนั้นได้"
พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ถึงแม้พระทัยจะเอนเอียง ไปทางข้างยอมรับ ตามพระบรมศาสดา แต่ยังไม่ทรง สบายพระทัย นัก จึงกราบทูลอาราธนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทรงเล่าเรื่อง ในอดีตให้ฟัง พระพุทธองค์ จึงตรัส กัฏฐหาริชาดก มีเนื้อความดังนี้
วันหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัต กษัตริย์แห่ง พระนครพาราณสี ได้เสด็จประพาส พระราชอุทยาน พร้อมด้วย หมู่ข้าราช บริพาร ขณะที่พระองค์ ทรงเพลิดเพลิน ชมความงาม ของมวลไม้ ดอกไม้ผล นานาพันธุ์ อยู่นั้น พลันได้ยินเสียงสตรี ขับร้อง เพลงไพเราะจับใจ ดังมาจากป่าใกล้ ๆ เขตพระราชอุทยาน แม้เพียงได้ยินเสียง ก็ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ รักใคร่ และได้เสด็จไป อยู่ร่วมด้วย
ในขณะนั้นเอง พระโพธิสัตว์ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนาง ด้วยอำนาจ บุญญาบารมีแห่งทารก และบุญกุศล ที่นาง สร้างสมมา หลายภพหลายชาติ ทำให้นางรู้สึกว่า ภายในท้องสว่างไสว ราวกับมีเพชรนับร้อยนับพัน ส่องแสง แข่งประกาย กันอยู่ ก็ทราบว่า ตั้งครรภ์แล้ว จึงกราบทูลให้ พระเจ้าพรหมทัต ทรงทราบ พระองค์จึงพระราชทาน พระธำมรงค์วงหนึ่ง แก่นาง แล้วตรัสว่า หากบุตรในครรภ์ เป็นหญิง ให้นำพระธำมรงค์นั้น ไปขายเลี้ยงชีวิต แต่หากบุตรเป็นชาย ให้พาไปหา พระองค์
หลังจากที่พระเจ้าพรหมทัต เสด็จจากไปแล้ว หญิงเก็บฟืนเฝ้าถนอมครรภ์ ที่เติบโตขึ้น จนครบกำหนด เวลา ก็คลอด บุตร เป็นชาย นางได้เลี้ยงดู กุมารน้อย ด้วยความรัก จนกระทั่ง วันหนึ่ง ขณะที่กุมารน้อยกำลังเล่นอยู่กับ บุตรชาวบ้าน ด้วยกัน เกิดทะเลาะ เบาะแว้งกันขึ้นเด็กคนหนึ่งได้ตะโกนขึ้นว่า
"ไอ้ลูกไม่มีพ่อมันรังแกเรา !"
กุมารน้อยได้ฟังดังนั้น เสียใจและอับอายยิ่งนัก รีบวิ่งกลับมาหามารดา เล่าเรื่องราวให้ฟัง แล้วซักไซ้มารดา ถึงพ่อ ของตน ในที่สุดนางจึงกล่าวว่า
"พระเจ้ากรุงพาราณสีนี่แหละ คือพ่อของลูก"
กุมารน้อยจึงซักไซ้ไต่ถามเรื่องราวแต่หนหลัง พร้อมทั้งถามหาหลักฐาน ที่จะใช้ยืนยันว่า ตนเป็นโอรส ของพระราชา จริง เมื่อมารดา เล่าเรื่องทั้งหมด ให้ฟัง กุมารจึงอ้อนวอน ให้พาเข้าวัง นางทนคำรบเร้า อ้อนวอนของบุตร ไม่ไหว ทั้งรู้ อัธยาศัย ของบุตรว่า เป็นผู้มีจิตมั่นคง แน่วแน่ยิ่งนัก จึงพากัน เข้าไปเจรจา กับนายประตู ขอเข้าเฝ้า พระเจ้าพาราณสี นายประตู เห็นกุมารน้อย มีรูปร่างลักษณะ สง่างาม ก็มีจิตเมตตา ยอมให้ทั้งสองแม่ลูก เข้าเฝ้า
นางได้กราบทูลพระเจ้าพรหมทัตว่า กุมารน้อยคือ โอรสของพระองค์ พระเจ้าพรหมทัตนั้น แม้จะทรง จำนางได้ แต่รู้สึก ละอาย หมู่อำมาตย์ ข้าราชบริพาร ทั้งหลาย ที่พระองค์ได้ไป มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับ หญิงชาวบ้าน ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง จึงตรัสปฏิเสธ แม้กระทั่ง นางนำ พระธำมรงค์มาถวาย ให้ทอดพระเนตร พระองค์ ก็ยังไม่ทรงยอมรับ นางรู้สึก เสียใจ ยิ่งนัก จึงตั้งสติมั่น ยกมือขึ้นประณม เหนือศีรษะ กล่าวสัตยาธิษฐาน ต่อหน้า พระเจ้าพรหมทัตว่า
"หม่อมฉันไม่มีพยานอื่นใดอีกแล้ว ที่จะมากล่าวอ้าง แก่พระองค์ว่า กุมารนี้คือ พระราชโอรส จึงขอยึดสัจวาจา และ บุญกุศล ที่หม่อมฉันได้บำเพ็ญมา ทุกภพทุกชาติ เป็นที่พึ่ง หากกุมารน้อยนี้ เป็นโอรสของพระองค์ ก็จงลอยอยู่ในอากาศ แต่หากว่ามิใช่ ก็ขอให้ ตกลงมาตาย เสียเถิด !"
กล่าวจบ นางจับกุมารน้อย โยนขึ้นไป บนอากาศ ทันที ท่ามกลาง ความตกตะลึงของ พระเจ้าพรหมทัต และหมู่ อำมาตย์ ข้าราชบริพาร ทั้งหลาย
ด้วยอำนาจแห่งสัตยาธิษฐาน ร่างของกุมารน้อย เมื่อถูกโยนขึ้นไป ก็มิได้ตกลงมา กลับนั่งขัดสมาธิ ลอยอยู่ เป็นที่ อัศจรรย์ยิ่งนัก พลางกุมาร กล่าวภาษิตคาถาว่า
"ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระบาทเป็นโอรสของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชน ขอพระองค์ ได้ โปรดชุบเลี้ยงข้าพระบาทไว้ แม้คนเหล่าอื่น พระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉนจะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรส ของพระองค์เองเล่า พระเจ้าข้า"
พระกุมารตรัสเรียกพระชนกว่า เป็นจอมแห่งหมู่ชน โดยหมายจะยกย่องว่า พระราชานั้น ทรงมี พระมหากรุณาธิคุณ ต่อผู้อื่น อย่างยิ่งใหญ่ ทรงเลี้ยงประชาชนทั้งประเทศ โดยสงเคราะห์ด้วย สังคหวัตถุ 4 ประการ คือ
1. ทาน การให้ปัน
2. ปิยวาจา การเจรจาที่ไพเราะอ่อนหวาน
3. อัตถจริยา ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
4. สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนสม่ำเสมอ
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงชุบเลี้ยงลูกของตนเอง
พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตร ปาฏิหาริย์ พร้อมทั้งได้สดับคำ ของกุมารน้อย ทรงตื้นตันพระทัย ยื่นพระกรขึ้นรับ กุมารน้อย พร้อมกับตรัสว่า
"ลงมาเถิดลูกเอ๋ย พ่อจะเลี้ยงเจ้าเอง พ่อจะเลี้ยงเจ้าเอง"
เหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย เมื่อเห็นพระเจ้าพรหมทัต ยื่นพระกรขึ้นรับ พระกุมารน้อย จึงต่างยื่นมือขึ้นรับ กันสลอน เต็มท้องพระโรง นับร้อย นับพันมือ แต่พระกุมาร ลงสู่พระหัตถ์ของ พระบรมราชชนก เพียงผู้เดียว แล้วประทับ นั่งอยู่บน พระเพลา
พระเจ้าพรหมทัตได้พระราชทาน ตำแหน่ง มหาอุปราช แก่พระราชโอรส และทรงแต่งตั้งหญิงเก็บฟืน มารดาของ พระราชโอรส เป็นพระอัครมเหสี
ต่อมา เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้เสด็จสวรรคต กุมารน้อย พระราชโอรส ได้ครองราชสมบัติ สืบแทน ทรงพระนามว่า พระเจ้ากัฏฐวาหนะ
ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงชาดก จบลงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงสบายพระทัย พระราชทาน ตำแหน่ง คืนให้ พระนาง วาสภขัตติยา และพระราชโอรส ตามเดิม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประชุมชาดก ว่า
หญิงเก็บฟืนในครั้งนั้น | ได้มาเป็นพระนางสิริมหามายา | |
พระกุมารน้อยหรือพระเจ้ากัฏฐวาหนะ ในครั้งนั้น | เป็นพระองค์เอง |
กัฏฐหาริกาย | คนเก็บฟืน |
วรรณะ | ในประเทศอินเดีย
มีการแบ่งวรรณะ ตามชาติตระกูล
ถึง 5 วรรณะ คือ
|
บุตร | ลูก มี 4 จำพวก ได้แก่
|
ปุตฺโต ตยาหํ มหาราช ตฺวํ มํ โปส ชนาธิป อญฺเญปิ เทโว โปเสติ กิญฺจ เทโว สกํ ปชํ |
ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระบาท เป็นโอรสของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็น จอมแห่งหมู่ชน ขอพระองค์ ได้ทรงโปรด ชุบเลี้ยงข้าพระบาทไว้ แม้คนเหล่าอื่น พระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉนจะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เองเล่า
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com