Logo003poet2543.gif (2019 bytes)

Tale002.gif (3475 bytes)

นิทานชาดก    นิทานนานาชาติ    นิทานเด็ก

มฆเทวชาดก

[มะ-คะ-เท-วะ-ชา-ดก]

ชาดกว่าด้วยเทวทูต

หัวข้อประจำเรื่อง
สถานที่ตรัสชาดก   สาเหตุที่ตรัสชาดก   เนื้อหาชาดก   ประชุมชาดก  ข้อคิดจากชาดก  อธิบายศัพท์  พระคาถาประจำชาดก

สถานที่ตรัสชาดก

เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี

สาเหตุที่ตรัสชาดก

ครั้งหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล ณ เชตวันมหาวิหาร พระภิกษุกลุ่มหนึ่ง นั่งประชุมสนทนากัน ที่ธรรมสภา ถึงการที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จออกบรรพชาว่า พระองค์ทรงเป็นถึง มกุฏราชกุมาร แห่งศากยวงศ์ อันยิ่งใหญ่ พรั่งพร้อม ด้วย เครื่องบำรุง บำเรอความสุข อันประณีตวิเศษ อย่างที่มิอาจจะหาผู้ใด มาเทียบเทียมได้ ถึงกับมีผู้กล่าว เปรียบเทียบว่า แม้แต่ เทวดา ยังต้องอิจฉา แต่เมื่อพระองค์ ได้ทอดพระเนตรเห็น เทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ เท่านั้น ก็ทรงได้สติ เห็นภัยใน วัฏสงสาร หมดอาลัยใน โลกียสุข ตัดสินพระทัย สละราชสมบัติ ที่กำลังจะมาถึง เสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์ เพื่อบรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณ นำชาวโลกทั้งปวง ไปสู่ความพ้นทุกข์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมายังธรรมสภา ครั้นทรงทราบเรื่อง ที่พระภิกษุกลุ่มนั้น สนทนาแล้ว จึงทรงระลึกชาติ ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า

"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตเห็นเทวทูตทั้งสี่ แล้วได้สติ เห็นภัยในวัฏสงสาร ตัดสินใจ ออกบรรพชา แม้ในกาลก่อน เพียงแต่ได้เห็น ผมหงอกเส้นแรก เกิดขึ้นเท่านั้น ตถาคตก็ได้สติ ตัดสินใจ ออกบรรพชา มาแล้ว"

บรรดาพระภิกษุทั้งหลาย จึงกราบทูลอาราธนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทรงเล่าเรื่องราว ในอดีตชาติ ให้ฟัง ด้วย พระมหากรุณา ที่จะอนุเคราะห์ ภิกษุเหล่านั้น ให้เกิดกำลังใจ ในการปฏิบัติธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงตรัสเล่า มฆเทวชาดก มีเนื้อความดังนี้

เนื้อหาชาดก

ในอดีตกาลเนิ่นนานมาแล้ว ตั้งแต่ยุคต้นกัป ในครั้งนั้น สิ่งแวดล้อมทั่ว ๆ ไปยังไม่เป็นพิษ พื้นโลก อันกว้างใหญ่ ไพศาลนี้ อุดมไปด้วย พืชพันธุ์ธัญญาหาร นานาชนิด พืชชนิดใด ที่ใช้รับประทานได้ จะออกช่อ ออกผล ดกระย้า เต็มต้น และมีรส โอชายิ่งนัก พืชชนิดใด ที่ให้ดอก ให้กลิ่น ก็จะผลิดอก ออกช่อ สีสันงดงาม ส่งกลิ่นหอม อบอวล ไปทั่ว ผืนดิน ไม่สกปรก เน่าเหม็น แต่อุดมไปด้วย แร่ธาตุ อันเหมาะแก่ การเจริญเติบโต ของพืชพันธุ์ ทั้งหลาย ทั้งยังมีกลิ่นหอม อีกด้วย น้ำก็ใส เต็มเปี่ยม ไปทุกลำธาร สะพรั่ง พร้อมด้วย ปทุมชาติ และมัจฉา นานาพันธุ์ แหวกว่าย ไปมา ส่วนบน ท้องนภากาศ นั้นเล่า ผีเสื้อและ เหล่าสกุณชาติ ต่าง ๆ ก็เริงร่าอยู่ด้วย ความสุข ในสภาพเช่นนี้ มนุษย์ ไม่ต่างอะไรกับ เทพยดา บนพื้นพิภพ มีแต่ความ เอื้ออารี ความรัก ความเมตตา กรุณา ความปรารถนาดี ต่อกัน อายุของมนุษย์ ทั้งหลาย จึงยืนยาวถึง 252,000 ปี ความทุกข์ ที่ชาวโลก ยุคนั้นรู้จัก มีเพียง ปวด อุจจาระ ปัสสาวะ และความตาย เท่านั้น

ในครั้งนั้น มีพระราชาอยู่พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ามฆเทวะ ทรงปกครอง กรุงมิถิลา ในแคว้น วิเทหรัฐ โดย ทศพิธราชธรรม บ้านเมือง เปี่ยมด้วย ความสุข ตลอดมา

พระเจ้ามฆเทวะ เป็นกษัตริย์ ที่เป็นที่รัก และเคารพ ของไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน ยิ่งนัก แคว้นวิเทหะ อุดมสมบูรณ์ไปด้วย พืชพันธุ์ ธัญญาหาร พระองค์เอง ก็อุดมไปด้วย ศฤงคารสมบัติ พรั่งพร้อมด้วย เครื่องบำรุงบำเรอ ความสุข อันสรรแล้ว สำหรับ กษัตราธิราช แต่พระองค์ มิได้หลงเพลิดเพลิน อยู่แต่ความสุข ความสบาย ที่ได้รับ พระองค์ ทรงระลึก อยู่เสมอว่า ความตาย จะต้องมาเยือน พระองค์ สักวันหนึ่ง อย่างแน่นอน

วันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ตามลำพัง ณ พระราชอุทยาน ทอดพระเนตร สายน้ำ ที่ไหลล่อง ไปตามลำธาร เห็นมวล บุปผชาติ ทั้งหลาย บ้างยังตูมเต่ง บ้างเบ่งบานราวกับดรุณี ในวัยสะคราญ บ้างแห้งเหี่ยว ร่วงโรย ไปตามกาลเวลา ดุจผู้ชรา ที่ละสังขาร ทิ้งไว้ อีกทั้ง ใบไม้ทั้งหลาย ก็เช่นกัน พระองค์ทรงเห็นความจริง ในธรรมชาติ เหล่านี้ จึงรำพึงขึ้นว่า ชีวิตของคนเรานี้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา ได้ประกอบกิจการงาน แห่งตน ใน มัชฌิมวัย แล้วก็ตายไป ในวัยชรา เวลาแห่งชีวิต เหมือนสายน้ำ ที่ไหลไป ย่อมไม่ไหล กลับมาอีก หากเราปล่อยชีวิต ให้ผ่านไปวันหนึ่ง ๆ โดยไม่หาสาระ ประโยชน์ ที่แท้จริง แล้วไซร้  วันหนึ่ง เราจักต้องตายไป อย่างไร้ค่า ไม่ต่างอะไรกับ ดอกไม้ใบไม้ ที่ร่วงหล่น จากต้นแล้ว

คิดดังนั้น พระองค์จึงรีบสั่งให้กัลบก ประจำพระองค์ มาเฝ้าแล้วตรัสแก่กัลบกว่า

"สหายเอ๋ย บัดนี้เรามีอายุถึงแสนกว่าปีแล้ว อีกไม่นาน เราคงจะชรา หากวันใด ที่ท่านพบผมหงอก บนศีรษะเรา ละก็ จงบอกแก่เรา ด้วยเถิด"

กัลบกรับคำ แล้วคอยสังเกตดู เส้นพระเกศาทุกครั้ง ที่ตบแต่งพระเกศา ให้พระราชา

ต่อมาอีกนานนับปี กัลบกผู้นั้น สังเกตเห็น พระเกศาเส้นหนึ่ง หงอกแซม อยู่ในระหว่าง พระเกศา ที่ดำสนิท ของ พระองค์ จึงกราบทูล ให้ทราบ พระเจ้ามฆเทวะ ให้กัลบก ถอนพระเกศา เส้นนั้นให้ เมื่อกัลบก ใช้แหนบทองคำ ถอน พระเกศา เส้นที่หงอก ถวายแก่ พระเจ้ามฆเทวะ แล้ว พระองค์ ทรงวางเส้น พระเกศานั้นไว้ เหนือฝ่าพระหัตถ์ อันสั่นเทา ทรงเพ่งพิศอยู่ แล้วดำริว่า

"บัดนี้ ชีวิตเราล่วงเลย มามากแล้ว เหลืออยู่อีกเพียง 84,000 ปีเท่านั้น ก็คงจะต้องตาย ผมหงอกเส้นนี้ เปรียบเสมือน เทวทูต ที่พญามัจจุราช ส่งมาเตือนเราว่า ย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว และจะต้องตายไปในไม่ช้า ...อนิจจา นี่เราหลง อยู่ในโลกียสุข จนกระทั่ง ผมหงอก เชียวหรือ ... เสียดายเหลือเกิน ที่เราปล่อยเวลา ให้ผ่านไป อย่างไร้ค่า จนความตาย ใกล้เข้ามาแล้ว จึงได้คิด เวลาที่ผ่านไปคือ วัยและชีวิต ที่ผ่านไปด้วย"

พระเจ้ามฆเทวะทรงครุ่นคิด ด้วยความเสียดาย เวลาที่ล่วงไป จนพระพักตร์ เศร้าหมอง พระหัตถ์ และพระบาท เยียบเย็น พระเสโทไหลชุ่ม พระวรกาย พระองค์ทรงตัดสินพระทัยว่า

"เราจะออกบวชวันนี้แหละ"

พระเจ้ามฆเทวะมีรับสั่งให้ ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพาร แจ้งการตัดสินพระทัย เสด็จออกบรรพชา โดยแสดง เส้น พระเกศานั้น ต่อที่ประชุม แล้วตรัสว่า

"ผมหงอกบนศีรษะของเรา ได้เกิดขึ้น นำเอาวัยหนุ่มของเรา ไปแล้ว เหมือนกับ เทวทูต มาบอกว่า ถึงเวลา ที่เรา ควรจะ บรรพชาได้แล้ว"

จากนั้น พระเจ้ามฆเทวะได้พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้แก่กัลบกผู้นั้น แล้วมอบราชสมบัติให้ พระราชโอรส ปกครองแทนพระองค์ สืบไป พระองค์ไปผนวชเป็นฤาษี ณ พระราชอุทยาน มฆเทวอัมพวัน กรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐนั้น ทรงจำเริญ พรหมวิหารสี่ ตลอด 84,000 ปี เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก

ประชุมชาดก

ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงชาดกจบลงแล้ว   ก็ทรงแสดงอริยสัจ 4 ประกอบโดย อเนกปริยาย ลุ่มลึก ไปตามลำดับ พระภิกษุทั้งหลาย ก็ส่งกระแสใจ ไปตาม พระธรรมเทศนานั้น ประคองใจ ให้สงบนิ่ง ได้ดวงตา เห็นธรรม    บรรลุเป็น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ตามกำลังบุญบารมีของตน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประชุมชาดก ว่า

กัลบก ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์
พระราชโอรส ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระราหุล
พระเจ้ามฆเทวะ ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระองค์เอง

ข้อคิดจากชาดก

  1. กาลเวลา ไม่เพียงแต่ผ่านไปเท่านั้น แต่ยังได้กลืนชีวิตของมนุษย์ไปด้วย
  2. เครื่องสำอาง สิ่งย้อมทา เครื่องประดับประดาทั้งหลาย ที่นำมา อำพราง ความเสื่อมไป ของสังขาร
    ย่อมทำให้ ผู้ใช้หลง ประมาท และมัวเมา ในความมีชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้ จะไปปิดบัง เทวทูต คือความแก่ ที่มาเตือน ให้รู้ว่า ถึงเวลา ที่จะเร่งทำ ความดี เพื่อเตรียมตัวตาย ให้พร้อมไว้ได้แล้ว

    นับแต่โบราณกาล บัณฑิตทั้งหลายจึงนิยมรักษาอุโบสถศีล (ศีล 8 ) ทุก ๆ วันพระ งดการละเล่น การประดับ ประดา ย้อมทาร่างกาย ด้วยเครื่องสำอางต่าง ๆ เพื่อดูเทวทูต ที่ค่อย ๆ คืบคลาน มาเยือนตน ให้ชัดเจน จะได้ ไม่ประมาท ในการทำความดี หากผู้ใดละเลย ไม่รักษา อุโบสถศีล ก็ถูกจัดว่า เป็นคนพาล คนหลง เป็นบุคคล ที่สังคม พึงรังเกียจ ไม่มีใครคบค้า สมาคม ด้วย

  3. ลักษณะของผู้มีสติไม่ประมาท
    1. ระแวงภัยที่น่าระแวง
    2. ป้องกันภัยนั้นก่อนที่จะมาถึง

อธิบายศัพท์

    วัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก
    โลกียสุข ความสุขอันเป็นไปในโลก
    มหาภิเนษกรมณ์ การเสด็จออกบรรพชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เทวทูต ทูตแห่งเทวดา หรือ ทูตสวรรค์ (เทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ)
    มัชฌิมวัย วัยกลางคน

    พระคาถาประจำชาดก

    อุตฺตมงฺครุหา มยฺหํ        อิเม ชาตา วโยหรา
    ปาตุภูตา เทวทูตา         ปพฺพชฺชาสมโย มมํ

    ผมที่หงอกบนศีรษะของเรานี้ เกิดขึ้นนำเอาวัยไปเสีย
    เทวทูตปรากฏแล้ว บัดนี้ เป็นสมัยบรรพชาของเรา

Ani004LHummbird.gif (2404 bytes)

7Smooth.com Group
Copy Right 1999

poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com