![]() |
|
นิทานชาดก นิทานนานาชาติ นิทานเด็ก |
สุขวิหารีชาดก [สุ-ขะ-วิ-หา-รี-ชา-ดก] ชาดกว่าด้วยสุขอันเกิดจากการบรรพชา |
หัวข้อประจำเรื่อง |
อนุปิยอัมพวัน แขวงเมืองอนุปิยนคร
หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชแล้ว พระภัททิยะ พระอนุชา ได้เสด็จเสวยราชสมบัติ กรุงกบิลพัสดุ์ สืบต่อ สันตติวงศ์ พระองค์ แม้จะแวดล้อมอยู่ด้วย ราชองครักษ์ ผู้ถวายการอารักขา อย่างหนาแน่น และใกล้ชิด ปานใด ก็ไม่ปรากฏว่า จะทรงสำราญ พระราชหฤทัย อย่างแท้จริง ในทางกลับกัน ทรงมีแต่พระปริวิตก ต่อภยันตราย อันจะพึงเกิดจาก การประทุษ ร้าย อยู่เนืองนิจ มิเคยมีความสงบ และเป็นสุขเลย
ต่อเมื่อออกผนวชใน พระพุทธศาสนาแล้ว ได้บำเพ็ญเพียร เยี่ยงภิกษุทั้งปวง จนหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์ พระเถระ ในขณะนี้ เดินทางภิกขาจาร ไปทุกหนทุกแห่ง โดยลำพัง มีแต่ความปีติและสุข อันไม่อาจประมาณได้ ด้วยสิ่งใด ๆ เป็น อิสระทางใจ ไม่ถูกผูกข้องอยู่กับ อิสริยยศและ อันตรายที่ผู้อื่น จะพึงกระทำกับท่านได้ ท่านจึงมักเปล่งอุทาน ด้วยน้ำเสียง อันแจ่มใส อยู่เนือง ๆ ว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ"
พระภิกษุทั้งหลายผ่านมาได้ยินเข้า ต่างพากันเข้าใจว่า พระเถระผู้นี้ พยากรณ์ ความเป็นอรหันต์ ซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสห้ามไว้เสียแล้ว จึงพากันเข้าเฝ้า กราบทูลเรื่องราวทั้งปวง ให้ทรงทราบ
พระพุทธองค์ ทรงระลึกชาติหนหลัง ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า
"ท่านภัททิยะ มิได้เปล่งวาจา ออกมา เพราะอาลัยใน ราชสมบัติ กรุงกบิลพัสดุ์ และก็มิใช่ต้องการ อวดอ้าง ความเป็น อรหันต์ ดังที่พวกเธอทั้งหลาย หลงเข้าใจหรอก นี่คือ ปกตินิสัย ที่ท่านมีมา แต่ชาติปางก่อน"
บรรดาพระภิกษุทั้งหลาย จึงกราบทูลอาราธนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทรงเล่าเรื่องราว ในอดีตชาติ ให้ฟัง ด้วย พระมหากรุณา ที่จะอนุเคราะห์ ภิกษุเหล่านั้น ให้เกิดกำลังใจ ในการปฏิบัติธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงตรัสเล่า สุขวิหารีชาดก มีเนื้อความดังนี้
สมัยครั้งเมื่อ พระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติ กรุงพาราณสี มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ อุทิจจะ เป็นพราหมณ์ ที่ฉลาด ปราดเปรื่องมาก เป็นที่นับถือยกย่อง ของประชาชนทั่วไป ในฐานะ ครูบาอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหา มากมาย ต่อมา ได้พิจารณา เห็นโทษ ของ การครองเรือน และเห็นอานิสงส์ ของการออกบวชว่า มีคุณยิ่งใหญ่ ไพศาลนัก จึงนำทรัพย์สิน ทั้งหมด ที่ท่านมีอยู่ ออกแจกจ่าย เป็นทาน ส่วนตัวท่าน ไปอาศัยอยู่ใน ป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤาษี ตั้งใจ ฝึกสมาธิ จนได้ฌานโลกีย์ บรรลุสมาบัติ 8 ในครั้งนั้น มีศิษย์พราหมณ์ถึง 500 คน ขอติดตาม ออกบวช เป็นฤาษีด้วย
ที่ป่าหิมพานต์นั้น ในช่วงฤดูฝน จะมีฝนตก กระหน่ำ อย่างหนัก ไม่เหมาะแก่ การเจริญภาวนา ฤาษีอาจารย์ จึงพาสานุศิษย์ เข้ามาพำนักอาศัย อยู่ในเมือง เป็นการชั่วคราว พระเจ้ากรุงพาราณสี ทรงทราบ จึงพระราชทาน พระราช อุทยาน ให้เป็นสถานที่ บำเพ็ญภาวนา เมื่อสิ้นฤดูฝน พระฤาษีอาจารย์ จึงทูลลาพระราชา กลับไปเจริญภาวนา ในป่า ตามเดิม พระเจ้าพาราณสี มีพระราชดำริว่า พระฤาษีอาจารย์นั้น ชราภาพมากแล้ว จะไปอยู่ป่าตามเดิม คงจะลำบากไม่น้อย จึงทรง อาราธนา ให้พำนักอยู่ต่อ ส่วนลูกศิษย์ก็ให้กลับไป บำเพ็ญเพียร ในป่าหิมพานต์กันเอง ตามลำพัง
พระฤาษีอาจารย์ รับอาราธนาแล้ว ได้แต่งตั้งให้ ศิษย์คนโต เป็นผู้ดูแลศิษย์อื่น ทั้งหมด เมื่อเดินทางกลับไป ปฏิบัติ ธรรม ในป่า
วันหนึ่ง ศิษย์คนโต รู้สึกคิดถึงอาจารย์ ใคร่จะไป เยี่ยมเยียนท่าน ในเมือง จึงกำชับศิษย์ ร่วมอาจารย์ทั้งหลาย ให้มั่นบำเพ็ญภาวนา ด้วยความสงบ ส่วนท่านจะไป กราบอาจารย์ พอคลาย ความคิดถึงแล้ว จะรีบกลับมา
ศิษย์หัวหน้า เมื่อถึงกรุงพาราณสี ก็เข้าไปกราบนมัสการ พระฤาษีอาจารย์ หลังจาก ได้ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบกัน พอควรแล้ว ตนก็ปูเสื่อ ลงนอนใน สำนักอาจารย์ ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่ พระเจ้าพรหมทัต ได้เสด็จมาถึง เพื่อกราบ นมัสการ ฤาษีอาจารย์ เช่นกัน ฤาษีผู้เป็นศิษย์ แม้จะได้เห็น พระเจ้าพรหมทัต เสด็จเข้ามา ก็มิได้ลุกขึ้น ทำการต้อนรับ ตาม มารยาทอันดี แต่ประการใด กลับนอนเฉยเสีย ซ้ำยังเปล่งอุทาน ออกมา อีกว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ"
พระเจ้าพรหมทัต ทอดพระเนตรแล้ว รู้สึกขัดเคือง พระทัยยิ่งนัก นึกตำหนิอยู่ว่า "ดาบสผู้นี้ ช่างกระไรเลย แลเห็นเรา แล้ว ไม่ลุกขึ้นต้อนรับ ซ้ำกลับยังเปล่งอุทานออกมา ราวกับจะล้อเลียนเรา ฉะนั้น" จึงตรัสถาม พระฤาษีอาจารย์
"ข้าแต่พระผู้เป็นผู้เจริญ ดาบสผู้นี้ เห็นทีจะฉัน จนอิ่มหนำสำราญมาก เสียแล้ว จึงคร้านที่จะลุกขึ้น ได้แต่นอน เปล่งอุทาน สบายอารมณ์ อยู่อย่างนี้"
พระฤาษีอาจารย์จึงตอบว่า
"ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก มหาบพิตร ศิษย์ของเราผู้นี้ เดิมก็เป็นกษัตริย์ เยี่ยงพระองค์ แต่ที่อุทานออกมา เช่นนั้น ไม่ใช่ เพราะอิ่มจัด ไม่ใช่เพราะ ต้องการกลับไป แสวงหาความสุข จากราชสมบัติ แต่ท่านกลับคิดว่า การออกบวชนั้น เป็นสุขจริง ๆ สุขยิ่งกว่า การเป็นกษัตริย์ เป็นสุขสองชั้น กล่าวคือ สุขที่ไม่ต้องหวาดผวา จากการถูกปองร้าย สุขที่ไม่ต้องมี ภาระมาก ในการดูแล ทุกข์สุข ของประชาราษฎร และสุขที่ไม่ตก เป็นภาระแก่ใคร ๆ ให้ต้องคอย ปกป้อง อารักขา ความปลอดภัย นับเป็น สุขชั้นแรก
อนึ่ง สุขจากการ บรรลุธรรม เป็นสุขอันเลิศ ที่ไม่ต้องอาศัยบุคคล และวัตถุใด ๆ นับเป็นสุขชั้นที่สอง เพราะเหตุที่ ท่านมีสุขถึงเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ ที่จะเปล่งอุทาน อยู่เสมอ ๆ ว่า สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ" แล้ว พระฤาษีอาจารย์ ก็กล่าว ธรรมเทศนาต่อ พระเจ้าพรหมทัต เป็นคาถาว่า
"ชนเหล่าอื่น ไม่ต้องรักษาผู้ใดด้วย ผู้ใดก็ไม่ต้องรักษา ชนเหล่าอื่นด้วย ดูก่อน มหาบพิตร ผู้นั้นแล ไม่เยื้อใย ในกาม ทั้งหลาย ย่อมอยู่เป็นสุข"
มีอรรถาธิบายว่า สุขทางโลกนั้น ต้องอาศัยอามิส ซึ่งมีวัตถุ อำนวยความ สะดวกสบายต่าง ๆ เป็นเครื่องล่อใจ แต่สุขทางธรรม เป็นสุขที่เกิดจาก ใจสงบ ปราศจาก ความเคร่งเครียด และหมกมุ่น แต่ปลอดโปร่ง เบาสบาย
พระเจ้ากรุงพาราณสี สดับพระธรรมเทศนา ด้วยใจที่เบิกบาน แช่มชื่น เข้าพระทัย ในอรรถ และธรรม โดยแจ่มแจ้ง ก็มิได้ทรงถือโกรธ ดาบสผู้นั้น อีกเลย จึงนมัสการลา พระฤาษีอาจารย์ กลับ ส่วนดาบสผู้ศิษย์เอง ก็กราบลา พระอาจารย์ กลับสู่ ป่าหิมพานต์ บำเพ็ญเพียรต่อไป
ส่วนพระอาจารย์ได้พำนักอยู่ ณ พระราชอุทยานจนสิ้นอายุขัย เมื่อละโลกแล้ว ได้ไปบังเกิดใน พรหมโลก ด้วย อำนาจ ฌานสมาบัติ ที่บำเพ็ญมาดีแล้ว
ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงชาดกจบลงแล้ว ก็ทรงแสดงอริยสัจ 4 ประกอบโดย อเนกปริยาย ลุ่มลึก ไปตามลำดับ พระภิกษุทั้งหลาย ก็ส่งกระแสใจ ไปตาม พระธรรมเทศนานั้น ประคองใจ ให้สงบนิ่ง ได้ดวงตา เห็นธรรม บรรลุเป็น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ตามกำลังบุญบารมีของตน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประชุมชาดก ว่า
ศิษย์ผู้เป็นหัวหน้า ในครั้งนั้น | ได้มาเป็นพระภัททิยะ | |
พระฤาษีอาจารย์ ในครั้งนั้น | ได้มาเป็นพระองค์เอง |
บุคคล แม้จะมี จิตใจใสสะอาด แต่ถ้ากิริยามารยาท ยังสำรวมระวังไม่พอ ก็อาจมีผู้เข้าใจผิด คิดเป็นศัตรูได้ โบราณจึงเตือนว่า
"อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด
อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา
อยู่ท่ามกลางปวงประชา
ให้ระวังทั้ง กาย วาจา ใจ"
สุขวิหารี |
ผู้มีปกติอยู่เป็นสุข |
พระภัททิยะ |
พระภัททิยะที่กล่าวถึงในชาดกนี้
อยู่ในกลุ่ม เจ้าชาย
เชื้อพระวงศ์ แห่ง ศากยวงศ์ 6
พระองค์คือ พระภัททิยะ
พระกิมพิละ พระภคุ พระอนุรุทธ์
พระอานนท์ และ พระเทวทัต ที่ออก
ผนวช ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และยังมี ช่างตัดผม ประจำ
ราชสำนัก อีก 1 คน คือ อุบาลี
ซึ่งในการ ออกผนวช ครั้งนั้น
เจ้าชายทั้ง 6 ได้ให้ อุบาลี
บวชก่อน เป็นคนแรก ทั้งนี้
เพื่อเป็นการ ลดทิฐิมานะ ของตน ต่อมาไม่นาน พระภัททิยะ พระกิมพิละ พระภคุ พระอนุรุทธ์ และ พระอุบาลี ก็ได้สำเร็จ เป็น พระอรหันต์ ส่วน พระอานนท์ ได้เป็น พระโสดาบัน เพราะมีเวลา ปฏิบัติธรรม น้อย เนื่องจากเป็น พระอุปัฏฐาก คอยรับใช้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับ พระเทวทัต ได้สำเร็จเพียง ฌานโลกีย์ เท่านั้น |
ยญฺจ
อญฺเญ น รกฺขนฺติ โย จ อญฺเญ
น รกฺขติ |
ชนเหล่าอื่นไม่ต้องรักษาผู้ใดด้วย
ผู้ใดก็ไม่ต้อง
รักษาชนเหล่าอื่นด้วย
ดูกร มหาบพิตร ผู้นั้นแล
ไม่เยื่อใยในกามทั้งกลาย
ย่อมอยู่เป็นสุข
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com