พลิกผันสู่โลกธุรกิจซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาประสพความสำเร็จ
และเหตุการณ์ทำท่าจะไปด้วยดี หากไม่มี
เน็ตสเคป เกิดขึ้นมาท่ามกลางกระแสเวบบูม
สงครามเวบบราวเซอร์กำลังระอุขึ้นมาแล้ว
ในทุกวันนี้กล่าวได้ว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกแทบทุกคนไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จักซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟต์
แต่ถ้าหากเอ่ยถึงผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ที่ชื่อนายบิลล์ เกตส์ บางคนอาจจะรู้จักเป็นอย่างดี
บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ บางทีอาจจะนึกไปถึงบิลล์ คลินตันโน่นเลยก็ได้
เอายังนี้ก็แล้วกัน สมมติว่าคุณไม่เคยรู้จักอะไรเกี่ยวกับบิลล์ เกตส์เลย ถ้าหากจะให้คุณลองหลับตานึกภาพของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟต์
โดยส่วนตัวของผู้เขียนเอง เคยคิดว่าประธานบริษัทไมโครซอฟต์คงจะเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่
อ้วนพลุ้ย พูดเสียงดังน่าเกรงขาม ดูภูมิฐาน มาดนักธุรกิจเต็มตัว อายุประมาณ
50 ปีขึ้นไป ประมาณว่าอาจจะใส่แว่นตาและหัวล้านนิดหน่อย
แต่ที่พูดมาผิดถนัด เพราะบิลล์ เกตส์ ผู้กุมไมโครซอฟต์ไว้ในมือ เป็นเพียงผู้ชายวัยกลางคน
ที่มีอายุเพียง 40 ปี ยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว หน้าตาเป็นมิตร ท่าทางอารมณ์ดีทีเดียว
ก็จะไม่ให้อารมณ์ดีอย่างไร ในเมื่อเขาถูกจัดให้เป็นคนที่รวยที่สุดในอเมริกาติดต่อกันถึง
3 ปีแล้ว ด้วยตัวเลขทรัพย์สินที่เขามีอยู่ถึง 18,500 ล้านดอลลาร์ หรือเทียบเป็นเงินไทยก็กว่า
5 แสนล้านบาท ( 25 บาทต่อดอลลาร์ โดยประมาณ ) ซึ่งเป็นตัวเลขมหาศาลที่ฟังแล้วน่าอิจฉา
และจะอิจฉามากยิ่งขึ้น เมื่อคุณรู้ว่าเขาเริ่มต้นธุรกิจที่ก่อให้เกิดกำไรหลายพันล้านดอลลาร์ด้วยเงินไม่กี่ดอลลาร์
และล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ราคาหุ้นของไมโครซอฟต์พุ่งขึ้น 3 ล้านดอลลาร์ ไปหยุดที่
144.50 ดอลลาร์ ต่อหุ้น ทำให้มูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวของบิลล์ เกตส์ เพิ่มเป็น
2 หมื่นล้านดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว ในปัจจุบันเขามีหุ้นอยู่ในไมโครซอฟต์อยู่ถึง
141 ล้านหุ้น คิดเป็น 24 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ปีก่อนมูลค่าหุ้นในมือบิลล์
เกตส์ มีเพียง 13,000 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น จากหนังสือที่ บิลล์ เกตส์ เขียนเอาไว้ชื่อ
" BILL GATES THE ROAD AHEAD " หรือ " เส้นทางสู่อนาคต โดยบิลล์ เกตส์ " ที่เขาได้รวบรวมเอาแนวความคิด
การทำนายถึงอนคตของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งในนั้นได้มีประวัติเกี่ยวกับตัวเขา
และไมโครซอฟต์..
บิลล์ เกตส์
เกิดและเติบโตที่เมืองซีแอตเติล
มนรัฐวอชิงตัน จุดเริ่มต้นการชอบคอมพิวเตอร์ของเขาคงเหมือนกับเด็กชายคนอื่น
ๆ ที่มาจากเล่นเกม ในสมัยที่เขาเรียนหนังสือมัธยม เขาเล่นเกมเสือตกถังร่วมกับเพื่อนสนิท
พอล แอลเลน ซึ่งพอลในปัจจุบันก็คือผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟต์ ร่วมกับบิลล์
และพอลยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 3 รองลงมาจากบิลล์ เกตส์ แถมพอลยังมีอายุแก่กว่าบิลล์
เกตส์ 3 ปี ปัจจุบันเขาอายุ 43 ปี ทั้งคู่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน และสนใจที่จะเล่นคอมพิวเตอร์เหมือนกัน
ในสมัยนั้นการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของนักเรียนมัธยม ถือเป็นเรื่องลำบากมาก
เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาสูง การจะเข้าไปใช้คอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนมีอยู่เครื่องเดียว
จะต้องจ่ายเงิน 40 เหรียญต่อชั่วโมง จึงทำให้บิลล์ เกตส์ และพอลต้องหารายได้พิเศษเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการที่จะทำให้เขาทั้งคู่มีโอกาสเข้าไปใช้เครื่องที่โรงเรียน
และจุดนี้เองที่ทำให้เขาเข้าไปสู่โลกของธุรกิจซอฟต์แวร์ตั้งแต่อายุน้อย ๆ
โดยเขาได้งานเขียนโปรแกรมที่ทำให้มีรายได้ถึง 5,000 เหรียญต่อหนี่งช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
หนึ่งในโปรแกรมนั้น บิลล์ได้มีโอกาสเขียนโปรแกรมคัดเลือกนักเรียนบรรจุในแต่ละห้อง
และด้วยความเจ้าเล่ห์ของบิลล์ ที่เขาแอบป้อนคำสั่งพิเศษเข้าไป ทำให้เขาเกือบจะเป็นผู้ชายคนเดียวในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยสาว
ๆ
ในช่วงเวลานั้น เมื่อเทียบกันแล้วพอลค่อนข้างจะรู้จักฮาร์ดแวร์ดีกว่าบิลล์
และทั้งคู่ก็ยังคงติดตามความเป็นไปของคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่อง และในปี ค.ศ.
1973 ( พ.ศ.2516 ) บิลล์ เกตส์ ก็ได้เข้าเรียนในฮาร์ดวาร์ด และพอล แอลเลนไปทำงานในบอสตัน
เป็นเจ้าหน้าที่เขียนโปรแกรม มินิคอมพิวเตอร์ให้บริษัทฮันนีเวลล์ ด้วยความใฝ่ฝันที่จะสร้างบริษัทใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของตนเองขึ้นมา
และด้วยความเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตนที่มองการปฏิวัติการสื่อสารนั้น ถูกต้อง
ในปี 1975 ( พ.ศ.2518 ) บิลล์ เกตส์ และพอลได้เปิดบริษัทขึ้น จากเงินออมที่มีอยู่
เงินที่มาจากการทำงานของพอล และรายได้พิเศษจากการเล่นโป๊กเกอร์ของบิลล์ (
บิลล์ เกตส์ในสมัยเป็นนักเรียนเป็นนักเล่นโป๊กเกอร์ตัวยง ) โดยพอลได้ลาออกจากงานเขียนโปรแกรม
และเขาก็ตัดสินใจพักการเรียนที่ฮาร์ดวาร์ด
และโชคก็เข้าข้างบิลล์ เกตส์ ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทไมโครซอฟต์
ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก มีพนักงานกว่า 19,000 คน มียอดขายต่อปีเกินกว่า 8.7
พันล้านเหรียญ ซึ่งบิลล์บอกว่าการประสพความสำเร็จของเขามาจากปัจจัยสำคัญที่สุดคือวิสัยทัศน์แรกเริ่ม
ไมโครซอฟต์ตั้งสำนักงานแห่งแรกในเมืองอัลบูเคิร์ก มลรัฐเม็กซิโก ด้วยหน้าที่จัดหาซอฟต์แวร์ภาษาเบสิก
ให้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคก่อตั้งเกือบทุกยี่ห้อ โดยลบิลล์ เกตส์ รับหน้าที่ทางด้านการขาย
การเงินและการตลาด รวมทั้งการเขียนรหัสในช่วงปีแรก ๆ ของซอฟต์แวร์ของเขามียอดขายต่ำกว่าคิด
ในขณะที่ซอฟต์แวร์ของเขาได้รับความนิยมใช้ในวงกว้าง ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาที่เปรียบเสมือนหนามทิ่มตำใจบิลล์มาตลอด
นั่นก็คือการก๊อปปี้ซอฟต์แวร์ไปใช้ฟรี ๆ เวลาผ่านไปหลายปี บิลล์ได้บุกบั่นฝ่าฟันจนประสพความสำเร็จในการขายซอฟต์แวร์ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ในสหรัฐ
และต้นปี 1979 นั่นเอง บิลล์ได้พาไมโครซอฟต์และพนักงานเกือบโหล ย้ายจากอัลบูเคิร์กไปตั้งสำนักงานใหม่ที่แถบชานเมืองซีแอตเติล
มลรัฐวอชิงตัน บ้านเกิดของเขา ในยุคนั้น เป้าหมายของไมโครซอฟต์อยู่ที่การเขียนซอฟต์แวร์
ซึ่ง ณ วันนี้ บิลล์ เกตส์ ยังคงยืนยันที่จะทำธุรกิจเช่นนี้ตลอดไป ในวันนี้ธุรกิจหลักของไมโครซอฟต์แบ่งออกเป็น
4 กิจกรรมหลัก ๆ นั่นก็คือ ระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์ โปรแกรมช่วยต่าง ๆ
โปรแกรมเซอร์ฟเวอร์ และสื่อโต้ตอบ
สงครามเวบบราวเซอร์
จากประวัติโดยคร่าว ๆ ของบิลล์ เกตส์ เข้าสู่เรื่องราวของอินเทอร์เน็ตกันบ้าง
ถ้าหากคุณติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ จะเห็นได้ว่าตอนนี้ไมโครซอฟต์กำลังทุ่มสุดตัวเพื่อจะแบ่งก้อนเค้กจากตลาดเวบบราวเซอร์มาจาก
เน็ตสเคปให้ได้ โดยทั้งนี้และทั้งนั้น บิลล์ เกตส์ เองได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตในทัศนะของเขาว่า
อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันยังไม่ถือว่าเป็นทางด่วนข้อมูลตามที่เขาใฝ่ฝัน น่าจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของทางด่วนข้อมูล
เขากล่าวต่อไปอีกว่า อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันมีวิวัฒนาการที่รวดเร็วมากเสียจนการนิยามผ่านไปเพียงปีเดียวหรือครึ่งปี
กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว ยิ่งจะทำให้สับสนและยากที่จะตามให้ทันสถานการณ์อันแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ซึ่งหลายบริษัทรวมทั้งไมโครซอฟต์ได้ร่วมมือกันเพื่อจะกำหนดมาตรฐานในอันที่จะขยายขอบข่ายอินเทอร์เน็ต
และเอาชนะข้อจำกัดที่มีอยู่
แน่นอนที่สุดว่าความฝันของบิลล์ เกตส์ คือทางด่วนข้อมูล และอินเทอร์เน็ตคือจุดเริ่มต้นในการพาเข้าไปสู่ความฝัน
ดังนั้นสงครามแย่งชิงความเป็นเจ้าผู้ครองตลาดเวบบราวเซอร์จึงเริ่มขึ้น เมื่อไมโครซอฟต์มีนโยบายในปี
1997 สำหรับทุ่มงบวิจัยซอฟต์แวร์มากถึง 2.1 พันล้านดอลลาร์ โดยกำหนดว่า Internet
Explorer เวอร์ชัน 4.0 จะออกมาให้ดาวน์โหลดกันได้ในปลายปีนี้ ซึ่งแต่เดิมที่มีทีมโปรแกรมเมอร์พัฒนาซอฟต์แวร์ตรงนี้
8 คน ถูกเพิ่มเป็น 30 คน โดยมีความหวังว่าจะครอบครองตลาดซอฟต์แวร์เวบบราวเซอร์แทนเน็ตสเคปน้องใหม่ตัวจ้อยที่มีพนักงานประจำแค่
600 คน ที่หลังจากตั้งมาได้เพียง 2 ปีกว่า เน็ตสเคปกลับมีมูลค่าตลาดถึง 3.2
พันล้านดอลลาร์ หุ้นของเน็ตสเคปพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นประวัติการณ์
ซอฟต์แวร์เน็ตสเคป เนวิเกเตอร์สามารถพบได้ในคอมพิวเตอร์ถึง 40 ล้านเครื่อง
และจากการสำรวจของบริษัทโซนา รีเสิร์ซ ได้เผยแพร่ผลวิจัยล่าสุดพบว่า เน็ตสเคปยังครองความเป็นผู้นำตลาดซอฟต์แวร์
เวบบราวเซอร์ ด้วยอัตราสูงถึง 59 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อินเทอร์เน็ต เอ๊กซ์พลอเรอร์ของไมโครซอฟต์
กระเตื้องขึ้นมาครองตลาดเพิ่มเป็น 18 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นเวบบราวเซอร์ของค่ายอื่น
ซึ่งคาดการณ์กันว่า ต่อไปในอนาคตเวบบราวเซอร์น่าจะเหลือเพียงแค่เน็ตสเคปกันอินเทอร์เน็ตเอ๊กซ์พลอเรอร์เท่านั้น
บิลล์ เกตส์ เองหาได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ โปรเจ๊กต์นับสิบ ๆ รายการที่ไม่เกี่ยวข้องกันอินเทอร์เน็ตถูกสั่งยกเลิกกลางคัน
ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นถูกปรับให้สนับสนุนการใช้งานอินเทอร์เน็ต และเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ถูกสั่งถอนออกมาจากกองทุนฉุกเฉิน
6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อมาใช้ในส่วนของงบวิจัยและพัฒนา ดู ๆ เหตุการณ์ในตอนนี้แล้ว
ทำให้นึกย้อนหลังไปถึงเมื่อครั้งที่โปรแกรมสำเร็จรูปบนวินโดวส์เป็นที่ฮือฮา
และฮือฮามากยิ่งขึ้นกับชุดไมโครซอฟต์ออฟฟิศ ที่ไมโครซอฟต์สามารถครองความเป็นหนึ่งในตลาดของซอฟต์แวร์ด้วยโปรแกรมจัดการด้านเอกสาร
และโดยเฉพาะโปรแกรมสเปรดซีตในชื่อเอ็กเซล ที่มาทีหลังแต่ทำเอาโลตัสเจ้าสังเวียนหงายเก๋งมาแล้ว
ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นมักจะเริ่มเป็นที่สอง แต่ไมโครซอฟต์จากอดีตจนถึงปัจจุบันมักจะสร้างโปรดักส์ได้เหนือกว่าใคร
ทั้งนี้เพราะไมโครซอฟต์มีทีมโปรแกรมเมอร์ที่มีความสามารถพิเศษในการออกแบบโปรแกรมให้ครอบคลุมการทำงานตามความต้องการของผู้ใช้
แถมยังมีลูกเล่นลูกชนแพรวพราว และในการออกแบบอินเทอร์เน็ต เอ๊กซ์พลอเรอร์
ก็คงจะใช้กลยุทธ์แบบดั้งเดิม นั่นก็คือ ยืนพื้นบนมาตรฐานเดิมของโปรแกรมเวบบราวเซอร์
ที่ผู้ใช้เคยใช้มาทุกอย่าง และนำมาเพิ่มเติมปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไป แค่นี้ไมโครซอฟต์ก็สามารถเป็นหนึ่งในตลาดผู้ค้าซอฟต์แวร์ได้ทุกคราไป
ย้อนดูถึงเน็ตสเคปที่อยู่ในสภาวะลำบากที่จะต้องต่อสู้กับไมโครซอฟต์ หลังจากได้เปรียบนำแต้มด้วยการเป็นเจ้าแรกที่ลุยตลาดซอฟต์แวร์เวบบราวเซอร์
เน็ตสเคปให้ผู้ใช้ทุกรายสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ในขณะที่บริษัทเองมีรายได้มาจากซอฟต์แวร์เครื่องเซอร์ฟเวอร์
แต่เมื่อจะหันมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ลงทุนลงแรงไป ไมโครซอฟต์ก็ดอดเข้ามาเป็นก้างขวางคอชะนี่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเน็ตสเคปก็ยังได้เปรียบอยู่ ที่มีฐานผู้ใช้เยอะกว่า และมีชั่วโมงบินสูงกว่าเพราะเริ่มจับงานด้านนี้มาก่อน
ในสายตาของจิม บาร์กเดล ผู้นำเน็ตสเคป คงไม่หยุดเน็ตสเคปให้เป็นแค่การเป็นซอฟต์แวร์เนวิเกเตอร์
หากแต่เขามองเห็นขีดความสามารถของซอฟต์แวร์ที่จะเข้ามาแทนที่ระบบปฏิบัติการได้ในอนาคต
ซอฟต์แวร์เนวิเกเตอร์ของเขาจะไม่เพียงแค่เปิดดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
แต่มันจะยังสามารถเปิดดูข้อมูลจากเครือข่ายภายในบริษัท หรือแม้กระทั่งข้อมูลในฮาร์ดดิสค์
ที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นได้ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้การฟาดฟันในยุทธภูมิซอฟต์แวร์เวบบราวเซอร์เริ่มขึ้น
และดุเดือดยิ่งขึ้นเมื่อไมโครซอฟต์ประกาศให้อินเทอร์เน็ต เอ๊กซ์พลอเรอร์เป็นซอฟต์แวร์แจกฟรี
และจะแจกฟรีตลอดไปอีกด้วย เพราะเมื่อเวอร์ชัน 4.0 ออกมาเยือน ผู้ใช้จะเห็นว่ามันเป็นโปรแกรมที่ฝังลงไปเป็นเวบบราวเซอร์ที่อยู่ในระบบปฏิบัติการวินโดวส์
แทนที่จะเป็นซอฟต์แวร์แยกขายเดี่ยว ( Stand-alone ) อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
แน่นอนว่าผลประโยชน์ตกอยู่กับผู้บริโภค เราท่านทั้งหลายก็จะได้ใช้ซอฟต์แวร์ดี
ๆ และฟรีด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนกำลังเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ว่า
ถ้าหากไมโครซอฟต์สามารถควบคุมผูกขาดการเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์แต่เพียงผู้เดียว
หากไม่มีผู้ใดที่จะไปต่อกรกับยักษ์ใหญ่รายนี้และการผูกขาดจะต้องเกิดขึ้น เมื่อมีการผูกขาด
นั่นก็หมายความว่าผู้บริโภคจะต้องจ่ายเงินซื้อซอฟต์แวร์ที่แพงขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ไมโครซอฟต์เองคงไม่ทำแบบนี้แน่ ถึงแม้ว่าไมโครซอฟต์เองจะสามารถซื้อกิจการของเน็ตสเคป
หรือมาเป็นของตนซะเองก็ย่อมได้ แต่เหตุผลหนึ่งที่เราวางใจได้ว่าไมโครซอฟต์จะไม่ผูกขากตลาดซอฟต์แวร์
นั่นก็คือ ไมโครซอฟต์ยังคงยอมเปิดเผยระบบปฏิบัติการของตน ให้แอพพลิเคชันของคู่แข่งรายอื่น
ๆ สามารถรับบนระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟต์ได้อย่างสะดวกราบรื่น
ก่อนที่จะจบเรื่องราวของอินเทอร์เน็ต เอ๊กซ์พลอเรอร์ของไมโครซอฟต์กับเน็ตสเคป
อยากจะสรุปถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบของทั้งสองในแง่มุมต่าง ๆ เอาไว้ดังนี้
หากพูดถึงในข้อได้เปรียบของไมโครซอฟต์เห็นทีจะอยู่ที่ไมโครซอฟต์ มีระบบปฏิบัติการวินโดวส์อยู่ในมือ
มีพลพรรคมากกว่า และมีตัวโปรดักส์หลากหลายเป็นฐานรองรับที่กว้างกว่าเน็ตสเคป
ส่วนเน็ตสเคปเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แอบวางแผนผูกพันธมิตรกับบริษัทใหญ่ ๆ อีกหลายบริษัทที่ไม่ต้องการให้ไมโครซอฟต์โตไปกว่านี้
ตั้งแต่ไอบีเอ็มไปจนถึงออราเคิล ด้วยการหันไปสนใจอุปกรณ์เวบทีวีกับอินเทอร์เน็ตที่ไมโครซอฟต์ไม่ถนัดนัก
แต่ก็อย่าชะล่าใจ เพราะล่าสุดบิลล์ เกตส์ ได้แย้ม ๆ ออกมาว่าได้ทุ่มงบวิจัยไปกับการสร้างคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่สามารถสนทนากับผู้ใช้
มองเห็น และเดาคำสั่งมือได้ และทางด่วนข้อมูลในฝันของบิลล์ เกตส์ ใกล้เข้ามาแล้ว
ข้อได้เปรียบทางด้านการเชื่อมระบบด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล ทางไมโครซอฟต์หันไปลงทุนกับบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่
UUNET ส่วนเน็ตสเคปหันไปพัฒนาระบบกระจายข้อมูลความเร็วสูงผ่านอินเทอร์เน็ตกับบริษัท
TCI, Hearst และบริษัทอื่น ๆ งานนี้ถ้าสำเร็จเห็นทีเน็ตสเคปมีโอกาสเป็นต่อ
ไม่เป็นมวยรองอีกต่อไป และในส่วนของเซอร์ฟเวอร์สำหรับไมโครซอฟต์ มีวินโดวส์เอ็นที
เป็นระบบปฏิบัติการชูโรงล่าสุด ที่มีโปรแกรม Microsoft ( Internet Information
Server ) ที่จะทำเครื่องเดสค์ท้อป ธรรมดากลายเป็นเซอร์ฟเวอร์สำหรับเวบที่ทรงพลังไปเลย
และในส่วนของเน็ตสเคปมีโปรแกรม Fast Trak ที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับไมโครซอฟต์
โดยไม่ต้องหวั่นเกรงกับการโจรกรรมข้อมูลจากแฮกเกอร์มือดี
สถานการณ์ของไมโครซอฟต์ในเอเชีย
พูดถึงซอฟต์แวร์เวบบราวเซอร์มามากแล้ว
อยากจะย้อนมาดูสถานการณ์ใกล้ตัวเราในภาคพื้นเอเซีย กับข่าวคราวของไมโครซอฟต์
เริ่มจากข่าวร้ายที่ผ่านมาหมาด ๆ เมื่อไมโครซอฟต์ได้จัดจำหน่ายวินโดวส์ 95
เวอร์ชันภาษาจีน และทางการของจีนต้องออกคำสั่งยุติการจำหน่าย เมื่อพบว่ามีข้อความที่ละเมิดทางการเมือง
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า โจรคอมมิวนิสต์ ไต้หวัน รัฐอิสระ รวมไปถึงภาพกราฟิก
แสดงแผนที่ประเทศจีนที่ไม่มีเกาะไต้หวัน และนอกจากนั้น ทางการจีนยังให้ทางไมโครซอฟต์ตัดข้อความดังกล่าวออกอีกด้วย
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วที่เม็กซิโก เกี่ยวกับการใช้ข้อความแบบนี้แหละ
แต่ในประเทศไทยกลับเป็นข่าวดีสำหรับบิลล์ เกตส์ เมื่อไมโครซอฟต์ ( ประเทศไทย
) มั่นใจว่าปีหน้าตลาดซอฟต์แวร์จะขยายตัวมีมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท จึงเตรียมลงทุนในไทยเพิ่มถึง
250 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพนักงานอีก 70 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 40 คน และยังหันมาให้ความสนใจกับพฤติกรรมการใช้ซอฟต์แวร์ฟรีว่าจัดเพิ่มกิจกรรมเข้ามารณรงค์ให้ผู้ใช้
เปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง โดยปีหน้าไมโครซอฟต์เล็งเป้าหมายไปที่การกระตุ้นยอดขาย
โดยเฉพาะยอดขายเกมชุดใหม่ ที่จะจัดโปรโมชันพิเศษร่วมกับสินค้าตัวอื่น ๆ ส่วนเรื่องจะลดปัญหาการก๊อปซอฟต์แวร์ได้แค่ไหน
นิสัยของคนไทยในการใช้ซอฟต์แวร์มีลิขสิทธิ์ ส่วนใหญ่เรายังคงเคยชินกับการใช้ซอฟต์แวร์ฟรี
จนเป็นค่านิยมที่ว่า ซอฟต์แวร์คือของฟรีที่สามารถก๊อปปี้มาใช้เมื่อไหร่ก็ได้
ส่งท้าย ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเมื่อถึงที่สุดเชื่อว่าจะมีทางออกให้เสมอ
ตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เทคโนโลยีวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรสุดแต่ใครจะคาดเดา
แต่หากในวันนี้ กับบทความที่นำเสนอ เราเพียงต้องการให้บิลล์ เกตส์ คือตัวอย่างแห่งความอุตสาหะพยายาม
เขาไม่เคยหยุดนิ่ง ใฝ่หาและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่อยากจะเห็น คืออยากให้คนไทยที่มีโอกาส
ได้พยายามตั้งใจเรียนรู้เทคโนโลยี และเลือกนำสิ่งดี ๆ มาพัฒนาเทคโนโลยีในบ้านเรา
เพื่อให้เราทัดเทียมอารยประเทศต่อไปในวันข้างหน้า ไม่แน่ ! คุณอาจเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านดอลลาร์เหมือนเจ้าพ่อบิลล์
เกตส์ก้ได้ ใครจะไปรู้