สิ่งหนึ่งที่คนมักบ่นกันเกี่ยวกับการใช้อินเตอร์เน็ตก็คือ การเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์ธรรมดานั้นช้ามาก แม้กระทั่งโมเด็มความเร็วสูง ซึ่งส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 28,800 bps ( บิตต่อวินาที ) ก็อาจจะช้าเกินไปสำหรับการดึงข้อมูลกราฟิกและมัลติมีเดียที่มีอยู่มากมายบนอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ไฟล์เหล่านี้จะมีขนาดใหญ่มาก ๆ และใช้เวลานานมากในการส่งข้ามอินเตอร์เน็ตมายังคอมพิวเตอร์ของคุณ
แม้ว่าในที่สุดแล้วการใช้สายใยแก้วนำแสงหรือไฟเบอร์ออปติคอาจจะช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก ๆ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องใช้เวลาอีกนาน ยังมีเทคโนโลยีอื่นให้ใช้ได้ในปัจจุบันซึ่งสามารถให้เกิดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงได้ เรียกว่า ISDN ( Integrated Services Digital Network )
ISDN จะสามารถเชื่อมต่อไปยังอินเตอร์เน็ตได้ด้วยความเร็วสูงโดยใช้สายทองแดงของโทรศัพท์เดิมที่มีอยู่แล้ว แต่บริการก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ เพราะว่าบริษัทโทรศัพท์ทั้งหลายจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ของแต่ละชุมสายให้เป็นพิเศษในแบบ ISDN ด้วย แม้ว่าในปัจจุบันจะมีพื้นที่ที่สามารถใช้บริการ ISDN เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ครบทุกแห่ง ถ้าในเขตที่คุณอยู่สามารถใช้บริการ ISDN ได้ก็น่าจะลองใช้ดู ถึงแม้ว่าบริการนี้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโทรศัพท์ธรรมดาบ้าง แต่ก็อาจจะคุ้มกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น
ในการใช้ ISDN คุณจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งมักจะถูกเรียกว่าเป็น ISDN modem ถึงแม้ว่าอุปกรณ์นี้จะมีลักษณะเหมือนโมเด็ม แต่มันก็ไม่ใช่โมเด็มจริง ๆ หากแต่เป็น terminal adapter หรือ ISDN adapter ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ชิ้นหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถส่งและรับสัญญาณดิจิตอลผ่านสายโทรศัพท์ของระบบ ISDN ได้ โมเด็มปกติจะแปลงสัญญาณดิจิตอลจากคอมพิวเตอร์ของคุณให้เป็นสัญญาณอนาล็อกเพื่อให้ส่งไปบนสายโทรศัพท์ธรรมดาในแบบอนาล็อกได้ แต่ในเมื่อ ISDN นั้นเป็นเทคโนโลยีแบบดิจิตอล ISDN adapter จึงรับส่งข้อมูลในแบบดิจิตอลเท่านั้น อุปกรณ์ ISDN บางตัวจะมีความสามารถและฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ เหมือนกับโมเด็มปกติเพิ่มเข้ามาด้วย คือเป็นทั้งโมเด็มและ ISDN adapter ความสามารถนี้จำเป็นต้องมีเพราะว่าคุณอาจไม่สามารถหาที่ต่อเข้ากับ ISDN ได้ในทุก ๆ สถานที่ และผู้ให้บริการบางรายก็ยอมให้คุณเชื่อมต่อได้เฉพาะด้วยโมเด็มธรรมดาเท่านั้น
ในการที่จะใช้ ISDN กับอินเตอร์เน็ต คุณจะต้องหมุนโทรศัพท์เข้าไปที่เลขหมายซึ่งเตรียมไว้สำหรับ ISDN เท่านั้น ( แต่ปัจจุบันนี้เริ่มมีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตและบริการออนไลน์หลาย ๆ รายในเมืองไทยที่ยอมให้คุณเชื่อมต่อเข้าใช้งานผ่าน ISDN ได้แล้ว )
การเชื่อมต่อผ่าน ISDN มีอยู่หลายแบบ แต่แบบที่ใช้กันมากที่สุดคือ Basic Rate Interface ( BRI ) ซึ่งจะแบ่งการใช้สายโทรศัพท์ของคุณออกเป็นสามช่อง ( logical channel ) ซึ่งไม่ได้เป็นสายที่แยกออกมาจริง ๆ แต่เป็นวิธีการรับส่งข้อมูลหลาย ๆ อย่างพร้อมกันภายในสายโทรศัพท์เส้นเดียว BRI ประกอบด้วยช่องสัญญาณแบบ B ( Bearer ) channel ขนาดความเร็ว 64 kbps ( kilobit per second - หนึ่งพันบิตต่อวินาที ) สองช่อง และช่องสัญญาณแบบ D ( Data ) channel ขนาด 16 kbps หนึ่งช่อง ซึ่งมักจะเรียกรวมกันว่าแบบ 2B+D โดยช่อง D จะส่งข้อมูลเส้นทาง ( routing ) ขณะที่ช่อง B ทั้งสองช่องจะเป็นตัวส่งข้อมูลจริง คุณสามารถคุยโทรศัพท์โดยใช้ช่อง B 1 ช่องได้ในขณะที่ใช้ช่อง B อีกช่องหนึ่งในการติดต่อกับอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ถ้าคุณมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมและผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหรือผู้ให้บริการออนไลน์ยอมให้ทำได้ คุณก็สามารถรวมช่อง B ทั้งสองช่องเพื่อให้เป็นช่องเดียวที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงถึง 128 kbps ได้
1. ISDN ( Integrated Services Digital Network ) เป็นวิธีการที่คุณจะเชื่อมต่อไปยังอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงมาก ๆ โดยใช้สายทองแดงของโทรศัพท์ที่มีอยู่เดิม ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องเดินสายโทรศัพท์ใหม่เพื่อจะใช้ ISDN แต่การที่คุณจะใช้บริการนี้ได้ บริษัทผู้ให้บิรการโทรศัพท์ในท้องถิ่นของคุณจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ ISDN เป็นพิเศษที่ชุมสายโทรศัพท์ด้วย และข้อมูลที่รับส่งระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับอินเตอร์เน็ตก็จะเป็นแบบดิจิตอลเท่านั้น ซึ่งขณะนี้การให้บริการ ISDN เริ่มแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ( ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกาหรือไทยก็ตาม )
2. ในการใช้บริการ ISDN คอมพิวเตอร์จะต้องมีอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งปกติมักเรียกกันว่า ISDN modem ที่จริงแล้ว โมเด็ม ที่ว่านี้ไม่ใช่โมเด็มจริง ๆ แต่ควรจะเรียกว่า terminal adapter มากกว่า โมเด็มธรรมดา ( ย่อมาจาก modulator/demodulator ) จะแปลงสัญญาณดิจิตอลจากคอมพิวเตอร์ของคุณให้เป็นสัญญาณอนาล็อก เพื่อให้ส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ แต่ ISDN เป็นเทคโนโลยีแบบดิจิตอลล้วน ๆ อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องแปลงสัญญาณจากดิจิตอลมาเป็นอนาล็อกอีก แต่ว่า ISDN modem จะส่งข้อมูลดิจิตอลจากคอมพิวเตอร์ของคุณไปบนสายโทรศัพท์แบบ ISDN และรับมันจากสายโทรศัพท์ได้ในลักษณะเดียวกัน
3. สาย ISDN ไม่ได้ใช้ไฟเลี้ยงจากระบบโทรศัพท์เหมือนกับนายโทรศัพท์ปกติ แต่ใช้ไฟเลี้ยงจากแหล่งจ่ายไฟภายนอก โดยทั่วไปแล้ว ISDN modem ก็ต้องการไฟเลี้ยงด้วย ดังนั้นในกรณีที่ไฟดับหรือไฟฟ้าขัดข้อง สาย ISDN ก็จะทำงานไม่ได้
4. มีบริการ ISDN อยู่หลากหลายรูปแบบ แต่โดยทั่วไปบริการที่นิยมกันมากที่สุดคือ Basic Rate Interface ( BRI ) ซึ่งในบริการแบบนี้ สายโทรศัพท์ของคุณจะถูกแบ่งออกเป็นสามช่องหรือ logical channel ซึ่งหมายถึงวิธีการรับและส่งที่เกิดขึ้นในสายโทรศัพท์แยกกันเป็น 3 ทาง ( ไม่ได้แบ่งสายออกเป็นสามสายจริง ๆ ) BRI จะประกอบด้วยช่อง B ( Bearer ) channel ขนาดความเร็ว 64 kbps ( kilobit per second - หนึ่งพันบิตต่อวินาที ) สองช่อง และช่องสัญญาณแบบ D ( Data ) channel ขนาด 16 kbps หนึ่งช่อง ซึ่งมักจะเรียกรวมกันว่าแบบ 2B+D
5. ช่อง B ใช้ในการรับส่งข้อมูลทั่วไป และสามารถใช้พร้อม ๆ กันได้ทั้ง 2 ช่อง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถพูดคุยโทรศัพท์โดยใช้ช่อง B ช่องหนึ่ง แล้วต่อเชื่อมกับอินเตอร์เน็ตทางช่อง B อีกช่องหนึ่งในขณะเดียวกัน ส่วนช่อง D ใช้สำหรับส่งข้อมูลพิเศษเพื่อกำหนดเส้นทางสำหรับการส่งผ่านข้อมูลของช่อง B
6. บริษัทโทรศัพท์บางรายเท่านั้นที่มีอุปกรณ์ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลพิเศษดังกล่าวทางช่อง D ได้ ซึ่งเรียกว่าเป็นการส่งสัญญาณแบบ in-band signaling ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะต้องส่งข้อมูลพิเศษรวมไปกับข้อมูลอื่น ๆ ทางช่อง B แทน ซึ่งจะเรียกว่าการส่งสัญญาณแบบ out-of-band signaling และในกรณีนี้ช่อง B แต่ละช่องก็จะสามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วเหลือแค่ช่องละ 56 kbps เท่านั้น ( จากเดิมเต็มที่คือ 64 kbps ) เพราะว่าถูกแบ่งใช้ความสามารถไปแล้ว 8 kbps ในแต่ละช่องสำหรับส่งข้อมูลพิเศษ
7. ในการเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ต ISDN จะใช้โปรโตคอลแบบ Point-to-Point Protocol ( PPP ) อย่างไรก็ตามช่อง B ทั้งสองช่องยังสามารถรวมกันเป็นช่องเดียวได้โดยใช้โปรโตคอล multilink PPP ( MP ) โดยมีความเร็วถึง 128 kbps เมื่อใช้การส่งสัญญาณแบบ in-band และมีความเร็ว 112 kbps ถ้าใช้การส่งสัญญาณแบบ out-of-band
18 กุมภาพันธ์ 2541