โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


โครงการชลประทาน


  • หน่วยงานรับผิดชอบด้านการชลประทาน

หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลเกี่ยวกับงานด้านการชลประทานโดยเฉพาะนั้น เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยที่หลังจากที่จ้างนายวัน เดอ ไฮเด เข้ามาสำรวจและจัดทำโครงการชลประทานให้แล้ว ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมคลองขึ้นในปีพ.ศ.2446 อยู่ในสังกัดกระทรวงเกษตราธิการ และให้นายวัน เดอ ไฮเด เป็นเจ้ากรม มีหน้าที่ทำนุบำรุงการคมนาคมทางน้ำที่ตื้นเขิน และวางโครงการชลประทาน เพื่อช่วยเหลือการเพาะปลูกในเขตที่ราบภาคกลาง นายวัน เดอ ไฮเด ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมคลองอยู่จนถึงปีพ.ศ.2452 ก็ลาออกไป

แม้ว่าโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่นายวัน เดอ ไฮเด เสนอมา จะไม่สามารถดำเนินการได้เพราะต้องใช้เงินมากเกินกำลัง กรมคลองนี้ก็ยังมีผลงานการสร้างประตูน้ำปากคลอง และปลาย คลองต่าง ๆ หลายสายในเขตที่ราบตอนใกล้ทะเล เช่นคลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก คลองแสนแสบ คลองท่าไข่ คอลงบางขนาก คลองพระโขนง คลองสำโรง และคลองด่าน

ในปีพ.ศ.2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้โอนกรมคลองมาสังกัดกระทรวงโยธาธิการ และเปลี่ยนชื่อเป็นกรมทาง มีหน้าที่สร้างทางทั้งทางบกและทางน้ำ โดยที่ในเรื่องการวางแผนคิดจัดทำเรื่องการขุดคูคลอง เพื่อประโยชน์แห่งการเพาะปลูกนั้น ยังคงให้กระทรวงเกษตราธิการเป็นฝ่ายคิด ส่วนการปฏิบัตินั้นให้เป็นหน้าที่ของกรมทาง

ต่อมาเมื่อจะเริ่มโครงการชลประทานตามข้อเสนอของเซอร์โทมัส วอร์ด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามกรมคลอง มาเป็นกรมทดน้ำ เมื่อ 30 กันยายน พ.ศ.2457 โดยอยู่ในสังกัดกระทรวงเกษตราธิการ เพื่อจะได้ดำเนินการตามโครงการที่วางไว้ หน้าที่สำคัญประการแรกของกรมทดน้ำนี้ ก็คือการเข้ารับภาระจัดการบำรุงพื้นที่ในเขตสัมปทานของบริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม ซึ่งหมดสัญญาลงในปีพ.ศ. 2458 ชื่อกรมทดน้ำนี้ใช้เรียกกันมา จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็นกรมชลประทานเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2470 และใช้นามนี้เรื่อยมาจนปัจจุบัน

  • การจัดการด้านเงินลงทุน

แต่เดิมนั้น แหล่งของเงินทุนที่จะใช้จ่ายในโครงการชลประทานคาดหมายว่า จะได้มาจากการกู้ยืมในต่างประเทศ เช่นเดียวกับที่ได้ทำมาแล้วสำหรับโครงการรถไฟ ดังปรากฏในหนังสือที่กรมหลวงจันทบุรีฯ เสนาบดีกระทรวงพระคลัง กราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานพระราชปฏิบัติเรื่องการจ่ายเงิน ความว่า

"...การสร้างการทดน้ำ ซึ่งเป็นประเภทควรจ่ายในเงินกู้ เพราะเนื่องใน การทำประโยชน์ที่เก็บผลได้ ดังได้เคยบัญญัติไว้แต่แรก ที่ได้เริ่มการกู้เงินในตลาดยุโรป มาทำประโยชน์ในบ้านเมือง"

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปีพ.ศ.2457 อันเป็นปีแรกที่จะเริ่มดำเนินโครงการชลประทานนั้น ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น การจะกู้เงินจากตลาดเงินในยุโรปดังที่เคยปฏิบัติมา จึงไม่อาจจะทำได้

"...ส่วนการที่จะได้กู้เพิ่มเติม ซึ่งคิดด้วยเกล้าฯ ว่าจะได้เริ่มจัดในปี 2457 สำหรับจัดสร้างรถไฟสายเหนือให้ถึงเชียงใหม่ และจัดสร้างการทดน้ำนั้น เมื่อมาเกิดมหาสงครามขึ้นดังนี้ การที่จะกู้ที่ยุโรปนั้นก็เป็นอันสิ้นหวังชั่วเวลาหลายปี"

แม้ว่าจะไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ เพื่อมาลงทุนในโครงการชลประทานได้ แต่เนื่องจาก การ แก้ไขปัญหาด้านการชลประทานนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติอย่างกว้างขวาง รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงตัดสินใจใช้จ่ายลงทุน ในโครงการชลประทานนี้ จากเงินคงพระคลัง ดังเหตุผลในหนังสือกราบบังคมทูลฯ ของเสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ ความว่า

"...ประโยชน์แห่งการทดน้ำ ดังซึ่งจะได้จัดขึ้นตามสกีมของกระทรวง เกษตราธิการนั้น เป็นประโยชน์กว้างขวางในเชิงที่จะได้เปิดตลาดข้าวให้กว้างขวางออกไป ด้วยอำนาจที่บังคับน้ำได้ ไม่ต้องอาศัยดินฟ้าอากาศอย่างเดียว กระทำให้ได้ผลข้าวสม่ำเสมอกว่าแต่ก่อน ...ถ้าไม่เริ่มเสียในบัดนี้ ก็จะต้องได้เนิ่นช้าไป ส่วนว่าการแข่งขันกับประเทศอื่น นับวันก็นับจะเข้มงวดขึ้น ควรเตรียมให้พร้อมแต่เนิ่น ๆ ...จำนวนเงินที่จะจ่ายในการทดน้ำตอน 4 ปีข้างต้นนั้น 10,345,000 บาท เงินจำนวนนี้ถ้าจะเทียบกับเงินคงพระคลังที่มีอยู่แล้ว 23,236,248 บาท ก็เป็นแต่จำนวนครึ่งหนึ่ง ถ้าจ่ายเงินแล้ว เงินคงพระคลังก็คงเหลือในปลายปี 2461 เป็นจำนวนประมาณ 12,891,248 บาท ไม่น้อยถึงกับจะต้องเกรงอันตราย เพราะฉะนั้นถ้าจะจ่ายเงินคงพระคลังเริ่มการไป ก็ยังจะพอจัดได้"

การใช้จ่ายลงทุนในโครงการชลประทานหลังจากนั้น ปรากฏว่าเป็นการใช้จ่ายจากเงินคง พระคลังต่อเนื่องมาโดยตลอดจนถึงปีพ.ศ.2465 โดยไม่ได้มีการกู้ยืมจากต่างประเทศ ซึ่งการใช้จ่ายจากเงินคงพระคลังนี้ ในระยะแรกทำให้เกิดความคล่องตัวมาก เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินเกินดุลในระดับสูงติดต่อกัน โดยเฉพาะในช่วงพ.ศ.2457-2461 ทำให้เงินคงพระคลังมีการสะสมเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ เงินคงพระคลังได้เพิ่มจาก 23,236,248 บาทในปีพ.ศ.2456เป็นถึง 50,849,893 บาทในปีพ.ศ. 2460 และแม้ว่าเงินคงพระคลังจะเริ่มลดลงในปี พ.ศ.2461 แต่ก็ยังสูง ถึง 41,955,832 บาท

จากการที่รัฐบาลต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางการคลังอย่างรุนแรงนับแต่ปี พ.ศ.2465 เป็นต้นมา ทำให้การใช้จ่ายในโครงการชลประทานส่วนที่ 2 ถูกชะลอไว้ และอนุมัติให้ดำเนินการเพียงบางโครงการย่อยเท่านั้นก่อน โดยหวังว่าจะเริ่มโครงการใหญ่ใหม่อีกครั้ง หลังจากที่สามารถแก้ไขปัญหาการคลังลุล่วงแล้ว การใช้จ่ายลงทุนด้านการชลประทานในตอนปลายแห่งรัชสมัย จึงลดน้อยลงไป และแหล่งที่มาของเงินทุนแม้ว่าจะไม่ใช่เป็นการกู้ยืมจากต่างประเทศโดยตรง แต่ก็ได้มาจากเงินที่รัฐบาลกู้ยืมมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินสำหรับใช้จ่ายทั่วไป

    หน้า 2   

    หน้า 4