โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


พัฒนาการแห่งโรงเรียนกฎหมาย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


นอกจากนี้กระทรวงยุติธรรมยังได้สร้างโรงเรียนราชวิทยาลัยขึ้นที่ตำบลบางขวาง จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นโรงเรียนสำหรับผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนกฎหมาย เป็นโรงเรียนที่สอนจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 8 โดยรับเฉพาะนักเรียนประจำ อาจารย์ใหญ่และครูแม่บ้านเป็นชาวอังกฤษ สำหรับการสอนภาษาต่างประเทศนั้นนอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ยังให้เรียนภาษาละตินด้วย แต่ต่อมาโรงเรียนราชวิทยาลัยได้ย้ายไปสังกัดสภากรรมการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงและเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย"

การเรียนการสอนของโรงเรียนกฎหมายในสมัยนี้เชื่อว่ายังคงมีลักษณะเหมือนในสมัยก่อนยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนหลวง แต่คงจะมีสภาพเสื่อมถอยลงจากสมัยที่กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ดังจะเห็นได้จากลายพระหัตถ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์ อธิบดีศาลฎีกา กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15มีนาคม 2456 ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า

"...ครั้นพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานให้ยกโรงเรียนนี้ขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลอยู่ในบังคับบัญชาเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ได้ชื่อว่ามีฐานะอันราชการรับรองให้สอบไล่เนติบัณฑิตในสนามหลวง แลเมื่อนักเรียนคนใดสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตแล้ว เธอสัญญาว่าจะให้เข้ารับราชการศาล ได้รับพระราชทานเงินเดือนเริ่มตั้งแต่ 3 ชั่งดังนี้ เป็นเครื่องบำรุงความอุตสาหะแก่กุลบุตร แต่วิธีสั่งสอนมิได้ดัดแปลงอย่างใด คงให้เป็นไปตามวิธีกฎหมายจารีตธรรมอยู่ตามเดิม การสั่งสอนในโรงเรียนนี้ ผู้ใดมีใจฝักฝ่ายในนิติสารเมื่อสอดส่องดูแล้วจะเห็นได้ว่าทรุดโทรมลงกว่าแต่ก่อน ไม่เหมือนครั้งคณาจารย์กรรมการได้ปกครอง มีการเขม่นขมัดประกวดประชัน ครั้นยกมาขึ้นกระทรวงยุติธรรมมีแต่ครูสั่งสอนตามหลักเล็กเชอร์อยู่ ทำลุ่มๆ ดอน ๆ ไม่จบลักษณะกฎหมาย ไม่ตลอดเวลากำหนดเทอมเพราะขาดหัวหน้าโรงเรียนผู้จะเอาใจใส่ในการเจริญของวิชากฎหมาย เห็นผลปรากฏได้ในการสอบไล่วิชามาทั้ง 2 ปีนั้นแล้ว แลนักเรียนมีจำนวนมากเสียเปล่า น้อยตัวที่จงใจศึกษาจริง น่าจะสงสัยว่าจะเอาเป็นแต่ที่อาศัยพาดพิงด้วยหวังประโยชน์อื่นนั้นโดยมาก เมื่อคิดจำนวนนักเรียนเข้าสอบไล่ในศกนี้ถึง 260 คน ที่ว่าได้คะแนนพ้น 50 คือพ้นเขตกึ่งเป็นคะแนนข้างสูงเพียง 4 คนดังนี้ ควรเป็นที่สลดใจอยู่..."

ความคิดในการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงวิธีการของการเรียนการสอนตลอดจนหลักสูตรโรงเรียนกฎหมายให้สอดคล้องกับระบบกฎหมาย Civil Law ได้เริ่มมีขึ้นเมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และ บรรพ 2 ใกล้จะเสร็จ จึงเกิดความจำเป็นที่นักกฎหมายจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจประมวลกฎหมายอย่างถ่องแท้ เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และบรรพ 2 ที่กำลังจะยกร่างเสร็จนั้นมีหลักกฎหมายและนิติวิธี(Legal Method) อย่างเดียวกับธรรมเนียมการร่างประมวลกฎหมาย (Codification) แต่การเรียนการสอนในโรงเรียนกฎหมายกลับมีรูปแบบอย่างกฎหมาย Common Law นายยอร์ช ปาดูซ์ (George Padoux) หัวหน้าคณะกรรมการร่างประมวลกฎหมาย จึงได้ถวายบันทึกความเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการศึกษากฎหมายเพื่อการใช้ประมวลกฎหมาย ต่อกรมพระสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์ มีใจความสำคัญดังนี้

" ร่างประมวลกฎหมายว่าด้วยลักษณะหนี้จวนจะแล้ว เมื่อการตรวจแก้คำแปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยก็อาจนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในต้นปี พ.ศ.2457 หรือ 2458 ควรรีบด่วนที่จะเริ่มดำเนินการเพื่อให้ศาลไทยได้ใช้ประมวลกฎหมายนี้ในทางที่ถูกต้อง ได้ให้ความเห็น 2 ข้อคือ เหตุผลถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ เหตุผลในความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการสอนนักเรียนกฎหมายก็คือว่า ประมวลกฎหมายก็เหมือนวิทยาการอื่น ๆ การที่ทำกฎหมายให้เป็นประมวลออกใช้นั้นย่อมไม่มีผล เว้นแต่ผู้พิพากษาจะเข้าใจวิธีประมวลกฎหมายโดยถูกต้อง จะต้องฝึกฝนจากการให้แนวความเห็นและคำอธิบาย ผู้พิพากษาไทยที่ได้รับการฝึกฝนมานั้นส่วนมากศึกาจากโรงเรียนกฎหมายที่กรุงเทพฯ คือกฎหมายผัวเมีย มรดก และที่ดินจากครูไทย กฎหมายทั่วไปจากผู้ที่ศึกษากฎหมายจากประเทศอังกฤษ และบางทีก็จากที่ปรึกษากฎหมายชาวยุโรป ผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษก็อ่านจากตำรากฎหมายอังกฤษ ผู้ที่ได้ไปศึกษาก็เพียงแต่ศึกษากฎหมายภาษาอังกฤษได้รับเป็น Barrister-at-Law รวมความว่าผู้พิพากษาไทยได้รับการฝึกฝนแต่แบบอย่างอังกฤษหรือกฎหมายอังกฤษซึ่งเป็นกฎหมายจารีตธรรม(Common Law) วิธีกฎหมายจารีตธรรมกับวิธีกฎหมายประมวลธรรม(Codification)นั้นต่างกันทั้งในหลักกฎหมายและวิธีแปลและใช้กฎหมาย ได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างกันในหลักกฎหมายบางข้อ เช่นหลักสินจ้าง(Consideration) และหลักกฎหมายปิดปาก(Estoppel) ซึ่งเป็นข้อสำคัญในกฎหมายจารีตธรรม แต่ไม่มีในกฎหมายประมวลธรรม กรณีที่ศาลอังกฤษวินิจฉัยหลักกฎหมายปิดปากนั้น ศาลในภาคพื้นยุโรป(Continent) วินิจฉัยตามหลักแสดงเจตนา (Expression of Intention) หรือความยินยอม(Consent) หรือเกี่ยวด้วยการสัตยาบันหรือปฏิบัติแห่งสัญญา (Ratification or Execution of Contracts) ทุกประมวลกฎหมายมีหลักทั่วไปแห่งหนี้ (Obligations) แต่คำว่าหนี้มีใช้น้อยในกฎหมายอังกฤษ หลักลาภมิควรได้ (Undue Enrichment) เป็นส่วนสำคัญในประมวลกฎหมาย ก็ไม่มีในกฎหมายจารีตธรรม กฎหมายจารีตธรรมไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ประมวลธรรมถือข้อที่เขียนลงไว้ในประมวลเป็นหลักเด็ดขาด จะหลีกเลี่ยงไม่ใช้ไม่ได้ ถ้าจะต้องแปลแล้วจะต้องดูถ้อยคำนั้นเอง และข้อความที่รวมประโยคกับข้อความอื่นในประมวลนั้น ที่อาจถือได้ว่าคล้ายคลึงกับข้อในประเด็น นักกฎหมายซึ่งได้ฝึกฝนมาแต่วิธีหนึ่ง คงไม่อาจทำงานอีกวิธีหนึ่งได้ดังหวัง นักกฎหมายทางจารีตธรรมก็จะถือเอาบทมาตราในประมวลเพียงเป็นกฎหมายจารีตธรรม และเอาหลักกฎหมายจารีตธรรมมาปรับใช้ในข้อใดข้อหนึ่ง ถ้าหากไม่มีกล่าวไว้ชัดแจ้งในประมวล ก็จะเป็นการล้มคว่ำวิธีประมวลธรรมเสียทั้งหมด และได้กล่าวถึงปัญหาที่กล่าวมาได้ประสบมาแล้วในประเทศอียิปต์ และประเทศญี่ปุ่น เขาได้ปฏิบัติและจัดกันอย่างไรในข้อเกี่ยวกับโครงการศึกษากฎหมายนั้น ได้แนะนำว่าการที่จะส่งนักเรียนไปเรียนเพื่อให้สำเร็จวิชากฎหมายที่ยุโรปนั้น ควรส่งไปมหาวิทยาลัยซึ่งสอนกฎหมายประมวล และไม่ควรส่งไปแต่เพียงประเทศเดียว ประเทศที่ดีที่สุดในการเรียนกฎหมายประมวลธรรมนั้น คือประเทศเยอรมนีและประเทศฝรั่งเศส ส่วนนักเรียนส่วนมากที่ไม่อาจไปยุโรปควรให้ฝึกฝนในวิธีกฎหมายซึ่งเขาจะต้องใช้ นักเรียนที่จะศึกษาประมวลกฎหมายไทยที่จะใช้ต่อไปนั้น ย่อมจะไม่เข้าใจความหมายบริบูรณ์เว้นแต่จะได้รู้ตัวบทหรือคำอธิบายประมวลกฎหมายฝรั่งเศส เยอรมัน และสวิสส์ อันเป็นที่มาของบทมาตราในประมวลกฎหมายไทยนั้น จึ่งควรจะต้องรู้ภาษาฝรั่งเศสหรือเยอรมันด้วย การแก้ไขระเบียบการโรงเรียนกฎหมายนั้น ได้แนะนำในข้อดังนี้

1.ระยะเวลาที่จะต้องเรียน และปริญญาที่จะกำหนดให้
2.หลักสูตร
3.การจัดระเบียบและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน ที่เป็นอยู่ผู้สอนและที่ปรึกษากฎหมายไม่ใช่ศาสตราจารย์ที่แท้จริง ไม่เคยเป็นครูหรือได้เคยเรียนว่าครูควรทำอย่างไร ในต่อไปควรจะต้องมีศาสตราจารย์อย่างน้อยสักคนหนึ่งซึ่งบรรยายเอง แต่หน้าที่สำคัญต้องควบคุมดูแลงานทั่วไป และให้คำสั่งแนะนำวิธีที่จะเตรียมและดำเนินการบรรยายแก่ครูเป็นรายตัวไป ควรเป็นดอกเตอร์กฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยในภาคพื้นยุโรป"