โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
|
|
กรมหลวงสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์ได้ทรงพิจารณาบันทึกความเห็นของนายยอร์ช ปาดูซ์แล้ว มีพระดำริเห็นชอบด้วยจึงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2546 ว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอนและหลักสูตรในโรงเรียนกฎหมายเช่นเดียวกับกรมพระสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์และนายยอร์ช ปาดูซ์ ดังนั้นจึงทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงกรมพระสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2546 ความว่า
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า บันทึกความเห็นของนายยอร์ช ปาดูซ์และรายงานคำกราบบังคมทูลของกรมหลวงสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์ ได้ก่อให้เกิดแนวคิดที่จะมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนและหลักสูตรกฎหมายในโรงเรียนหลวงของกระทรวงยุติธรรม ให้ลงรอยกับระบบกฎหมายของประเทศ อันได้แก่ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความยุ่งยากขึ้นในภายหลัง แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าแม้ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสจะพยายามสร้างอิทธิพลให้กฎหมายของตนปรากฏอยู่ในระบบกฎหมายของไทยก็ตาม แต่ประเทศไทยก็สามารถขจัดปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการจัดสรรอิทธิพลทางกฎหมายของทั้งสองชาติได้อย่างลงตัว กล่าวคือในด้านโครงสร้างส่วนใหญ่ของระบบกฎหมายของประเทศได้เปลี่ยนมาใช้ระบบซีวิลลอว์ของประเทศในภาคพื้นยุโรปเช่นเดียวกับฝรั่งเศส แต่ในด้านเนื้อหาสาระของตัวบทกฎหมายนั้น ประเทศไทยใช้หลักผสม กล่าวคือบางส่วนถือตามหลักกฎหมายในระบบกฎหมายซีวิลลอว์ เช่นกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 และบางส่วนก็ถือตามกฎหมายคอมมอนลอว์ของอังกฤษ เช่นตั๋วเงินในบรรพ 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำหรับการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับระบบกฎหมายของประเทศนั้น ประเทศไทยได้ดำเนินการเป็น 2 แนวทางดังนี้ แนวทางแรก ได้แก่การเปลี่ยนแปลงประเทศที่จะส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชากฎหมาย แต่เดิมอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนกฎหมายคือเนติบัณฑิตที่จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมายในประเทศซึ่งสอนตามระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ บุคคลเหล่านี้ได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาทั้งสิ้น แต่หลังจากนายยอร์ช ปาดูซ์ได้เสนอความคิดเห็นดังกล่าวแล้ว จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงแหล่งศึกษาวิชากฎหมายโดยส่งนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษายังประเทศอื่น ๆ บ้าง ดังนั้นตั้งแต่พ.ศ.2546 เป็นต้นมาจึงได้มีการส่งนักเรียนไปศึกษาวิชากฎหมายที่ประเทศอื่นนอกจากประเทศอังกฤษ เช่นที่สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส เป็นต้น อย่างไรก็ตามประเทศอังกฤษยังคงเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากรัฐบาลไทยในการส่งนักเรียนไปศึกษาวิชากฎหมาย ดังจะเห็นได้จากในระยะเวลา 6 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2460 จนถึงพ.ศ.2465 นั้นมีนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงเดินทางไปศึกษาวิชากฎหมายในต่างประเทศจำนวน 16 คน ในจำนวนนี้ 12 คนไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ และมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่ไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสและประเทศสหรัฐอเมริกา แนวทางที่สอง ได้แก่การปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนกฎหมาย โดยเริ่มต้นตั้งแต่พ.ศ.2457 กล่าวคือเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2457 ได้มีการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในโรงเรียนกฎหมายโดยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อันได้แก่ กรมหลวงสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์ พระยาจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (ลออ ไกรฤกษ์ ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยามหิธร) พระยากฤติกานุกรณ์กิจ (ดั่น บุนนาค ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาพิชัยญาติ) พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) นายซี เนียล(พระยามนูศรีธรรมประสาท) นายอาร์ ประแดนิเกต์ พระยาจินดาภิรมย์ (จิตร ณ สงขลา ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ) หลวงประดิษฐ์พิจารณการ (ทองก้อน หุตะสิงห์ ต่อมาได้เป็นพระยามโนปกรณ์นิติธาดา) และหลวงพินิตนิตินัย (บุญช่วย วณิกกุล ต่อมาได้เป็น พระยาเทพวิฑูรพหุลศรุตาบดี) แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 2 หนี้ ยังไม่อาจประกาศใช้ได้เร็ววันดังที่คาดหวังไว้ เพราะมีปัญหาข้อกฎหมายในตัวบทของบรรพดังกล่าวที่ยังถกเถียงกันอยู่ นอกจากนี้ชาวต่างประเทศที่มีคดีความในศาลส่วนใหญ่เป็นคนในบังคับอังกฤษและฝรั่งเศส ดังนั้นที่ปรึกษากฎหมายชาวต่างประเทศซึ่งมีทั้งชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสย่อมมีส่วนได้เสียในบทบัญญัติที่จะตราขึ้นเป็นประมวลกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติตน เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และบรรพ 2 ยังไม่สามารถประกาศใช้ได้เช่นนี้ จึงจำเป็นอยู่เองที่จะสอนกฎหมายไทยในโรงเรียนกฎหมายตามระบบกฎหมายซีวิลลอว์ยังไม่ได้ การสอนจึงยังคงต้องใช้ผู้พิพากษาและข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมที่เป็นชาวต่างประเทศ อันหมายถึงที่ปรึกษากฎหมายชาวต่างประเทศ สอนวิชากฎหมายแก่นักเรียนในโรงเรียนกฎหมายไปก่อน แต่ก็มีครูสอนภาษาฝรั่งเศสให้แก่นักเรียนกฎหมายที่สมัครเรียนด้วย ต่อมาเนื่องจากความเสื่อมถอยของโรงเรียนกฎหมาย จึงได้มีการปรับปรุงระเบียบการของโรงเรียนขึ้นในพ.ศ.2460 โดยเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมได้กำหนดให้นักเรียนกฎหมายมี 2 ประเภทคือ 1.นักเรียนสามัญ ได้แก่ผู้มีความรู้ไม่ต่ำกว่ามัธยมปีที่ 6 เป็นนักเรียนชั้นอุดมศึกษา บังคับให้ต้องมาฟังคำสอนที่โรงเรียนกฎหมายในระหว่างที่เปิดสอนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 3 วัน หรือเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 12 วัน มิฉะนั้นจะถูกคัดชื่อออกจากทะเบียน 2.นักเรียนพิเศษ ได้แก่ข้าราชการชั้นสัญญาบัตร หรือผู้ที่สอบไล่พระปริยัติธรรมได้เป็นเปรียญ นักเรียนประเภทนี้จะมาฟังคำสอนหรือไม่มาฟังคำสอนก็ได้ |