Home
Profile
Gallery
Lyrics
Musics
Interview
:: Albums ::

Private>>
ชีวิตประจำวันตอนนี้ก็ทำงาน แล้วก็ ถ้ามีวันหยุดมี่ก็จะพักผ่อน ก็ไปสวนสาธารณะ มี่จะไปบ่อยค่ะ เพราะมันอยู่แถวบ้าน ไปวิ่ง ไปขับจักรยาน แล้วก็อยู่บ้าน แต่ตอนอยู่ที่ออสเตรเลีย ก็คือเรียนปกติ เช้าถึงเย็น แล้วก็เวลาว่างก็จะมีไป art gallery บ้าง ไปกับเพื่อน ไปกับคุณครูที่สอนค่ะ เราก็จะมีนัดกันแล้วก็ไป museum ต่างๆ ซึ่งมันจะเป็นจุดเดียวกัน เราก็เดินรอบเลย แล้วก็ ออกกำลังกายค่ะ แล้วก็มีว่ายน้ำ ทำกิจกรรม อะไร เหมือนเด็กทั่วไปล่ะค่ะ คือไม่ได้มีอะไรพิสดาร ไปเดินดูของ เดินเล่น เดินดูซีดี แค่นี้ ส่วนเสื้อผ้า ก็อย่างที่เห็นๆ กัน ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรนะ แต่ว่ามี่ก็ชอบใส่แบบนี้อยู่แล้วค่ะ สำหรับเรื่องเที่ยวนี่ คืออยู่เฉยๆ มันก็เหมือนเที่ยวแล้ว ถ้าเป็นที่ออสเตรเลีย บ้านที่มี่อยู่มันก็ติดธรรมชาติมากเลย เป็นทะเล เป็นสวนเป็นอะไรอย่างนี้ มี่ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ต้องไปไหนเวลาเที่ยวก็คือ อย่างไป art gallery นี่ก็คือไปเปิดกว้าง ไปรับความรู้เข้ามา ไปดูอะไรใหม่ๆ แค่นั้นเอง และก็จะมีไปดูหนังบ้าง ชอบที่จะไปดูที่โรงหนัง เพราะจอมันใหญ่ดี (หัวเราะ)
Art >>
มี่รู้สึกว่าชอบแล้วก็สนุก ที่ได้ทำ ที่มีชอบศิลปะ นี่คือ มันเริ่มต้นมาจากว่า ตอนไปอยู่ที่ออสเตรเลีย แบบว่าเริ่มโต เริ่มแบบ สิบกว่าขวบนี่ก็เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มที่จะแบบ ครูสั่งงานมา เราก็อยากจะทำมันให้เสร็จ แล้วก็อยากจะทำมันให้ดี บวกกับกำลังใจ คะแนนที่เราได้มานี่ มันเหมือนเป็นแบบ เฮ้ย.. สนุกที่แบบทำคะแนนได้ดี แล้วก็เหมือนกับว่าต้องแข่งขัน ถ้าเป็นงานในเรื่องของ painting ใช้สีอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นคนที่มี่ชอบ ชอบ Brett Whiteley ค่ะ งานเขา เจ๋งมาก มี่ก็ชอบ งานศิลปะที่มี่ชอบนี่ ความจริงก็ทำได้หมด แบบว่าทำมันไปได้เรื่อยๆ ทุกงาน คือเขาไม่ได้มาเจาะจงว่าจะต้องเรียนแต่อันนี้ จะ painting ก็ painting อย่างเดียว คือเขาจะมีถ่ายรูป มีโน่น มีนี่ คือเหมือนกับว่า เราก็ได้ลองทำ แล้วเราก็ผ่าน ผ่านมันไปเรื่อยๆ จนตอนหลัง เรารู้แล้วว่าเราชอบอะไร

จริงๆ วาดนี่ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ มี่ชอบงานปั้น งานประดิษฐ์ งานสามมิติ มากกว่า

สถานที่ที่มีชอบไปดูงานศิลปะก็จะมี new south wales Of gallery นะคะ แล้วก็จะมี museum ต่างๆที่มันอยู่แถวๆระแวกนั้น เราก็แค่เดินข้ามถนน แล้วก็เดิน เดินไปเรื่อยๆ มันก็จะมีเป็นตึกใหญ่ๆ บางทีแบบพวกศิลปินของโลก ที่ทำงานเก่งๆ เขาก็จะมาซิดนีย์ มาสร้างผลงานของเขาทิ้งไว้ อย่างเช่น พวกนี้จำไม่ค่อยได้หรอกค่ะ ก็จะแบบว่าเป็นหมา หมาตัวใหญ่มาก ตัวสูงเท่ากับตึกเลยอ่ะ ทำด้วยดอกไม้หมดเลย ส่วนในเมืองไทย มี่ไม่ค่อยรู้จักหรอกค่ะสถานที่ต่างๆ แต่ว่าก็มีพี่เขาแนะนำ อย่างสถานที่ ที่ไปถ่าย wake club ตอนนั้น พี่เขาก็พามี่ไปที่ร้านอะไรจำไม่ได้แล้ว

Love >>
ความรักในมุมมองของมี่นี่ ไม่ได้มองเป็นยังไงเลย ถ้าจะพูดว่าจริงๆ มี่ไม่ได้มีคำพูดที่ว่าแบบความรักเปรียบเหมือนอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรแบบนี้ มี่ไม่อยากเอาความรักไปเปรียบกับอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะว่ามันเปรียบไม่ได้ไง อย่างเช่น ดอกไม้ เปรียบความรักเหมือนดอกไม้อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันไม่มีค่าเท่ากับความรักหรอก ไม่รู้จะเปรียบกับคำว่าอะไร ไม่มีคำพูดนะค่ะ มันแบบ มันเหมือนกับว่าความรักก็คือ ก็คือความรัก ก็คือคบกัน แล้วก็แบบเราก็ต้องเรียนรู้ แต่มันไม่มีคำเปรียบเทียบ คือถ้าเปรียบกับเพลงก้ คือเพลง ไม่มีคำบรรยาย ของ MR.Team ไง แบบว่าไม่ต้องมีคำบรรยาย มันก็คือคำคำนี้แหละ และถ้าเป็นสิ่งของที่มีรักก็หลายๆ อย่าง เก็บ เก็บหมดแหละ พิเศษๆ กระดาษที่ เนื้อเพลง มี่เขียนไว้ตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว อะไรแบบนี้ มี่ก็เก็บ ซึ่งมันก็เป็นของที่มี่รักเหมือนกันนะ ถ้าจะให้ใครมี่ก็ไม่อยากให้น่ะนะ
Music
มี่เริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่ ป.6 เล่นกีต้าร์ คือเป็นกีต้าร์แบบ มือกีต้าร์ของโรงเรียน แต่ว่าไม่ได้เก่งนะ ก็จะมีครูแบบมาช่วยสอน ตีคอร์ดเพิ่ม มีโซโล่ นิดหน่อย เล่น 3 เพลงต่อปีอะไรอย่างนี้นะ (หัวเราะ) ที่มาที่ไปที่ มี่เริ่มไปเล่น นี่คือ เขาจะมี คือ ที่โรงเรียนพระแม่มารี ตอนแรกจะมีแต่วงดุริยางค์ พอตอนหลังก็จะเริ่มมีวงสตริงขึ้นมา เพื่อไม่ให้มีการเบื่อ ก็จะมีครูมาติดป้ายประกาศในโรงเรียนว่า เออ ใครเล่นดนตรีเป็นก็มาสมัคร พอมี่เข้ามา เขาก็บอกว่า เฮ้ย ไหวเหรอเนี่ย! เพราะแต่ก่อนผอมมากค่ะ ก็ลองเล่นดู ก็อยู่ได้ 2 ปี วงก็ยุบ เพราะว่าครูออกไป ไม่มีใครสอนต่อ ต่อจากนั้น เอ่อ พอมี่จบ ม.2 ตอนนั้น ที่เล่นดนตรี ถึงม.1 เล่น 2 ปี พอ ม.2 ไม่ได้เล่นอะไร ก็ จบ ม.2 ไปเรียนต่อที่ซิดนีย์ออสเตรเลีย ก็รู้สึกว่าไม่มีกีต้าร์แล้ว ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเปิดเพลงฟังธรรมดานี่แหละ มันต้องมีการฟังเพลงเกิดขึ้นนะสักวันหนึ่ง เราก็เลยรู้สึกว่าเออ คนนี้ร้องเพลงเพราะ ก็เลยอยากร้องตาม ร้องตามก็เลยชอบที่จะร้องเพลง แล้วก็ฝึกที่จะแกะเพลงคนโน้นคนนี้มาร้อง จนมันกลายเป็นความฝันของเรา ในที่สุดก็เดินเข้ามาแกรมมี่ มาสมัครร้องเพลง แต่กว่าจะได้ร้องเพลง ก็รออยู่นาน ความรู้สึกในระหว่างที่รอ ก็ใช้เวลาเป็นเดือนนะคะ ก็ทุกวัน ทุกวันในเดือนที่มี่รออยู่ ก่อนที่มี่จะได้มาทำเพลงมันก็มีค่า มันรู้สึกว่าทุกวันของมี่มันต้อง อย่างน้อยมี่ ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรว่า พี่คะได้ฟังไหมคะหรืออะไรแบบนี้ ถ้าใครที่เป็นเหมือนมี่ ตอนนี้จะเข้าใจไงว่ามันรู้สึกไง แบบ คือมี่ต้องกลับไปเรียนต่อค่ะ ถ้ามี่ไม่ได้ทำเพลง แต่เผอิญมี่ได้ทำ

นอกจากกีต้าร์แล้วกลองมี่ก็เคยตี ที่มี่ตีกลองเพราะมี่เคยจับแล้ว

มี่ก็อยากจะต่อเนื่องให้มันได้ พอได้นะ มีเรื่องเกี่ยวกับกลอง อย่างเมื่อวันก่อนนี้ มี่ไปหาซื้อวีดีโอสอนกลอง คนขายเขาก็หยิบเอามือกลองของ Dream Theater มาให้ โอ้โห กลองมีแบบ 20 ชุด (หัวเราะ) มีแบบเปิดมางงเลย เฮ้ย บอกว่าเอาเบสิคนะ เอ๊ะ ทำไมมันกลอง 20 กว่าตัว (หัวเราะ) แบบมีเยอะมากเลยนะ ขำดี แต่ก็ไม่ได้อยากจะตีกลองให้มันเก่งอะไรขนาดนั้น เอาเรื่องร้องให้มันดีที่สุดดีกว่า มี่ว่า ร้องเพลงนี่ร้องอยู่กับบ้าน ตอนนี้มี่ต้องมาร้องบนเวที ต้องมาเจอผู้คนหลายๆเรื่อง มี่ต้องปรับความรู้สึก ของมี่ ทั้งกับใจของมี่ด้วย แล้วก็ความกล้าความอะไรทั้งหลายแหล่ คงต้องมีการฝึกซ้อมให้เยอะขึ้นกว่าเดิม

เรื่องของฮีโร่ที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้มี่ชอบร้องเพลงนั้นก็มีหลายคน อย่าง Finona Apple,Cranberries จริงๆแล้วก็มีหลายคนนะ แบบ Input มันเยอะ พ่อแม่ด้วย เป็นเหมือนกำลังใจที่แบบว่า ทำให้มี่รู้สึกว่าตัวเองดีนะ แบบ เวลาจะเหมือนเราเล่นกีต้าร์ดีอย่างนี้ พ่อแม่ชมแล้ว เรารู้สึกว่าเราเก่งในสายตาของเขาแล้วล่ะ แล้วเราจะแบบ พรุ่งนี้เราจะเล่นเก่งกว่านี้ เราจะไปโชว์ เผื่อเขาจะพูดอะไรให้มันเพิ่มกว่านี้ แล้วเรารู้สึกสบายใจที่เราได้ยินคือถ้าเขาไม่ให้กำลังใจมี่ก็คงจะไม่มีวันนี้

Another years >>
ถ้ากับงานศิลปะนี่ก็คงเรื่องเรียนนะคะ ถ้ามี่ต้องเลือกเรียน มี่ก็คงเลือกเรียน เพราะรู้สึกสนุก แต่อย่างอื่นตอนนี้ยังนึกไม่ออก คือมี่ไม่ค่อยนึกอะไรต่อไปนะคะ มี่นึก แบบว่านึกไว้อย่างหนึ่ง แล้วพอมันดีขึ้นแล้วนี่ มี่จะนึกต่อ ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นวันหลัง ก็จะนึกเป็นอย่างๆ ไป
Thanx

พี่มี่ สุดสวยของเราที่เป็นทั้ง แรงบันดาลใจให้เวบเราอยู่รอด อิอิ ช่ายม๊า! อ่ะใช่จิงๆด้วย
ขอขอบคุณ EOTODAY และ ATIMEMEDIA ที่ให้ขอมูลกับเรา


::::Special Thanz::::
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาดู