การให้คำปรึกษาหารือเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่งของผู้บังคับบัญชา
โดยเฉพาะ อย่างยิ่งหัวหน้างานที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ปฏิบัติานโดยตรง
เพราะประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถแล้ว
ยังขึ้นอยู่กับความสมดุลย์ทางอารมณ์เป็นสำคัญ
ดัวยการให้คำปรึกษาหารือไม่ใช่การที่หัวหน้าไปแก้ปัญหาให้ แต่ขึ้นอยู่กับเทคนิคการรับฟัง
วิธีการซักถาม การตอบสนองต่อปฏิกริยาหรืออารมณ์คับข้องใจของลูกน้อง
และการสนทนาเพื่อหาทาง ออกซึ่งอาจเป็น (1) แบบชี้นำ (2) แบบไม่ชี้นำ
(3) แบบร่วมมือกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเรื่องที่มา หารือและขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้จากการรับฟังในเบื้องต้น
สุดท้ายก็จะสร้างความสมดุลย์ทางอารมณ์ หรือหายจากความคับข้องใจไปได้
และถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานหรือเกี่ยวกับบริษัทก็จะเป็นทางออกที่เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
อันเนื่องมาจากการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
การให้คำปรึกษาหารือไม่ใช่เป็นแต่เฉพาะการรอให้ลูกน้องมาขอปรึกษาหารือ
แต่หัวหน้า จะต้องไวต่อพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับการทำงาน อันจะเห็นได้จากความไม่สบายใจ
ความขุ่นข้อง ใจ ความคับข้องใจ ความกดดันต่างๆที่ลูกน้องแสดงออกมา
ในโอกาสเช่นนั้นหัวหน้าจะต้องเป็นผู้ ที่เริ่มการพูดคุย หรือเริ่มการให้คำปรึกษาหารือทันที
ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า (1) หัวหน้าไม่ตระหนักในภาระหน้าที่นี้
เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของ การทำงาน แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับการทำงานมากที่สุด
(2) หัวหน้าตระหนักในภาระหน้าที่นี้แต่ ขาดทักษะ ความชำนิชำนาญในการให้คำปรึกษาหารือ
ก็เลยไม่มั่นใจ กลายเป็นการปลอบโยนหรือ เป็นการหาทางออกที่ไม่ตรงใจของลูกน้อง
ซึ่งก็มีผลต่อความเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าและมีผลต่อการ ทำงานต่อไปอีก ในภาวะการณ์เช่นทุกวันนี้กล่าวได้ว่าลูกน้องหรือผู้ปฎิบัติงานต้องการคำปรึกษาหารือมากที่สุด
เพราะ(เกือบ)ทุกคนมีปัญหาที่ต้องการคำปรึกษาหารือทั้งสิ้น การให้ความรู้ทางด้านนี้
และการที่หัวหน้าแสดงบทบาทในภาระหน้าที่อย่างดีที่สุดนั้นจะส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพใน
การทำงานได้โดยตรง ในการอบรมหลักสูตรนี้ ผู้เข้ารับการอบรมยังได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของ
หัวหน้างานที่สำคัญๆ และความรอบรู้เรื่องพฤติกรรมของบุคคลในองค์กรอันจะเป็นประโยชน์ในการ
ทำงาน และการบังคับบัญชา การจูงใจ และการเป็นผู้นำที่ดีด้วย