ไวรัสตับอักเสบบี
มีเชื้อไวรัสจำพวกหนึ่งที่ชอบอาศัยอยู่ในเซลล์ตับ
และก่อให้เกิดการทำลายเซลล์ตับ
จนเป็นต้นเหตุการเกิดภาวะตับอักเสบขึ้นเราจึงเรียกเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ว่า
ไวรัสตับอักเสบ
การอักเสบของตับจะทำให้ตับบวม
มีการทำลายเซลล์ตับ
ทำให้มีการอ่อนเพลียจากการทำงานผิดปกติของตับ
หากการอักเสบเกิดขึ้นเป็นเวลานาน
จะทำให้ตับถูกทำลายมาก
และถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อพังผืด
ทำให้ตับมีแผลเป็น
และมีลักษณะแข็งเป็นตุ่มๆ
แม้ว่าสาเหตุของตับแข็งจะมีมากมาย
แต่สาเหตุที่สำคัญคือไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
ในบางรายโรคอาจรุนแรงเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้
ไวรัสตับอักเสบบี เป็นไวรัสตับอักเสบชนิดที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรคมาก
และเป็นปัญหาอย่างมาก
ในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
มากกว่า 350 ล้านคนทั่วโลก
ในประเทศไทยคาดว่ามีประชากรถึง
5% มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
และเป็นสาเหตุสำคัญของตับแข็งและมะเร็งตับ
อาการ
ในกรณีที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยมักจะมีอาการที่พบบ่อยคือ
อ่อนเพลียปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
ปวดข้อ คลื่นไส้ อาเจียน
เบื่ออาหาร
อาจพบผื่นขึ้นตามตัวหรือมีท้องเสีย
ปวดมวนในท้อง น้ำหนักตัวลดลง
ซึ่งอาการที่กล่าวมาจะคล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่
ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
ผู้ป่วยบางรายอาจมีปัสสาวะเป็นสีชาเข้ม
ตาเหลือง มีไข้ต่ำๆ
แต่ไม่พบในผู้ป่วยโรคตับอักเสบทุกรายเสมอไป
โดยที่ผู้ป่วยบางรายไม่พบอาการดีซ่านเลยก็ได้
ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไปใน
1-4 สัปดาห์
แต่ในบางรายอาจนาน 2-3 เดือน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ
ยกเว้นบางรายโดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบี
อาจพบว่าราว 5-10 % จะกลายเป็นแบบเรื้อรัง
ซึ่งในรายที่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ
แต่จะมีการอักเสบและมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆ
จนเกิดตับแข็ง
มีภาวะตับวายและเป็นมะเร็งตับในที่สุด
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ทำได้โดยตรวจแอนติเจนผิวของไวรัสตับอักเสบบี
ซึ่งจะบ่งชี้ว่าท่านมีเชื้อไวรัสบีอยู่หรือไม่
หากไม่มีเชื้ออาจตรวจหาภูมิต่อไวรัสบี
ภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เอง
โดยระบบภูมิคุ้มกันของตนเอง
ซึ่งอาจใช้เวลานาน 6 เดือน
แต่ในรายที่ไม่สามารถกำจัดได้หมดและมีการอักเสบของตับอย่างต่อเนื่องนานเกิน
6 เดือน
จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังพวกนี้จะเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็ง
ตับวาย
หรือมะเร็งตับส่วนระยะเวลาที่จะเกิดไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดเมื่อไรขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน
การรักษา
ในปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคตับอักเสบเรื้อรังที่ยังไม่เป็นตับแข็ง
เป็นยาฉีดชื่อ อินเตอร์เฟอรอน
ซึ่งยานี้จะลดจำนวนไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันในการต่อต้านไวรัส
ยานี้จะช่วยให้การอักเสบของตับลดลง
และสภาพเนื้อตับดีขึ้น
แต่การรักษาต้องใช้เวลานานอย่างต่อเนื่อง
โดยจะฉีดยาอย่างน้อย 12 เดือน
การปฏิบัติตัวของคนไข้
1. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่กำลังมีตับอักเสบ
แต่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอได้ในตับอักเสบเรื้อรัง
2. งดการดื่มอักอฮอร์
เพราะจะทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น
3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
พักผ่อนพอเพียง
4. ทำใจให้สบาย
ลดความเครียดหรือความวิตกกังวลลง