โคม
ตํานานโคม



                การยกโคม  หรือการลอยโคม  แต่เดิมเป็นพิธี  ทางศาสนาพราหมณ์  กระทําขึ้นเพื่อบูชาพระเจ้าทั้ง 3 คือ  พระนารายณ์   พระพรหม   พระอิศวร  ภายในโคม  จะจุดเทียนหรือทาเปรียง  หรือไขข้อพระโคซึ๋งพราหมณ์นํามาถวาย  การบูชาด้วยนํ้ามันไขข้อโคนี้  เป็นพิธีทางพราหมณ์แท้ๆ
                ในเอกสาร โบราณของล้านนาที่ได้บันทึกคติความเชื่อเกี่ยวกับพิธีจุดประทีปโคมไฟนี้    มีอยู่หลายฉบับวัดหนองออน  อานิสงส์ประทีปฉบับวัดแม่ตั๋ง   วัดรัตนาราม   วัดดวงดี   เป็นต้น   โดยเฉพาะฉบับวัดหนองออน   ได้กล่าวถึงอานิสงส์ของการจุดประทีปบูชาว่า  ผู้ใดก็ตามได้จุดประทีปในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองหากเกิดมาชาติหน้าจะได้เกิดในตระกูลเศรษฐีเป็นผู้ที่มีรูปโฉมโนมพรรณวรรณะอันสวยงามอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินเงินทองข้าวของต่างๆ
                  กล่าวได้ว่าคติความเชื่อเกี่ยวกับการจุดประทีปบูชานั้นได้รับอิทธิพลมาจากชาดกนอกนิบาตร  เรื่อง  " แม่กาเผือก " ซึ่งแต่งโดยชาวล้านนา  จานไว้ในใบลาน  ซึ่งบันทึกเอาไว้ว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าห้าพระองค์คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ  พระกัสสปปะ  พระโคตม  พระสรีอาริยะเมตไตรเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์  ได้จุดประทีปบูชาคุณผู้เป็นมารดาซึ่งเป็นแม่กาเผือกที่ตายไปอยู่บนสวรรค์   พุทธศาสนิกชนจึงได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อๆกันมาและในตอนเย็นของคืนยี่เป็ง พระสงฆ์ตามวัดต่าง ๆ ก็จะมีการนำเอาพระธรรมเทศนาเรื่องแม่กาเผือกนี้มาเทศน์ให้ศรัทธาได้รับฟัง  และมีการจุดประทีปสว่างไสว พร้อมทั้งการจุดประทัดด้วย
                   ในกลางวันจะมีการปล่อยโคมลอย    เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์   และเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีในสวรรค์รวมทั้งการแขวนโคมไฟไว้ประตูหน้าบ้าน   และปักเสาสูงชักโคมแขวนไว้บนอากาศ  เรื่องอานิสงส์การตามประทีปบูชาฉบับวัดพรหม  จังหวัดน่านได้บันทึกเอาไว้ว่า  สมัยพุทธกาลได้มีการปักเสาสูงชักโคมไฟขึ้นไปแขวนไว้บนอากาศเป็นพุทธบูชานานแล้ว  โดยสองสามีภรรยาชาวเมืองพันธุมตินครเป็นผู้ริเริ่มทำพิธีนี้ดังข้อความตอนหนึ่งว่า "ฺฺฺิิฺฺฺฺฺฺฺ...เราทั้งสองจุ่งกระทำบุญเทอะ  โกปุริโส  อันว่าชายผู้นั้นคันว่ากล่าวดังนี้แล้วก็ฮื้อแปงโคมไฟไว้เหนือปลายไม้ส้าวแล้วก็ตามประทีปไว้ในโคมไฟแขวนไว้ในอากาศ  เฉพาะซึ่งพระพุทธเจ้าอันเป็นแล้วแลอันจัดมาภายหน้า แล้วก็ตามประทีปบูชา  แลโสปุริโสส่วนว่าชายผู้นั้นกระทำดังนี้แล้วก็ชื่นชมยินดีกับด้วยทานอันเป็นของมังคละ..."
                    ในล้านนาสมัยโบราณการปักเสาสูงและชักโคมขึ้นไปแขวนไว้บนเสาอากาศที่สวยงามตระการตาและยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นปรากฎหลักฐานในตำนานสุวรรณโคมคำ ซึ่ง  อยวรมหาเสนาบดีกษัตริย์แห่งเมืองสุวรณโคมคำได้ใช้ไม้สักที่ลงรักปิดทองทั้งต้นปักเรียงรายตามริมฝั่งแม่น้ำโขง   บุชาพระพุทธเจ้าในคืนวันเพ็ญเดือนหกเพื่อ   บวงสรวงบนบานขอให้แพของพระราชนัดดาลอยทวนกระแสน้ำขึ้นมา  ดังที่ปรากฏในตำนานสุวรรณโคมคำ   ฉบับวัดเชียงมั่น  เมืองเชียงใหม่ตอนหนึ่งดังนี้  "...แล้วก็ฮื้อลูกน้องแห่งตน  เอายังพร้าและขวานเข้าไปสู่ป่าแล้วก็ปำ  ก็ตัดเอายังไม้สักได้แล้ว  ก็ลากมาสู่ท่าริมแม่น้ำขลนที  แล้วก้ฮื้อวัฒกี  คือช่างไม้มาถากรอยแต่งแปงยังค้างโคม  แล้วก็ใสรักหาดแล้วประดับด้วยสุวรรณคำแดงแสงประดับ..." เถิงวันมหาอุโบสถเดือนหกเพ็งมาเถิง  ดั่งอั้นส่วนว่าอยวรมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ก็ป่าวภริยาบุตตาลูกหลานบริวารเพื่อพ้องทั้งหลายของขวายหามายังมธุบุปผาลาชาดวงดอกข้าวตอกดอกไม้  นำเทียน  ประทีป  น้ำมันสีสวยทั้งมวลได้แล้วก้มาพร้อมกับปักยัง  เลาค้างโคมคำขึ้นยังยายไว้ตามริมท่าแม่น้ำขลนทีที่หน้าบ้านแห่งตน    แล้วก้เจาะตามน้ำมันสีสวยประทีปโคมไฟ  แล้วก็ถวายบุปผาลาชาดวงดอกเข้าตอกดอกไม้   หว่านไห้วบูชายังพระติไตรรัตนแก้วเจ้า   ทั้งสามประการ  ทีพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้าเป็นประธานแล้ว  ก็ตั้งคำปราถนา  ตั้งสัจจาอธิษฐานว่า  ด้วยเตชะอันผู้ข้าเจ้าทั้งหลายได้สักการะบูชา  ยังพระไตรรัตน์แก้วเจ้าทั้งสามประการมีพระสัพพัญญูพระพุทธเป็นประธานจุ่งหื้อผู้ข้าทั้งหลายได้หันหน้าเจ้าสุวัณณะทวารมุกขะกุมารหลานระกแห่งผู้ข้าอันหาโทษบ่ได้สักอันแล..."