๑. พระเจดีย์
  ์อยู่กลางวงล้อมของพระอุโบสถ พระวิหารทิศ และพระวิหารคด
เป็นพระเจดีย์ทรงระฆัง หรือที่มักเรียกกันว่าทรงลังกาตั้งอยู่บนฐานทักษิณที่สูงในระดับแนวหลังคาพระระเบียง คือ ประมาณ ๔๓ เมตร ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์โดยรอบ และมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ และพระรูปหล่อของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ๑๔ ซุ้ม
ถัดขึ้นไปเป็นชานเดินประทักษิณ และกลางองค์พระเจดีย์มีชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะลพบุรี สลักจากหินทราย ๒ องค์ และพระพุทธรูปอื่นอีกหลายองค์ และตามผนังด้านในองค์พระเจดีย์ มีช่องสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป อีก ๖ ช่อง ส่วนบนยอดพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
๒. พระอุโบสถ
 

















เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขเด็จด้านหน้าหลังคาลด ๒ ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันประดับปูนปั้นรูปช้างเจ็ดเศียร เทิดพานรองรับพระเกี้ยวขนาบสองข้างด้วยฉัตร ประคองด้วยราชสีห์ และคชสีห์ หน้าบันมุขเด็จเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ
ประตู และหน้าต่างประดับตกแต่งงดงาม ด้านในเป็นลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์ ด้านนอกประดับมุกเป็นลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ๕ ดวง เรียงกันตามลำดับ คือ นพรัตน์ราชวราภรณ์ มหาจักรีบรมราชวงศ์ปฐมจุลจอมเกล้า ประถมาภรณ์ช้างเผือก และประถมาภรณ์มงกุฎไทย งานประดับมุกฝีมือเยี่ยมที่บานประตูหน้าต่างทั้งหมดเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ ซึ่งกำกับกรมช่างมุกในรัชกาลที่ ๕
พระอุโบสถ์นี้ แต่เดิมเป็นไม้แกะสลักส่วนบานมุกในปัจจุบันเป็นบานพระทวาร และบานพระแกลพระพุทธปรางค์ปราสาทในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๑๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ ต่อมาเกิดเพลิงไหม้หลังคา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปทรงบัญชาการดับเพลิงด้วยพระองค์เอง และโปรดให้ถอนบานมุกซึ่งยังไม่ทันไหม้ออก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดให้นำมาติดที่พระอุโบสถวัดราชบพิธนี้เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๕ ส่วนบานประตูหน้าต่างของเดิมโปรดให้ไปติดไว้ที่พระวิหาร
ลักษณะของพระอุโบสถ เมื่อมองจากภายนอกจะมีลักษณะของพระอุโบสถ เมื่อมองจากภายนอกจะมีลักษณะเช่นสถาปัตยกรรมไทยทุกประการ แต่การประดับตกแต่งภายในเป็นแบบยุโรปผสมไทยคือ ส่วนเพดาน เสา และลวดลายประดับตกแต่งผนังด้วยปูนปั้น ลักษณะคล้ายพระที่นั่งองค์หนึ่งในพระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส แต่ลวดลายส่วนใหญ่ปิดทอง ที่ผนังระหว่างช่องหน้าต่างมีรูปอุณาโลม และอักษร "จ" สลับกัน เหนือซุ้มประตูกลางเป็นตราแผ่นดินในรัชกาลที่ ๕ หรือที่เรียกว่า ตราอาร์ม
ผู้ที่ออกแบบตกแต่งภายในพระอุโบสถ คือ หม่อมเจ้าประวิตร ชุมสาย แต่เดิมมีภาพเขียนพุทธประวัติ บนผนังส่วนบนระหว่างเสา และคูหา ฝีพระหัตถ์ของหม่อมเจ้าองค์นี้เช่นกัน แต่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โปรดให้ลบภาพพุทธประวัติออก และทรงทาสีฟ้าอ่อนเป็นพื้นประดับด้วยลายดอกไม้ร่วงสีทอง
ส่วนในสุดของพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน คือ พระพุทธอังคีรส และด้านหน้าพระประธานคือ พระนิรันตราย
พระอุโบสถวัดราชบพิธได้รับการบูรณะในสมัยหลังอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โปรดให้เปลี่ยนแปลงลวดลายบนผนังช่วงบนและเพิ่มเติมลวดลายที่ผนังระหว่างโคนช่วงเสา และด้านหลังพระประธาน ในปัจจุบันพระบรมราชสีรีรังคารของพระองค์ประดิษฐานที่ฐานชุกชีของพระประธานพระพุทธอังคีรส
๓. พระพุทธอังคีรส
  พระพุทธรูปปางสมาธิพระประธานของพระอุโบสถประดิษฐานอยู่ด้านในสุดบนฐานชุกชีหินอ่อนซึ่งสั่งจากประเทศอิตาลีเป็นพระพุทธรูปกะไหล่ทองคำ หล่อในระหว่างช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ ต่อต้นรัชกาลที่ ๕ เนื้อทองคำหนั่ก ๑๘๐ บาท ซึ่งเป็นทองคำที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เมื่อยังทรงพระเยาว์
เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงนำไปประดิษฐานที่พระปฐมเจดีย์ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๕
เบื้องบนพระพุทธรูปมีเศวตฉัตรกั้น เดิมเป็นเศวตฉัตรกั้นพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อถวายพระเพลิงแล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้นำมากั้นพระอังคีรส ที่ใต้ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระพุทธอังคีรสบรรจุพระบรมราชสรีรังคาร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
๔. พระนิรันตราย
  ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี เป็นเบญจาด้านหน้า และต่ำกว่าพระพุทธอังคีรสลงมา เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเพชร หล่อด้วยสำริดกะไหล่ทอง มีเรือนแก้วเป็นพุ่มมหาโพธิ์ ยอดเรือนแก้วมีรูปพระมหามงกุฎ ที่ฐานของพระพุทธรูปทั้งด้านหน้า และด้านหลังมีอักษรขอมจารึกพระพุทธคุณบนกลีบบัว ฐานล่างมีที่รองรับน้ำสรงพระมีท่อเป็นรูปศีรษะโค หมายถึง พระนามพระสมณโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนิรันตรายองค์ปัจจุบันในพระอุโบสถเป็นองค์ที่จำลองขึ้นใหม่ เนื่องจากองค์เดิมที่ได้รับพระราชทานถูกขโมยไป
เบญจาที่ประดิษฐานนั้นเดิมเคยใช้ทรงพระโกศสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์
๕. พระวิหาร
  อยู่ทางด้านใต้ของพระเจดีย์ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับพระอุโบสถ แต่เดิมภายในตกแต่งเรียบกว่า ผนังเป็นสีขาวเรียบไม่มีลวดลาย ตกแต่งลายเฉพาะที่เพดาน บัวกั้นผนังชั้นล่าง ชั้นบน และกรอบประตูหน้าต่าง
บานประตู และหน้าต่าง เป็นไม้แกะสลักลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งเป็นบานประตู และหน้าต่างที่ย้ายมาจากพระอุโบสถ
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้ทาผนังเป็นสีชมพู และเขียนลายดอกไม้ร่วงสีทอง ผนังระหว่างช่องหน้าต่างทำตราอุณาโลม สลับอักษร "จ" เช่นเดียวกับในพระอุโบสถ พระประธานในพระวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยนามว่า พระประทีปวโรทัย
๑. พระอุโบสถ
  ๖. พระที่นั่งสีตลาภิรมย์ เป็นพระที่นั่งตึกแบบจีนสูง ๓ ชั้น พระที่นั่งองค์นี้เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างเป็นพระที่นั่งเย็นในพระราชฐานชั้นใน อยู่ในบริเวณตำหนักสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ใกล้กับประตูสนามราชกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ย้ายมาสร้างเป็นตำหนักที่ประทับเจ้าอาวาสวัดราชบพิธ นับตั้งแต่สถาปนาพระอารามเป็นต้นมา
ต่อมาเมื่อพระที่นั่งทรุดโทรมจนใช้อยู่อาศัยไม่ได้ จึงได้ทำการบูรณะโดยรื้อหลังคาออกทำใหม่ทั้งหมด ทำห้องเพิ่มเติมที่เฉลียงด้านข้างชั้นบน ข้างละ ๑ ห้อง ทาสีใหม่ทั้งอาคาร ขูดสีซึ่งทาทับลวดลายแกะสลักแบบจีนที่บานหน้าต่างอาคาร และเปลี่ยนเป็นลงรักปิดทอง
๗. ตำหนักอรุณ
  เป็นตำหนัก ๓ ชั้น ขนาด ๕ ห้อง มีระเบียงโดยรอบ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างเพื่อเป็นที่ประทับของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เจ้าอาวาสองค์แรก
ส่วนนามตำหนักอรุณนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงประทานชื่อในภายหลัง เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระองค์เจ้าพระองค์นั้น
ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปวัตถุอันเป็นสมบัติส่วนพระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และสมบัติของวัด
๘. อนุสาวรีย์ยอดปรางค์
  ๒ องค์ องค์หนึ่งอยู่ใกล้หอระฆัง บรรจุพระสรีรังคารของพระ วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคคุณากร เจ้าอาวาสองค์แรก และอีกองค์หนึ่งอยู่ใกล้หอกลอง บรรจุพระสรีรังคารพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เจ้าอาวาสองค์ที่ ๒
๙. เกย และพลับพลาเปลื้องเครื่อง
  อยู่ทางมุมกำแพงวัดด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ตัวพลับพลาก่ออิฐถือปูน หลังคาลด ๒ ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นตราราชวัลลภ
ด้านหน้าพลับพลาเป็นเกยก่ออิฐ ถือปูน เกยและพลับพลานี้สร้างตามประเพณีโบราณ คือ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินโดยทางสถลมารค จะเสด็จมาประทับที่เกย จากนั้นจะเสด็จขึ้นพลับพลา ทรงเปลื้องเครื่องขัตติยราชภูษิตาภรณ์ และพระชฎามหากฐินที่ทรงมาเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่ แล้วเสด็จยังพระอุโบสถดังนั้นจึงเรียกนามพลับพลาว่า พลับพลาเปลื้องเครื่อง
๑.สุสานหลวง
   ๑ง อยู่ทางทิศตะวันตกของวัดภายในสุสานมีอนุสาวรีย์ต่าง ๆ สร้างไว้เป็นระเบียบงดงาม อนุสาวรีย์เหล่านี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศพระราชกุศลแก่พระบรมราชเทวี พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา ตลอดจนพระราชโอรส ธิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ บางส่วนสร้างในสมัยหลัง อนุสาวรีย์เหล่านี้มีรูปทรงต่าง ๆ กัน เช่น เจดีย์ ปรางค์ อาคารแบบศิลปะยุโรป และอื่น ๆ อนุสาวรีย์ที่สำคัญ เช่น สุนันทานุสาวรีย์ บรรจุพระสรีรังคารสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ รังษีวัฒนา บรรจุพระสรีรังคารสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมงกุฎราชกุมาร สมเด็จพระมหิตลาธิเบศอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร และสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสวภาประดิษฐาน บรรจุพระสรีรังคารพระราชโอรสในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนีพันปีหลวง อนุสาวรีย์พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นต้น

< ประวัติวัด     หน้าหลัก >