Turtle VS. Human

 

     

home

back

human

 

     

เต่า กับ มนุษย์

หลายคนคงได้ยินคำพูดที่ว่า ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งอาจจะเป็นคำพูดที่ประชดประชันใครบางคน ที่ไม่ใช่ข้าพเจ้า ซึ่งผู้พูดอาจจะไปรับเอาวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่ารวดเร็วเอาไว้มาก และนำตัวเองเป็นจุดอ้างอิง ไปเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นที่รับเอาการเปลี่ยนแปลงมาน้อยกว่า ว่าเป็น ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี แต่นั่นแหละเป็นเครื่องประกันได้อย่างดี และเป็นการยอมรับของผู้พูดว่า ไดโนเสาร์ และ เต่านั้น เกิดขึ้นมาเมื่อหลายร้อยล้านปีมาแล้ว ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่เต่ายังอยู่ อยู่ให้เราเห็นตอนมีชีวิตจริงๆ ตราบเท่าทุกวันนี้ นักวิชาการหลายรายมุ่งไปที่ไดโนเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่ ว่าเหตุผลกลใดทำไมมันจึงสูญพันธุ์ไปได้ และก็มีข้อสัณนิฐานต่างๆ นาๆ ออกมาให้เราได้ขบคิดกันยามว่าง เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องสูญพันธุ์ไป เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับไดโนเสาร์ เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์คงสูญพันธุ์ได้ยากแน่ แต่ก็อย่าไปหวังอะไรมาก

หันมาดูชีวิตของเต่า น่าสนใจนะครับ เต่ามีดีอะไรนะถึงได้ดำรงเผ่าพันธุ์มาได้เป็นหลายร้อยล้านปีแล้ว ไม่ได้สูญพันธุ์ตามไดโนเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่ไปด้วย ทั้งที่ได้ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาในยุคเดียวกันกับไดโนเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น เต่าไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างเลยมาตั้งแต่ต้น จวบจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลาหลายร้อยล้านปี หรือถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะรูปร่างของมันก็คงน้อยมากๆ ทีเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวในเวลานานแสนนานเช่นนั้น ที่จะคงลักษณะดังเดิมของมันไว้ ในทามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกๆ วินาทีเช่นนี้ ความลับอาจจะเป็นการตัดสินใจตอนเริ่มต้นของเต่า ที่เลือกที่จะมีลักษณะประจำตัวของมัน ให้มีลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • มันเลือกที่จะมีรูปร่างไม่ใหญ่โตนัก

  • มันเลือกเน้นการป้องกันภัย

  • มันเลือกที่จะหากินง่ายๆ เพื่อประทังชีวิต

  • มันเลือกที่จะอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ

  • มันเลือกที่จะออกลูกเป็นไข่ คราวละมากๆ

เต่าได้เลือกแล้วที่จะมีลักษณะและการดำเนินชีวิตตามที่มันได้เลือกไว้ และยังคงลักษณะดังกล่าวไว้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยมาเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี เราจะต้องมาวิเคราะห์ดูรายละเอียดที่เต่าได้เลือกไว้เป็นคุณลักษณะประจำตัวของเต่าในแต่ละหัวข้อกันบ้างแล้วว่าลักษณะดังกล่าวช่วยได้เต่าดำเนินชีวิตสืบต่อกันมาได้ยาวนานถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไร

  • ข้อแรก เต่าเลือกที่จะมีรูปร่างไม่ใหญ่โตนัก

รูปร่างที่ไม่ใหญ่โต ทำให้เต่าไม่ต้องหาอาหารกินคราวละมากๆ อาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถอยู่ไปได้หลายวันแล้ว นี่เท่ากับว่าทำให้มันไม่ต้องออกหาอาหารอยู่ทุกวัน ให้ต้องเสี่ยงภัยจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ดังนั้นในธรรมชาติเราจึงเห็นตัวมันได้ยากยิ่ง

  • ข้อที่สอง เต่าเลือกเน้นการป้องกันภัย

เต่าเลือกการป้องกันตัวมากกว่าที่จะต่อสู้ มันเลือกที่จะมีกระดอง ที่แข็งและหนักห้อหุ่มตัวเองเอาไว้ มันยอมที่จะเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เพื่อแบกกระดองของมันไปด้วยในทุกๆ ที่ เพราะในชีวิตของเต่าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอะไรมากมายนัก เมื่อมีภัยมันจะเก็บอวัยวะของตังเองทั้งหมดเข้าไปไว้ในกระดองที่แข็งแกร่ง กระดองของเต่ามีลักษณะที่น่าทึ่งมาก ด้านบนของกระดองเต่ามีลักษณะแข็งโค้งกลมมน ลาดชันลงมาทุกทิศทุกทาง ซึ่งลักษณะเช่นนี้เมื่อมีของแหลมคมเช่นเขี้ยวของสัตว์กินเนื้อต่างๆ มาขมกัดมัน มันมิอาจจะระคายเคื่องได้ง่ายดายนัก เพราะมันจะแฉลบ ลื่นไถลได้ง่ายทีเดียว แม้จ้าวป่าอย่างเสือ และจ้าวแห่งท้องทุ่งอย่างสิงห์โต แม้จะหิวโหยสักเพียงใดเมื่อมาเจอกับจ้าวเต่าก็ต้องถอดใจเอาง่ายๆ ทีเดียว แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านฮิตเลอร์ ยังหลงไหลในความงามของกระดองเต่า ถึงกับให้ผลิตรถโฟคเต่าสำหรับให้ชาวเยอรมันไว้ใช้งาน ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นรถที่มีชีวิตชีวาที่สุด ในบรรดารถที่มีอยู่ในโลกนี้ครับ ที่ด้านบนของกระดองเต่ายังมีที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือลวดลายบนกระดองเต่า ซึ่งโดยมากจะเป็นรูปตาราง ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะมีไว้พรางตัว หรือพรางตาศัตรู ให้คิดว่าเป็นดวงตาของสัตว์ใหญ่อย่าได้เข้ามายุ่งนะ ส่วนด้านล่างของกระดองเต่ามีลักษณะแข็งแต่แบนราบ ไม่โค้งกลมมนเหมือนกระดองด้านบน มีช่องอยู่ 6 ช่องให้อวัยวะทั้ง 6 สามารถยื่นออกมาได้ ได้แก่ ส่วนหัว, ส่วนเท้าทั้งสี่ และส่วนหางรวมถึงส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ของเต่า เต่าส่วนใหญ่ช่องทั้ง 6 จะไม่สามารถปิดได้ เวลามันหลบภัย มันจะหดเก็บอวัยวะทั้ง 6 เข้าไปชิดกับกระดองด้านล่างให้มากที่สุดเท่านั้น โดยมีกระดองด้านบนคลุมปกปิดอีกที เหมือนหลังคาบ้าน แต่มีเต่าอยู่ชนิดหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จักอยู่ในเมืองไทยนี่เองครับ เป็นเต่าน้ำจืด มันสามารถเก็บอวัยวะทั้ง 6 เข้าไปไว้ในกระดองได้ทั้งหมด กระดองส่วนบนและส่วนล่างสามารถแนบปิดกันได้อย่างสนิทไม่มีอวัยวะส่วนใดของเต่าออกมานอกกระดองเลยเวลามันหลบภัย เหมือนปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกงแบบล็อคแน่นเชียวละครับ เต่าชนิดนี้ ชื่อว่าเต่าหับครับ เต่าที่มีคุณสมบัติอย่างเต่าหับนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามีอยู่ในเมืองไทยแห่งเดียวหรือไม่ ซึ่งเราน่าจะช่วยมันเพิ่มจำนวนขึ้นมากๆ น่าจะดีนะครับ เพราะคนทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโสมลงโดยเฉพาะแหล่งน้ำจืดได้กลายเป็นแหล่งน้ำเน่าเพิ่มมากขึ้น และที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็นระบบป้องกันภัยที่เต่าสร้างขึ้นไว้ประจำตัวเต่า ซึ่งมีส่วนทำให้เต่าสืบสอดเผ่าพันธุ์มาได้จวบจนปัจจุบันนี้

  • ข้อที่สาม เต่าเลือกที่จะหากินง่ายๆ เพื่อประทังชีวิต

การหากินของเต่า ค่อนข้างง่ายๆ มันกินได้ทั้ง สัตว์ และ พืช ไม่ว่าจะเป็นปลาตัวเล็กๆ ทั้งที่สดและตายแล้ว เนื้อสัตว์ที่ตายแล้วมันก็สามารถกินได้ พืชผัก รากไม้ต่างๆมันก็กินได้ มันกินได้ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ การกินอย่างง่ายๆ ทำให้การดำรงชีวิตของเต่าไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ซึ่งเป็นการกินเพื่ออยู่จริงๆ ซึ่งถ้ามันกินมากๆ มันอาจคับกระดองตัวเองตายแน่ๆ ครับ ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เต่าอยู่รอดปลอดภัยมาได้

  • ข้อที่สี่ เต่าเลือกที่จะอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ

การใช้ชีวิตของเต่าที่อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำเป็นสิ่งที่ฉลาดมาก เพราะมันสามารถใช้พื้นที่ของโลกทั้งหมดเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมัน พื้นที่ของโลกในทั้งหมด 4 ส่วน เป็นมหาสมุทรเสีย 3 ส่วนแล้ว เป็นพื้นดิน 1 ส่วน อาหารจำนวนมหาศาลแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร เท่ากับเต่าไม่มีวันอดตายแน่ และจากนักโบราณคดีที่ติดตามค้นซากของไดโนเสาร์ ซากไดโนเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนมากมักล้มตายอยู่บนบกและหนองน้ำ และชายฝั่งทะเลตื้นๆ ทั้งนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องยืนยันได้ส่วนหนึ่งว่า การที่เต่าสามารถดำรงชีวิตอยู่ในมหาสมุทรได้นั้น เท่ากับว่ามหาสมุทรเป็นที่หลบภัยของเต่าได้ส่วนหนึ่ง

  • ข้อที่ห้า เต่าเลือกที่จะออกลูกเป็นไข่ คราวละมากๆ

ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดของเต่าในยุคปัจจุบันนี้ เพราะการออกไข่ของเต่า จะต้องขึ้นมาออกไข่ บนบกแถบชายหาด แล้วใช้ทรายกลบปิดอำพรางไว้ การออกไข่บนบกถือเป็นการเสี่ยงอย่างมากในยุคปัจจุบัน เพราะชายหาดทุกแห่ง ล้วนแล้วแต่มีมนุษย์อยู่อาศัยจับจองเป็นที่อยู่ของตัวเองแทบทั้งสิ้น ซึ่งไข่เต่าอาจจะเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตบนบกได้ แต่การออกไข่ของเต่าคราวละมากๆ อาจจะเป็น 30 ฟองขึ้นไป อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง เมื่อแม่เต่าขึ้นมาวางไข่ และใช้ทรายกลบปกปิดไว้แล้ว ถือเป็นการเสร็จสิ้นภาระกิจ แม่เต่าก็จะลงทะเลว่ายหายไป ปล่อยให้วันเวลาฟักลูกเต่าออกมาเอง ไม่ต้องคอยมาดูและอนุบาลลูกเต่าอีกต่อไป เมื่อลูกเต่าฟักออกมามันต้องพยายามหลบหลีกภัยต่างๆ บนบก แล้วต้องพยายามพาตัวเองลงทะเลให้ได้ และเมื่อลงทะเลได้แล้วมันต้องหากินด้วยตัวเองนับแต่บัดนั้น ไข่ 30 ฟองอาจมีเหลือรอดชีวิตถึงวัยเจริญพันธุ์สัก 10 ตัวถือ ว่าเก่งมากแล้วครับ

ตอนนี้ถึงคราว ต้องมาดูชีวิตของมนุษย์เรากันบ้างแล้วครับ มนุษย์แตกต่างจากเต่าอย่างสิ้นเชิง มนุษย์ไม่อาจดำเนินชีวิตได้เช่นเต่า เต่าดำเนินชีวิตสืบต่อกันมาหลายร้อยล้านปีได้ ถือได้ว่าสุดยอด ดังนั้นเต่ายอมมีวิถีการดำเนินชีวิตของเต่า ในเมื่อมนุษย์ไม่อาจดำเนินชีวิตเช่นเต่าได้ ดังนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถเปรียบเทียบตนเองหรือใครๆ อย่างเต่าได้เช่นกัน มนุษย์แตกต่างกับเต่าอย่างไร ขอเปรียบเทียบเป็นข้อๆ ดังนี้

  • ข้อแรก มนุษย์เป็นผู้ที่ต้องใช้กำลังกาย กำลังสมอง เพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีรูปร่างใหญ่โตพอสมควร โดยเฉพาะในส่วนของสมอง ซึ่งมนุษย์ได้มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างกันเรื่อยมาในแต่ละยุค ในแต่ละสมัยจนถึงปัจจุบัน หรือพูดได้ว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการคือการปรับตัวเปลี่ยนแปลง มนุษย์ต้องหาอาหารมาเลี้ยงชีวิตในปริมาณที่มากพอ เพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายและสมอง มนุษย์ต้องกินอยู่ทุกวัน 3 มื้อ ขาดไม่ได้ ดังนั้นนอกจากมนุษย์จะหาอาหารตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์ยังต้องรู้จักใช้มันสมองสร้างแหล่งอาหารไว้บริโภคเอง ได้แก่การเพาะปลูกและ เลี้ยงสัตว์ เพื่อสะสมไว้กิน ไม่ให้ขาดแคลนได้

  • ข้อที่สอง มนุษย์ไม่มีระบบป้องกันภัยติดตัวมาตั้งแต่เกิด

ข้อนี้ก็เป็นจุดอ่อนข้อหนึ่งของมนุษย์ มนุษย์แรกเกิดไม่มีอะไรเลยมีแต่เนื้อหนังอ่อนๆ ,ถึงแม้มนุษย์จะเติบโตมีรูปร่างใหญ่โตพอควร แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตหรือแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสัตว์โลกด้วยกัน ดังนั้นก็อีกนั่นแหละครับ มนุษย์ต้องรู้จักใช้สมองเพื่อความอยู่รอด มนุษย์ รู้จักนำสิ่งต่างๆ ในสภาพแวดล้อมมาห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันภัยจากสภาพอากาศ รู้จักสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อป้องกันภัยต่างๆ ,รู้จักสร้างอาวุธเครื่องทุนแรงต่างๆ เพื่อป้องกันตัวเองและเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ ,ในเมื่อมนุษย์ต้องคิดต้องทำสิ่งต่างๆ มากมายเช่นนี้ มนุษย์จึงไม่อาจเชื่องช้าได้เหมือนอย่างเต่า มนุษย์ต้องหูไว ตาไว รวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงภัยต่างๆ และสร้างสิ่งป้องกันภัยด้วยตัวเองเพื่อความอยู่รอด

  • ข้อที่สาม มนุษย์เป็นผู้พิถีพิถัน ในเรื่องการกินอยู่

มนุษย์ไม่สามารถหยิบฉวยอะไรมากินได้ง่ายๆ เพราะอาหารอาจทำอันตรายแก่ตัวมนุษย์เองได้ มนุษย์รู้จักการปรุงอาหาร รู้จักสร้างกลิ่นและรสชาดที่ต้องการสำหรับการกิน จนติดเป็นนิสัย และไม่สามารถขาดสิ่งต่างที่ปรุงแต่งสำหรับการกินได้ ดังนั้นมนุษย์ต้องเสียเวลาอย่างน้อยครึ่งวันต่อ 1คน เพื่อเตรียมอาหาร 3 มื้อในหนึ่งวัน ในเมื่อมนุษย์ไม่อาจขาดรสชาดต่างๆ ในการกินได้ มนุษย์ยังต้องเสียเวลาหาอาหาร ปรุงอาหารไปในแต่ละวันและยังต้องทำสิ่งอื่นๆอีก ดังนั้นเมื่อต้องเป็นอยู่เช่นนี้มนุษย์จึงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียวได้ มนุษย์จึงต้องอยู่เป็นสังคม พึ่งพาอาศัยกัน แบ่งหน้าที่กันปฏิบัติรับผิดชอบ ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งก็อาจกระทบกับสังคมเป็นบ่วงโซได้ หันมาดูสังคมมนุษย์ในปัจจุบันนี้ต้องพึ่งพาเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ ในการดำรงชีวิตเรียกได้ว่าส่วนใหญ่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว อย่างนี้สมมุติว่าอยู่มาวันหนึ่งระบบเทคโนโลยีเครื่องอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้ชีวิตอยู่รอด เกิดอันตรธานหายไปผมแน่ใจได้เลยว่ามีมนุษย์ไม่กี่คน ที่จะทนให้มีชีวิตอยู่ได้ โดยให้ชีวิตต้องกลับไปดำเนินชีวิตแบบเก่าก่อน โดยเฉพาะสังคมที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างมากเช่นในสังคมตะวันตก ซึ่งพวกเขาจะกลัวการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่างมาก ดังเช่นการกลัวการเกิดปัญหา Y2K ที่พึ่งผ่านไป

  • ข้อที่สี่ มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในมหาสุมทรอันกว้างใหญ่ได้

มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในมหาสุมทรอันกว้างใหญ่ได้ อันนี้ก็เป็นความจริงเท่ากับจำกัดขอบเขตถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ไปแล้วส่วนหนึ่ง ถ้าหากมีประชากรมนุษย์เพิ่มมากขึ้นจะต้องมีปัญหาแน่ แต่ก็นั่นแหละครับถึงแม้มนุษย์จะยังหาวิธีดำรงชีวิตอยู่ในมหาสมุทรอย่างถาวรไม่ได้ แต่มนุษย์ก็มีวิธีการหาอาหารในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ได้ มนุษย์รู้จักสร้างเครื่องมือให้สามารถอยู่บนผิวมหาสมุทรและใต้มหาสมุทรได้อย่างชั่วคราว อันนี้ก็เป็นการปรับตัวของมนุษย์ได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้มนุษย์อยู่รอดได้

  • ข้อที่ห้า มนุษย์ให้กำเนิดลูกได้ปกติคราวละ 1 คน

มนุษย์ให้กำเนิดลูกปีละ 1 คน หลังให้กำเนิดเป็นทารก พ่อแม่ยังต้องอนุบาลเลี้ยงดูให้การศึกษาไปอีกอย่างน้อย 15 ปี จึงจะสามารถดำเนินชีวิตส่วนที่เหลือด้วยตนเองได้ บางคนอยู่กับพ่อแม่ไปจนสิ้นอายุไขของพ่อแม่ อันนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องเอื้ออาทรต่อกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ดังนั้นในสังคมมนุษย์จึงมีเรื่องวุ่นวายให้ต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา บางคนกลายเป็นคนขี้เหงาขาดเพื่อนไม่ได้ บางคนชอบให้เอาอกเอาใจเหมือนพ่อแม่ บางคนชอบให้อุ้มตลอดเวลา บางคนชอบเปลื้องผ้าเหมือนตอนเด็กๆ บางคนชอบสนุกเฮฮาไม่หลับไม่นอน บางคนชอบร้องตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะสับสนในสังคมของแต่ละช่วงของชีวิตที่ผ่านมา จนไม่อาจแยกแยะออกจากสังคมในปัจจุบันได้

จากการเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างคุณเต่า กับมนุษย์ จะเห็นว่าไม่เหมือนกันสักอย่างหนึ่ง คุณเต่าไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรในการดำเนินชีวิตมากนัก แต่ก็อยู่มาได้หลายร้อยล้านปีแล้ว ตรงกันข้ามกับมนุษย์ถ้าจะให้อยู่รอดได้ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง ใช้สมองขบคิดสร้างสิ่งต่างๆ ไว้ช่วยในการดำเนินชีวิต ให้ชีวิตสามารถดำรงคงอยู่ได้ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นมนุษย์จึงไม่อาจเป็นเช่นคุณเต่าได้

 


 

[ home ] [ back ]