หันมาดูชีวิตของเต่า
น่าสนใจนะครับ
เต่ามีดีอะไรนะถึงได้ดำรงเผ่าพันธุ์มาได้เป็นหลายร้อยล้านปีแล้ว
ไม่ได้สูญพันธุ์ตามไดโนเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่ไปด้วย
ทั้งที่ได้ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาในยุคเดียวกันกับไดโนเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น
เต่าไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างเลยมาตั้งแต่ต้น
จวบจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลาหลายร้อยล้านปี
หรือถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะรูปร่างของมันก็คงน้อยมากๆ
ทีเดียว
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวในเวลานานแสนนานเช่นนั้น
ที่จะคงลักษณะดังเดิมของมันไว้
ในทามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกๆ
วินาทีเช่นนี้
ความลับอาจจะเป็นการตัดสินใจตอนเริ่มต้นของเต่า
ที่เลือกที่จะมีลักษณะประจำตัวของมัน
ให้มีลักษณะต่างๆ
ดังต่อไปนี้
มันเลือกที่จะมีรูปร่างไม่ใหญ่โตนัก
มันเลือกเน้นการป้องกันภัย
มันเลือกที่จะหากินง่ายๆ
เพื่อประทังชีวิต
มันเลือกที่จะอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ
มันเลือกที่จะออกลูกเป็นไข่
คราวละมากๆ
เต่าได้เลือกแล้วที่จะมีลักษณะและการดำเนินชีวิตตามที่มันได้เลือกไว้
และยังคงลักษณะดังกล่าวไว้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยมาเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี
เราจะต้องมาวิเคราะห์ดูรายละเอียดที่เต่าได้เลือกไว้เป็นคุณลักษณะประจำตัวของเต่าในแต่ละหัวข้อกันบ้างแล้วว่าลักษณะดังกล่าวช่วยได้เต่าดำเนินชีวิตสืบต่อกันมาได้ยาวนานถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไร
รูปร่างที่ไม่ใหญ่โต
ทำให้เต่าไม่ต้องหาอาหารกินคราวละมากๆ
อาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถอยู่ไปได้หลายวันแล้ว
นี่เท่ากับว่าทำให้มันไม่ต้องออกหาอาหารอยู่ทุกวัน
ให้ต้องเสี่ยงภัยจากสิ่งต่างๆ
รอบตัว ดังนั้นในธรรมชาติเราจึงเห็นตัวมันได้ยากยิ่ง
เต่าเลือกการป้องกันตัวมากกว่าที่จะต่อสู้
มันเลือกที่จะมีกระดอง
ที่แข็งและหนักห้อหุ่มตัวเองเอาไว้
มันยอมที่จะเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
เพื่อแบกกระดองของมันไปด้วยในทุกๆ
ที่
เพราะในชีวิตของเต่าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอะไรมากมายนัก
เมื่อมีภัยมันจะเก็บอวัยวะของตังเองทั้งหมดเข้าไปไว้ในกระดองที่แข็งแกร่ง
กระดองของเต่ามีลักษณะที่น่าทึ่งมาก
ด้านบนของกระดองเต่ามีลักษณะแข็งโค้งกลมมน
ลาดชันลงมาทุกทิศทุกทาง
ซึ่งลักษณะเช่นนี้เมื่อมีของแหลมคมเช่นเขี้ยวของสัตว์กินเนื้อต่างๆ
มาขมกัดมัน
มันมิอาจจะระคายเคื่องได้ง่ายดายนัก
เพราะมันจะแฉลบ
ลื่นไถลได้ง่ายทีเดียว
แม้จ้าวป่าอย่างเสือ
และจ้าวแห่งท้องทุ่งอย่างสิงห์โต
แม้จะหิวโหยสักเพียงใดเมื่อมาเจอกับจ้าวเต่าก็ต้องถอดใจเอาง่ายๆ
ทีเดียว
แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านฮิตเลอร์
ยังหลงไหลในความงามของกระดองเต่า
ถึงกับให้ผลิตรถโฟคเต่าสำหรับให้ชาวเยอรมันไว้ใช้งาน
ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นรถที่มีชีวิตชีวาที่สุด
ในบรรดารถที่มีอยู่ในโลกนี้ครับ
ที่ด้านบนของกระดองเต่ายังมีที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง
นั่นคือลวดลายบนกระดองเต่า
ซึ่งโดยมากจะเป็นรูปตาราง
ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะมีไว้พรางตัว
หรือพรางตาศัตรู
ให้คิดว่าเป็นดวงตาของสัตว์ใหญ่อย่าได้เข้ามายุ่งนะ
ส่วนด้านล่างของกระดองเต่ามีลักษณะแข็งแต่แบนราบ
ไม่โค้งกลมมนเหมือนกระดองด้านบน
มีช่องอยู่ 6
ช่องให้อวัยวะทั้ง 6
สามารถยื่นออกมาได้
ได้แก่ ส่วนหัว,
ส่วนเท้าทั้งสี่
และส่วนหางรวมถึงส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ของเต่า
เต่าส่วนใหญ่ช่องทั้ง
6 จะไม่สามารถปิดได้
เวลามันหลบภัย
มันจะหดเก็บอวัยวะทั้ง
6
เข้าไปชิดกับกระดองด้านล่างให้มากที่สุดเท่านั้น
โดยมีกระดองด้านบนคลุมปกปิดอีกที
เหมือนหลังคาบ้าน
แต่มีเต่าอยู่ชนิดหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จักอยู่ในเมืองไทยนี่เองครับ
เป็นเต่าน้ำจืด
มันสามารถเก็บอวัยวะทั้ง
6
เข้าไปไว้ในกระดองได้ทั้งหมด
กระดองส่วนบนและส่วนล่างสามารถแนบปิดกันได้อย่างสนิทไม่มีอวัยวะส่วนใดของเต่าออกมานอกกระดองเลยเวลามันหลบภัย
เหมือนปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกงแบบล็อคแน่นเชียวละครับ
เต่าชนิดนี้
ชื่อว่าเต่าหับครับ
เต่าที่มีคุณสมบัติอย่างเต่าหับนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามีอยู่ในเมืองไทยแห่งเดียวหรือไม่
ซึ่งเราน่าจะช่วยมันเพิ่มจำนวนขึ้นมากๆ
น่าจะดีนะครับ
เพราะคนทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโสมลงโดยเฉพาะแหล่งน้ำจืดได้กลายเป็นแหล่งน้ำเน่าเพิ่มมากขึ้น
และที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็นระบบป้องกันภัยที่เต่าสร้างขึ้นไว้ประจำตัวเต่า
ซึ่งมีส่วนทำให้เต่าสืบสอดเผ่าพันธุ์มาได้จวบจนปัจจุบันนี้
การหากินของเต่า
ค่อนข้างง่ายๆ
มันกินได้ทั้ง
สัตว์ และ พืช
ไม่ว่าจะเป็นปลาตัวเล็กๆ
ทั้งที่สดและตายแล้ว
เนื้อสัตว์ที่ตายแล้วมันก็สามารถกินได้
พืชผัก
รากไม้ต่างๆมันก็กินได้
มันกินได้ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้
การกินอย่างง่ายๆ
ทำให้การดำรงชีวิตของเต่าไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก
ซึ่งเป็นการกินเพื่ออยู่จริงๆ
ซึ่งถ้ามันกินมากๆ
มันอาจคับกระดองตัวเองตายแน่ๆ
ครับ
ด้วยเหตุผลเช่นนี้
ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เต่าอยู่รอดปลอดภัยมาได้
การใช้ชีวิตของเต่าที่อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำเป็นสิ่งที่ฉลาดมาก
เพราะมันสามารถใช้พื้นที่ของโลกทั้งหมดเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมัน
พื้นที่ของโลกในทั้งหมด
4 ส่วน
เป็นมหาสมุทรเสีย 3
ส่วนแล้ว
เป็นพื้นดิน 1 ส่วน
อาหารจำนวนมหาศาลแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร
เท่ากับเต่าไม่มีวันอดตายแน่
และจากนักโบราณคดีที่ติดตามค้นซากของไดโนเสาร์
ซากไดโนเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่
ส่วนมากมักล้มตายอยู่บนบกและหนองน้ำ
และชายฝั่งทะเลตื้นๆ
ทั้งนั้น
ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องยืนยันได้ส่วนหนึ่งว่า
การที่เต่าสามารถดำรงชีวิตอยู่ในมหาสมุทรได้นั้น
เท่ากับว่ามหาสมุทรเป็นที่หลบภัยของเต่าได้ส่วนหนึ่ง
ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดของเต่าในยุคปัจจุบันนี้
เพราะการออกไข่ของเต่า
จะต้องขึ้นมาออกไข่
บนบกแถบชายหาด
แล้วใช้ทรายกลบปิดอำพรางไว้
การออกไข่บนบกถือเป็นการเสี่ยงอย่างมากในยุคปัจจุบัน
เพราะชายหาดทุกแห่ง
ล้วนแล้วแต่มีมนุษย์อยู่อาศัยจับจองเป็นที่อยู่ของตัวเองแทบทั้งสิ้น
ซึ่งไข่เต่าอาจจะเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตบนบกได้
แต่การออกไข่ของเต่าคราวละมากๆ
อาจจะเป็น 30
ฟองขึ้นไป อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง
เมื่อแม่เต่าขึ้นมาวางไข่
และใช้ทรายกลบปกปิดไว้แล้ว
ถือเป็นการเสร็จสิ้นภาระกิจ
แม่เต่าก็จะลงทะเลว่ายหายไป
ปล่อยให้วันเวลาฟักลูกเต่าออกมาเอง
ไม่ต้องคอยมาดูและอนุบาลลูกเต่าอีกต่อไป
เมื่อลูกเต่าฟักออกมามันต้องพยายามหลบหลีกภัยต่างๆ
บนบก
แล้วต้องพยายามพาตัวเองลงทะเลให้ได้
และเมื่อลงทะเลได้แล้วมันต้องหากินด้วยตัวเองนับแต่บัดนั้น
ไข่ 30
ฟองอาจมีเหลือรอดชีวิตถึงวัยเจริญพันธุ์สัก
10 ตัวถือ
ว่าเก่งมากแล้วครับ
ตอนนี้ถึงคราว
ต้องมาดูชีวิตของมนุษย์เรากันบ้างแล้วครับ
มนุษย์แตกต่างจากเต่าอย่างสิ้นเชิง
มนุษย์ไม่อาจดำเนินชีวิตได้เช่นเต่า
เต่าดำเนินชีวิตสืบต่อกันมาหลายร้อยล้านปีได้
ถือได้ว่าสุดยอด
ดังนั้นเต่ายอมมีวิถีการดำเนินชีวิตของเต่า
ในเมื่อมนุษย์ไม่อาจดำเนินชีวิตเช่นเต่าได้
ดังนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถเปรียบเทียบตนเองหรือใครๆ
อย่างเต่าได้เช่นกัน
มนุษย์แตกต่างกับเต่าอย่างไร
ขอเปรียบเทียบเป็นข้อๆ
ดังนี้
ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีรูปร่างใหญ่โตพอสมควร
โดยเฉพาะในส่วนของสมอง
ซึ่งมนุษย์ได้มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างกันเรื่อยมาในแต่ละยุค
ในแต่ละสมัยจนถึงปัจจุบัน
หรือพูดได้ว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการคือการปรับตัวเปลี่ยนแปลง
มนุษย์ต้องหาอาหารมาเลี้ยงชีวิตในปริมาณที่มากพอ
เพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายและสมอง
มนุษย์ต้องกินอยู่ทุกวัน
3 มื้อ ขาดไม่ได้
ดังนั้นนอกจากมนุษย์จะหาอาหารตามธรรมชาติแล้ว
มนุษย์ยังต้องรู้จักใช้มันสมองสร้างแหล่งอาหารไว้บริโภคเอง
ได้แก่การเพาะปลูกและ
เลี้ยงสัตว์
เพื่อสะสมไว้กิน
ไม่ให้ขาดแคลนได้
- ข้อที่สอง
มนุษย์ไม่มีระบบป้องกันภัยติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ข้อนี้ก็เป็นจุดอ่อนข้อหนึ่งของมนุษย์
มนุษย์แรกเกิดไม่มีอะไรเลยมีแต่เนื้อหนังอ่อนๆ
,ถึงแม้มนุษย์จะเติบโตมีรูปร่างใหญ่โตพอควร
แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตหรือแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสัตว์โลกด้วยกัน
ดังนั้นก็อีกนั่นแหละครับ
มนุษย์ต้องรู้จักใช้สมองเพื่อความอยู่รอด
มนุษย์
รู้จักนำสิ่งต่างๆ
ในสภาพแวดล้อมมาห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันภัยจากสภาพอากาศ
รู้จักสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อป้องกันภัยต่างๆ
,รู้จักสร้างอาวุธเครื่องทุนแรงต่างๆ
เพื่อป้องกันตัวเองและเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ
,ในเมื่อมนุษย์ต้องคิดต้องทำสิ่งต่างๆ
มากมายเช่นนี้
มนุษย์จึงไม่อาจเชื่องช้าได้เหมือนอย่างเต่า
มนุษย์ต้องหูไว
ตาไว
รวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงภัยต่างๆ
และสร้างสิ่งป้องกันภัยด้วยตัวเองเพื่อความอยู่รอด
มนุษย์ไม่สามารถหยิบฉวยอะไรมากินได้ง่ายๆ
เพราะอาหารอาจทำอันตรายแก่ตัวมนุษย์เองได้
มนุษย์รู้จักการปรุงอาหาร
รู้จักสร้างกลิ่นและรสชาดที่ต้องการสำหรับการกิน
จนติดเป็นนิสัย
และไม่สามารถขาดสิ่งต่างที่ปรุงแต่งสำหรับการกินได้
ดังนั้นมนุษย์ต้องเสียเวลาอย่างน้อยครึ่งวันต่อ
1คน
เพื่อเตรียมอาหาร 3
มื้อในหนึ่งวัน
ในเมื่อมนุษย์ไม่อาจขาดรสชาดต่างๆ
ในการกินได้
มนุษย์ยังต้องเสียเวลาหาอาหาร
ปรุงอาหารไปในแต่ละวันและยังต้องทำสิ่งอื่นๆอีก
ดังนั้นเมื่อต้องเป็นอยู่เช่นนี้มนุษย์จึงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียวได้
มนุษย์จึงต้องอยู่เป็นสังคม
พึ่งพาอาศัยกัน
แบ่งหน้าที่กันปฏิบัติรับผิดชอบ
ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งก็อาจกระทบกับสังคมเป็นบ่วงโซได้
หันมาดูสังคมมนุษย์ในปัจจุบันนี้ต้องพึ่งพาเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ
ในการดำรงชีวิตเรียกได้ว่าส่วนใหญ่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว
อย่างนี้สมมุติว่าอยู่มาวันหนึ่งระบบเทคโนโลยีเครื่องอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้ชีวิตอยู่รอด
เกิดอันตรธานหายไปผมแน่ใจได้เลยว่ามีมนุษย์ไม่กี่คน
ที่จะทนให้มีชีวิตอยู่ได้
โดยให้ชีวิตต้องกลับไปดำเนินชีวิตแบบเก่าก่อน
โดยเฉพาะสังคมที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างมากเช่นในสังคมตะวันตก
ซึ่งพวกเขาจะกลัวการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่างมาก
ดังเช่นการกลัวการเกิดปัญหา
Y2K ที่พึ่งผ่านไป
มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในมหาสุมทรอันกว้างใหญ่ได้
อันนี้ก็เป็นความจริงเท่ากับจำกัดขอบเขตถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ไปแล้วส่วนหนึ่ง
ถ้าหากมีประชากรมนุษย์เพิ่มมากขึ้นจะต้องมีปัญหาแน่
แต่ก็นั่นแหละครับถึงแม้มนุษย์จะยังหาวิธีดำรงชีวิตอยู่ในมหาสมุทรอย่างถาวรไม่ได้
แต่มนุษย์ก็มีวิธีการหาอาหารในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ได้
มนุษย์รู้จักสร้างเครื่องมือให้สามารถอยู่บนผิวมหาสมุทรและใต้มหาสมุทรได้อย่างชั่วคราว
อันนี้ก็เป็นการปรับตัวของมนุษย์ได้ส่วนหนึ่ง
ซึ่งอาจทำให้มนุษย์อยู่รอดได้
มนุษย์ให้กำเนิดลูกปีละ
1 คน
หลังให้กำเนิดเป็นทารก
พ่อแม่ยังต้องอนุบาลเลี้ยงดูให้การศึกษาไปอีกอย่างน้อย
15 ปี
จึงจะสามารถดำเนินชีวิตส่วนที่เหลือด้วยตนเองได้
บางคนอยู่กับพ่อแม่ไปจนสิ้นอายุไขของพ่อแม่
อันนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องเอื้ออาทรต่อกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ดังนั้นในสังคมมนุษย์จึงมีเรื่องวุ่นวายให้ต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา
บางคนกลายเป็นคนขี้เหงาขาดเพื่อนไม่ได้
บางคนชอบให้เอาอกเอาใจเหมือนพ่อแม่
บางคนชอบให้อุ้มตลอดเวลา
บางคนชอบเปลื้องผ้าเหมือนตอนเด็กๆ
บางคนชอบสนุกเฮฮาไม่หลับไม่นอน
บางคนชอบร้องตลอดเวลา
นั่นเป็นเพราะสับสนในสังคมของแต่ละช่วงของชีวิตที่ผ่านมา
จนไม่อาจแยกแยะออกจากสังคมในปัจจุบันได้
จากการเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างคุณเต่า
กับมนุษย์
จะเห็นว่าไม่เหมือนกันสักอย่างหนึ่ง
คุณเต่าไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรในการดำเนินชีวิตมากนัก
แต่ก็อยู่มาได้หลายร้อยล้านปีแล้ว
ตรงกันข้ามกับมนุษย์ถ้าจะให้อยู่รอดได้ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง
ใช้สมองขบคิดสร้างสิ่งต่างๆ
ไว้ช่วยในการดำเนินชีวิต
ให้ชีวิตสามารถดำรงคงอยู่ได้
อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นมนุษย์จึงไม่อาจเป็นเช่นคุณเต่าได้