พระยาฉัททันตไลร้องไห้

    ารขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ 'แม่ยั่วเมือง' แห่งแผ่นดิน กรุงศรีอยุธยา เนื่องด้วย สมเด็จพระไชยราชาธิราช สวรรคตระหว่างการนำทัพกลับสู่พระนคร หลังพิชิต เมืองเชียงใหม่สำเร็จ แล้ว เกิดอาเพศอาถรรพณ์ มีเลือด ตกทุกประตูบ้านทุกตำบล ในเชียงใหม่ 
เมื่อสิ้นแผ่นดินพระองค์แล้วผู้ที่อาจรับสถาปนาเป็นพระเจ้าอยู่หัวอาจแก่ พระเทียรราชา เชื้อพระวงศ์ นอกจากนี้ไม่มีใคร นอกจากพระราชโอรสองค์ใหญ่คือพระยอดฟ้า แต่มีพระชนม์พรรษาเพียง ๑๑ พรรษา เยาว์เกินไป ต่อเมื่อ ไม่มีเชื้อพระวงศ์ ผู้ใหญ่กว่านี้ก็จำต้องทูลเชิญพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ พระเธียรราชา เห็นการณ์ไกลรู้ดีว่าพระแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ มีลับลมคมในสิ่งใดอยู่บ้าง หาก พระราชโอรสไม่ได้ขึ้น ครองราชสมบัติ พระเธียรราชาก็ครองได้ไม่นานย่อมถูกจับประหาร ชิงแผ่นดินเป็นแน่แท้ จึงจำต้องรู้รักษา ตัวรอดไว้ก่อน ตัดสินใจออกบวชหลีกทางให้พระราชโอรส 'พระยอดฟ้า' ขึ้นครองราชย์สืบทอด การณ์ก็ปรากฏดังคาด ฝ่ายสมณพราหมณ์จารย์มุขมนตรี กวีราชนักปราชญ์ บัณฑิต ในโหราราชครูสโมสร พร้อมกันประชุมเชิญ พระยอดฟ้า พระชนม์ ๑๑ พรรษา ขึ้นเสด็จผ่านพิภพถวัลยราชประเพณี สืบศรีสุริยวงศ์อยุธยาสืบต่อไป โดย นางพญาแม่อยู่หัว ศรีสุดาจันทร์ สมเด็จพระชนนีเป็นผู้สำเร็จราชการ แทน พระองค์ ทำนุบำรุงประคองแผ่นดิน ไว้จนกว่าพระราชบุตรจะบรรลุนิติภาวะ บริหารราชการแผ่นดิน ด้วยพระองค์เอง  การสถาปนาครั้งนั้น ได้เกิด อาถรรพณ์แผ่นดินไหวยวบประหนึ่งมี ผู้หนักแผ่นดินขึ้น ครอง อำนาจ ศักราช ๘๙๐ ปีชวด สัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๐๗๑) วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ สมเด็จพระยอดฟ้า ซึ่งยัง ทรงพระเยาว์  เสด็จออก สนามพร้อมด้วยหมู่ มุขอำมาตย์ มนตรี เฝ้าพระบาทยุคลเป็นอันมาก พระเจ้าอยู่หัวองค์น้อยทรงเห็นช้างงาม จึงทรงนึกสนุกขึ้นตาม ประสา เด็กอายุแค่ ๑๒ ปี ดำรัสสั่งให้เอา ช้างมาบำรุงงากัน กาลครั้งนั้นเกิดอาถรรพณ์เป็นทุจริตนิมิต งาช้างพระยา ไฟหักเป็นสามท่อน ตกเพลาค่ำพระยาฉัททันตไลซึ่งเป็นช้างต้นร้องไห้เป็นเหมือนเสียงคนน้ำตาไหลพราก  ขณะเดียวกัน ประตูไพชยนต์ ก็ร้องเป็น อุบาทว์ อาถรรพณ์เหล่านั้นยังตวามหวั่น วิตกในแผ่นดินแก่ผู้รู้เห็น เป็นอันมาก ชะรอยแผ่นดินนี้จะต้องมีอันเป็นไปไม่มีใครกล้าปริปาก  นอกจากเฝ้าดูเหตุข้างหน้าเงียบๆ
...อะไรจะเกิดขึ้น อยู่มาวันหนึ่งนางพญาแม่อยู่หัว ศรีสุดาจันทร์เสด็จประพาส ณ พระที่นั่งพิมาน -รัตนา หอพระข้างหน้า ทอด พระเนตรเห็นพันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ เกิด ความเสน่หารักใคร่ในบัดดล จาก เรือนร่างสง่างามสมชาย ประกอบพระนาง ยังมีความปรารถนาในเพศชาย สนองอารมณ์แรงเป็นอย่างยิ่ง ดังสมญา  'พระแม่ยั่วเมือง' มิอาจอดใจไว้ได้ สั่งสาวใช้ ให้เอาเมี่ยงหมาก ห่อผ้าเช็ดหน้า ไปพระราชทาน พันบุตรศรีเทพ  พันบุตรศรีเทพ ก็รู้เท่าทัน ในพระกรุณา ของพระแม่เจ้า จึงเด็ดดอก จำปาส่ง ให้สาวใช้ ไปถวาย พระนางนางพญา ยิ่งมีความ กำหนัดในพันบุตรศรีเทพเป็นอันมากที่รู้ส่วนลึก ในหัวใจของ นาง กล้าตอบ สนองพระกรุณาในทำนองพร้อมมอบกายถวายชีวิต โดยมิได้กริ่งเกรง พระราชอาญา ว่ากำเริบ เสิบสานถวายดอกไม้แก่ นางพญาผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ เจอบุรุษกล้างามสง่าสมชายเช่นนี้ ความ เป็น 'พระแม่ยั่วเมือง' ก็มิอาจ อดใจไว้ได้อีกต่อไป จึงมี พระเสาวนีย์สั่ง พระยาราชภักดีว่า 'พันบุตรศรีเทพ เป็นข้าหลวงเดิม จงให้มาเป็นขุนชินราชรักษาหอพระข้างใน เปลี่ยนเอาขุน ชินราชเดิมออกไปเป็น พันบุตรศรีเทพรักษา หอพระข้างหน้า เพื่อความ เหมาะสม' พระยาราชภักดี จึงสนอง พระโองการ สับเปลี่ยนตำแหน่ง เมื่อพันบุตร -ศรีเทพ ได้เป็นขุนชินราชเข้าอยู่รักษา หอพระข้างในแล้ว นางพญา ก็ลอบ ลักสมัครสังวาสด้วยขุนชินราชเป็นประจำด้วยความหลงในกามารสของชายผู้บึกบึน ยิ่งวัน ยิ่งสำราญ พระทัยมิรู้เบื่อ ที่สุดก็ดำริจะเอาราชสมบัติจาก ราชบุตร มาให้ชู้รักขุนชินราช ทรงวางแผน ตรัสสั่ง พระยาราชภักดีให้ตั้งขุนชินราช เป็นขุนวรวงศาธิราช ให้ปลูกจวนอยู่ ริมศาลาสารบัญชีให้ พิจารณาเลิก สังกัดสมพรรค์ เพื่อให้มีขุมกำลังมากขึ้นให้เอาเตียงราชาอาสน์ไปตั้งไว้ข้างหน้า สำหรับขุนวรวงศาธิราชนั่ง ขุนนาง ทั้งปวงได้อ่อนน้อมยำเกรง นอกจากนั้นยัง สั่งให้ ปลูกจวนสำหรับขุนวรวงศาธิราชว่าราชการ ณ ประตูดิน ริม ต้นหมัน การแสดงออกของนางพญาศรีสุดาจันทร์ ครั้งนั้นเป็นที่รู้ กันว่าพระนางได้มีจิต ปฏิพัทธ์ขุนวรวงศาธิราชอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว จึงมอบหมายอำนาจให้มากมาย 'แผ่นดินเป็น ทุรยศ ฉะนี้ เราจะคิด ประการใด' พระยามหาเสนา ปรับทุกข์ด้วยความห่วงใยแผ่นดินกับพระยาราชภักดี เรื่องรู้ ถึงนางพญา ในเช้า วันรุ่งขึ้นทรงให้ พระยามหาเสนามาเข้าเฝ้า ที่ประตูดินใกล้กับที่ว่าราชการ ของขุน วรวงศาธิราชชู้รัก ทรงปรึกษาราชการกับพระยามหาเสนาถ่วงเวลาไว้จนพลบค่ำ ถึงอนุญาตให้กลับออกไป แต่ชะตาพระยามหาเสนา ถึงฆาตขาดสะบั้น เสียแล้ว พอพ้นประตูดินก็ถูกมือลึกลับ แทงด้วย ดาบยาว ล้มลงก่อนจะสิ้นใจได้แสดงความปริวิตกออกมา ดังๆว่า 'เมื่อเราเป็นดังนี้แล้ว ผู้อยู่ภายหลัง จะเป็นประการ ใดเล่า' ไม่มีใคร กล้าวิพากษ์วิจารณ์ 
การถูกฆ่าตายของพระยามหาเสนาในเ ขตพระราชฐานต่างยิ่งปิดปากเงียบด้วยเกรงพระราชอาญา ของ พระแม่ศรีสุดาจันทร์กับ ขุนวรวงศาธิราชชู้รัก รู้ดีว่าเป็นฝีมือของทั้งสอง ในการสังหารพระยามหาเสนา ข้าราชการเก่าแก่ของแผ่นดิน ขณะนั้นพระแม่ อยู่หัว ศรีสุดาจันทร์ ตั้งครรภ์กับขุนวรวงศาธิราช ทำให ้พระนาง ไม่อาจปกปิดเรื่องคบชู้สู่สวาทอีกต่อไป จึงทรงปรึกษาราชการกับหมู่มุขมนตรีทั้งปวง ในวันหนึ่ง 'พระยอดฟ้าโอรสเรายังเยาว์นัก สาละวนแต่จะเล่นแบบเด็กๆจะว่าราชการกิจการ แผ่นดินนั้นเหลือ สติ ปัญญานัก เราเองผู้สำเร็จราชการก็เป็นหญิง หัวเมืองฝ่ายเหนือเล่าก็ยังมิเป็นปกติ จะไว้ใจแก่ราชการ นั้นมิได้เราคิดว่าจะให้ ขุนวรวงศาธิราช ว่า ราชการแผ่นดินจนกว่าราชบุตรเราจะ จำเริญวัยขึ้น พอสืบ ราชสมบัติโดยสมบูรณ์ ได้ มุขมนตรีทั้งหลายจะเห็นประการใด' บรรดาท้าว พระยามุขมนตรี รู้พระอัชฌาสัย ของพระนางดี ใครจะ ขัดขวางพระประสงค์ เท่ากับหาภัยใส่ตนดังพระยามหาเสนา เป็นแบบอย่าง เพียงแค่ เปรยกับ พระยาราชภักดีก็ถูกเรียกเข้าไปฆ่าเอาดื้อๆ จึงทูล 'ที่นางพญาแม่อยู่หัวตรัสโปรดมานั้น ควรอยู่แล้ว พระเจ้าข้า' เท่านั้น พระนาง ก็มี เสาวนีย์สั่งปลัดวัง ให้เอาราชยาน และเครื่องสูงแตรสังข์ กับขัตติยวงศ์ ออกไปรับขุนวรวงศาธิราช เข้ามาใน พระราชนิเวสน์ มณเฑียรสถานตั้งพระราชพิธี ราชาภิเษกยก ขุนวรวงศาธิราช ขึ้นเป็นเจ้าพิภพ กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา เอานายจันทร์ผู้น้อง ขุนวรวงศาธิราช บ้านอยู่ มหาโลกเป็นมหาอุปราช เป็นการ กระทำพระราชพิธีที่เร่งรีบ แต่ก็เสร็จสมบูรณ์สมดังประสงค์ ทุกประการ ยึด อำนาจราชสมบัติ จากราชโอรส สายเลือดในอกแท้ๆ มอบให้แก่ชู้รัก ยังไม่สะใจ ทั้งสองยังคิดการณ์ โหดเหี้ยม ด้วยการให้เอา พระยอดฟ้า ไปประหารชีวิตเสียที่วัดโคกพระยา เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๘ ศักราช ๘๙๑ ฉลูเอกศก (พ.ศ.๒๐๗๒) สมเด็จ พระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติหนึ่งปีกับสองเดือน น่าสลดใจ เพียงไหน ที่แม่บังเกิดเกล้าหลงรักชู้ ขนาด สมยอมให้เอาลูกตัวเองไปฆ่าทิ้ง ชิงราชสมบัติ เกรง เป็นเสี้ยน หนาม หอกข้างแคร่ แต่.... กรรมย่อมสนอง กรรมอย่างไม่ต้องสงสัย ...
โปรดติดตามเรื่องราวตอนต่อไปในชื่อ 'เสี่ยงเทียนกู้แผ่นดินทุรยศ'

[HOME] [NEXT]

 

1