รับราชฑูตและแขกบ้านแขกเมือง
ส่วนในเรื่องโอกาสพิเศษนั้น
พระที่นั่ง สรรเพชญปราสาท เป็น สถานที่ ซึ่ง พระมหากษัตริย์แห่ง กรุงศรีอยุธยาเสด็จออกรับราชฑูต
หรือ แขกบ้าน แขกเมือง จากต่างประเทศ ซึ่งถ้า หากเป็นฑูต หรือ แขกเมือง ที่มาจากรัฐ
เล็กๆ เช่นจากลาว หรือกัมพูชา ก็มักเสด็จ ออกให้เฝ้า ณ มุขเด็จ ดังเช่นใน รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา
เมื่อกษัตริย์เมืองเขมร ให้ ขุนนางนำนาง ช้าง เผือกมาถวายนั้น มีข้อความในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า
"...แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออก
ณ มุขเด็จพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท พร้อมด้วยท้าว พระยา เสนาบดี มนตรีมุขทั้งหลาย
ฝ่ายทหารและพลเรือนเฟี้ยมเฝ้า ณ ทิมดาบตามตำแหน่งซ้ายขวา จึงให้ เบิก พระยาพระเขมร
สามนาย เข้าเฝ้าถวายบังคม ณ ศาลาหว่างทิมดาบ..."
แต่ถ้าหากเป็นราชฑูตหรือแขกเมืองที่มาจากประเทศใหญ่ที่มีเกียรติยศและอำนาจ
พระมหากษัตริย์ ของ กรุงศรีอยุธยา ก็มักโปรด จัดพิธีต้อนรับภายในพระมหาปราสาทอย่างเอิกเกริก
ดังเช่น การถวาย พระราช สาส์น ของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสหลุยส์ที่ ๑๔ โดย ราชฑูต
เชอร์วาลิเย เดอ โชมอง ซึ่งมีชาวต่างประเทศ บันทึกไว้พอ จะเก็บ ความได้ดังนี้
"......ในขบวนแห่นี้มีเรือนานาชาติเข้า
ขบวน เพิ่มเติมอีกมาก นับเป็นขบวนแห่ ทางชลมารคที่สำคัญยิ่ง เรือหลวงที่เข้า
ขบวนแห่ ทุกลำปิดทอง โดยตลอดทั้งลำ และบุษบกบัลลังก์ก็ทำด้วย ฝีมือ ประณีตงดงามมาก
เครื่องประดับ ประดาล้วนแล้วไปด้วยทองคำ เรือ บัลลังก์ลำหนึ่งๆ มีฝีพายข้างละ
๖๐
คน แต่ละคนถือพายเล่ม เล็กๆ ที่ปิด ทองทั้งเล่มต่างก็พายจ้ำลงไปในน้ำ ก็ดูแวววาวเป็นประกาย
แจ่มจรัส น่าชมมาก เมื่อขึ้นฝั่งนั้น ราชฑูต ฝรั่งเศส เป็นผู้เชิญ พระราชสาส์น
ขึ้นไปด้วย แลัวนำไปประดิษฐ์ไว้ เหนือราชรถ ดูสวยงามยิ่ง กว่าเรือ พระที่นั่ง
ราชฑูตฝรั่งเศสขึ้นนั่ง บน เสลี่ยงทอง มีคนหาม ๑๐ คน มีออกญานั่งเสลี่ยง ตาม
ราชฑูตฝรั่งเศส ไปด้วย ข้างละ ๒ คน บาทหลวง เดอชัวลีก็นั่งเสลี่ยงตาม ราชฑูตฝรั่งเศสไปด้วย
มีคนหาม ๘ คน พวกที่มา ในคณะ ฑูตคนอื่นๆ ขึ้นนั่งบน หลังม้าเดินทางกันไป ตามถนน
เพื่อไปยังพระราชวัง ในตอนนี้มีทหาร ราช องครักษ์ เดินร่วมไป เป็นกองเกียรติยศ
และมีแถว ทหารเป็นขบวนอยู่ ๒ ข้าง ทหารเหล่า นี้ถือโล่เขนบ้าง ถือหอก ดาบ บ้าง
ในระหว่าง ทางที่ขบวนแห่ เคลื่อนที่ไปนั้น มักเห็นช้างเครื่องบ่อยๆ ตลอด ทาง
พอถึง พระราชวังชั้นนอกขบวนแห่ก็หยุด ราชฑูต ฝรั่งเศสลงจากเสลี่ยง แล้วเข้าไปเชิญ
พระราชสาส์น จาก ราชรถ ประคองพานพระราชสาส์น ย่างเข้า สู่พระราชวัง ราชฑูตฝรั่งเศส
ได้ส่งพานพระราชสาส์น ให้ บาทหลวงเดอชัวสีเป็นผู้เชิญต่อไป
ขณะเมื่ออยู่ ในเขตพระราชฐานนั้นคณะฑูตฝรั่งเศสเดินอย่างท่าทางองอาจผึ่งผายทุกคน
พวกใน คณะ ฑูตเดินหน้า มีออกญาเดินขนาบซ้ายขวา ๒ ข้างของผู้เชิญพระราชสาส์น
เดินผ่านภายในพระราชวังไป
๔-๕ แห่ง ที่แรกมี กองทหารตั้งรับรองอยู่กองหนึ่งมีจำนวน ๑๐๐๐ คน นั่งอยู่ในท่าแสดงความเคารพ
มีอาวุธ โล่เขน วางประจำตัว อยู่ข้างหน้า ปืนคาบศิลาวางอยู่ตรงหน้า ที่ลานที่
๒ มีกองทหารม้าตั้งอยู่ ม้าในกอง มี ลักษณะงดงามมาก ถัดจากนั้นไปก็เป็นกองช้าง
ช้างเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าช้างเครื่อง ที่ได้เคยเห็นมา แล้ว ภายนอกพระราชวัง
มีจำนวน ช้างในกองราว ๙๐ เชือก ณ สุดท้ายมีขุนนางหมู่หนึ่ง หมอบเอาศอกยันดินก้มหน้าอยู่ข้างทาง
ต่อจากนั้นคณะราชฑูตฝรั่งเศสก็ ขึ้นบันไดแล้วเข้าสู่ท้องพระโรง ที่ออกขุนนาง
นั่งรอ คอยอยู่โดยพร้อมหน้ากัน เมื่อถึงเวลาเสด็จออกมีเสียงแตรงอน และ มโหระทึก
ดังออกมาจากภายใน ฝ่ายข้างนอกก็บรรเลงรับ ตอบเป็นเสียง อาณัติสัญญาณ ราชฑูต
ฝรั่งเศสก็ถวาย คำนับตามอย่างประเพณี ชาวฝรั่งเศส ผู้เชิญพระราชสาส์นก็ติดตาม
ราชฑูตฝรั่งเศส เข้าไปในท้องพระโรง ซึ่งมีขุนนางประจำ ๒ แถว และนั่งอยู่ในท่าถวายบังคม
เมื่อราชฑูตฝรั่งเศส ได้กล่าว คำกราบบังคมทูล เสร็จแล้ว ก็ถวายเครื่อง ราชบรรณาการ
ที่ตั้งอยู่ในท้องพระโรง แล้วนำ คณะฑูตฝรั่งเศส ขึ้นถวายตัว ต่อจากนั้น ล่ามก็จะแปล
ถ้อยคำ ซึ่งราชฑูตฝรั่งเศส ได้กราบบังคม ทูล แล้วนั้นถวาย แล้วราชฑูต ฝรั่งเศส
ได้เชิญพระราชสาส์น ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งกรุงฝรั่งเศสถวาย สมเด็จพระนารายณ์
พระองค์ ประทับอยู่ตรงช่องพระบัญชร สูงจากระดับพื้นท้องพระโรง ไม่น้อยกว่าวาหนึ่ง
ในตอนนี้บาทหลวง เดอชัวสี บันทึกเล่าไว้ว่า พระองค์ จำต้องทรงชะโงกออกมาจากพระบัญชร
ทรงพระสรวล และโน้ม พระองค์ ลงมาต่ำตั้งครึ่งพระองค์ จึงทรง รับ พระราชสาส์นถึง
พระสรีรกาย และ อากัปกริยาของ พระองค์ ในตอนนี้เป็นที่น่าคารวะและสดุดีอย่างยิ่ง
นับเป็น การพระราชทาน พระเกียรติยศให้ด้วย พระองค์ตรัสรับ สัญญาแห่งสัมพันธไมตรีและ
มิตรภาพ ของ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ด้วยความปิติโสมนัส ทรงไต่ถามถึง ทุกข์สุขของพระราชวงศ์ฝรั่งเศส
และกิจการของประเทศ ในเวลาปกติและสงครามทรงประสาทพร ให้ราชฑูตและคณะฑูตฝรั่งเศส
และขอให้เดินทาง กลับ ไปประเทศโดย สวัสดิภาพ เมื่อ สิ้นกระแส พระราชดำรัสแล้วสักครู่
ก็จะมีเสียงแตรงอน และมะโหระทึก ดังขึ้น อย่าง เดียวกับเมื่อเวลา เสด็จออก
ทั้งนี้เป็นการเตือนให้ทราบว่าถึงเวลาจะเสด็จขึ้นแล้ว พระองค์ ทรงลุกขึ้น เสด็จออกจากพระราชอาสน์ช้าๆ
พระวิสูตรก็คลายคลี่ เลื่อนมาปิดช่องพระบัญชร เป็นเสร็จพิธี เข้าเฝ้า ถวายพระราชสาส์น
ในตอนขากลับออกจากพิธีเข้าเฝ้า คณะฑูตฝรั่งเศสได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างคงเดิมเหมือนตอนเข้ามาเฝ้า
เป็นต้นว่า ได้ เห็นขุนนาง กองช้าง และทหาร เมื่อออกมาพ้นพระทวารพระราชวังแล้ว
ราชฑูตฝรั่งเศส ก็ขึ้น เสลี่ยงเดินขบวนกลับ เพื่อเดินทางไปลงเรือบัลลังก์กลับไปยังที่พักต่อไป
บาทหลวงเดอชัวสีเล่าว่า เมื่อไป ขึ้นบกที่หัวถนนบ้านจีนแล้ว ก็ได้เดินขบวนผ่านถนนบ้านแขกไป
ถนนทั้ง ๒ สายนี้เป็นถนนที่ดี ที่สุด ในพระนครศรีอยุธยาสมัยนั้น มีบ้านช่อง
เต็มไปทั้ง ๒ ฟากถนน และก่อด้วยอิฐและหิน ตึกราม ชนิดนี้ถือ กันว่าเป็นการออกหน้าออกตามาก
และในตอนขา กลับนี้ต้องเดินขบวนผ่าน มากลาง ชุมนุมชนด้วย จึงมอง เห็นคนเต็มไปหมด
กรุงศรีอยุธยา ในตอนนั้นมีคน มากมาย ล้นหลาม..."
การเข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสหลุยส์ที่
๑๔ ครั้งราชฑูตเชอวาลิเย เดอ โชมอง นั้น กระทำขึ้น ณ พระที่นั่ง สรรเพชญปราสาท
ในพระนครศรีอยุธยา เพราะมีระบุไว้ชัดเจนถึงชื่อ พระมหา ปราสาท และการแห่ พระราชสาส์นตั้งแต่
ท่าน้ำ มาตามถนนในพระนคร จนถึงพระบรม มหาราชวัง ตามที่ บรรยายมาแล้ว แต่มีผู้คนอีก
เป็นจำนวนมากที่พากัน เชื่อว่าการ ถวาย พระราชสาส์น ครั้งนั้นกระทำที่ พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาท
ใน พระราชวังนารายณ์นิเวศน์ที่เมืองลพบุรี เพราะมีภาพ ที่ชาวฝรั่งเศส เขียนให้เห็นตอนราชฑูตถวายสาส์นว่า
เป็นภาพ ถ่ายในพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาท ซึ่งเป็นตึก ที่มีพระ สีหบัญชรสูง
ดังแลเห็นได้จาก สภาพที่เป็น โบราณ สถาน ในขณะนี้ นับเป็นเรื่องที่เข้าใจกันผิดโดยแท้
ทั้งนี้คงเนื่องจาก ฝรั่งผู้วาด ภาพ ไม่เคยได้เข้าไปเห็น พระที่นั่ง สรรเพชญปราสาทในพระบรมมหาราชวัง
พระนครศรีอยุธยาอย่างแน่นอน แต่คงคุ้นเคยกับ พระที่นั่ง ดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาท
ณ เมืองลพบุรี เพราะ เป็นสถานที่ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ เสด็จมาประทับ และ ทรงเปิด
โอกาส ให้ชาวฝรั่งเศสหลายพวกหลาย เหล่า เข้าเฝ้าเป็นการภายในอยู่เนืองๆ จึงได้เอาภาพพจน์ของพระที่นั่ง
องค์นี้ ไปเขียน เป็น สถานที่ในตอน ถวายพระราชสาส์นไป อันพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์นั้น
เป็นเพียงพระราชวังเล็กๆ สำหรับแปร พระราชฐาน จากพระนครหลวงเท่านั้น เป็นสถานที่ไม่เป็นทางการ
แต่ค่อนข้างเป็นเรื่อง ส่วนพระองค์ที่ พระมหากษัตริย์จะทรงเปิดโอกาส ให้ชาวต่างชาติเข้ามาเฝ้าอย่าง
เป็นกันเองเพื่อ การพูดคุยหรือแลก เปลี่ยน ข่าวสาร ทางศิลปวิทยาการ และเศรษฐกิจการงาน
อันเป็น ประโยชน์ ต่อ ราชสำนักและบ้านเมือง จึงไม่มี ทางเป็นไปได้ที่ จะ เป็นสถานที่ต้อนรับราชฑูตตอนถวายพระราชสาส์น
ซึ่งเป็นเรื่องของทางการ ที่มี ระเบียบ แบบแผน มีศักดิ์ศรี และ มีเกียรติยศโอ่อ่า
เรื่องจะทำอะไรอย่าง เล็กน้อยเช่นนี้ย่อมผิดปกติวิสัย ของ ราชสำนักสยามในสมัยนั้นอย่างแน่นอน
อีกทั้งในจดหมายเหตุและ การบันทึกของขุนนาง บาทหลวง และ พวกพ่อค้าชาว ฝรั่งเศส
ที่เข้ามาในเมืองไทย ครั้ง ถวายพระราชสาส์น ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เอง ก็บรรยาย
ไว้ให้แลเห็นถึง ระยะทางจากท่าน้ำ มาตาม ถนน จนถึง พระบรมมหาราชวัง ว่าไกลพอสมควร
ซึ่งถ้าหาก กระทำกันที่ พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรีแล้ว เดิน เพียงไม่กี่ก้าวก็เข้ามาในพระราชวังแล้ว
ยิ่งกว่านั้นการที่จะมีการต้อนรับด้วย กองเกียรติยศของทหารม้าและช้าง ก็ เป็นสิ่งที่
เป็นไปไม่ได้ในพระราชฐานแคบๆ เช่นพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ
ท้องพระโรงที่ ออกรับแขกเมือง ครั้งนี้เป็น พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาทไม่ได้
เพราะในการบันทึกของบาทหลวงเดอชัวสี ผู้อยู่ในขบวนราชฑูตนั้นระบุชัดว่า สมเด็จ
พระนารายณ์ ประทับ อยู่ ณ ช่องพระบัญชร หรืออีกนัยหนึ่งสีหบัญชร ที่สูงจากระดับท้องพระโรงประมาณ
๑ วา ใน ขณะที่ สีหบัญชร ของพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาทนั้นสูงกว่า
๑ วา มากมายและความสูง ใน ระดับเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าหาก สมเด็จพระนารายณ์จะโน้มพระองค์
เพื่อรับพระราชสาสน์ ที่ราชทูต เดอ โชมอง ยื่นถวาย เพราะฉะนั้น ภาพเขียนการถวาย
พระราช สาส์นในพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาท คือสิ่งที่ บิดเบือนความเป็นจริง
ด้วย ประการทั้งปวง ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่ง ของ พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์กับพระบรมมหาราชวังของพระนคร
ศรีอยุธยา ที่นอกเหนือไปจากขนาด และความสำคัญ ที่กล่าว มาแล้ว ก็คือ รูปแบบทางสถาปัตยกรรม
บรรดา พระที่นั่ง ตำหนักและอาคารต่าง ๆ ในพระราชวังนายรายณ์นั้น เป็นแบบใหม่
ที่ได้รับ อิทธิพล สถาปัตยกรรม ของชาวยุโรป แตกต่างไปจากรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบประเพณีที่มีมาก่อน
ย่อมไม่ เป็นที่นิยมของ บรรดา เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และผู้คนที่เป็นชาวสยามทั่วไป
จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะ เป็นสถานที่เหมาะสม และ ถูกต้องในสายตา ของคน ทั่วไปแน่
ซึ่งเรื่องนี้ สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรง ตระหนักเป็นอย่างดี จึงเสด็จมา ประทับ
ณ เมืองลพบุรี เพราะจะได้ ทรงทำอะไรที่ไม่ ต้อง เป็นทางการได้ สะดวก ส่วนบรรดาปราสาท
พระที่นั่ง ตำหนัก และอาคารต่าง ๆ ในพระบรม มหาราชวังพระนคร ศรีอยุธยา อันเป็นราชธานีนั้น
แม้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการ รับอิทธิพล สถาปัตยกรรมจากภาย
นอกก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่ มีการนำมาปรับปรุงแต่งให้เข้ากันกับ รูปแบบสถาปัตยกรรมเดิม
ที่เป็นแบบ ประเพณีจนดูแล้วไม่ขัดตา กลายเป็นสถาปัตยกรรม แบบสยามหรือแบบราชสำนักไป
ยิ่งกว่านั้น การรับ แขกเมืองสำคักญ ก็เป็น ประเพณีที่ต้องรับรองในเมืองราชธานีอย่างแน่นอน
ไม่เหตุผลอะไรที่จะ มารับรองกันใน เมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองลพบุรี
พระที่นั่งสรรเพชญปราสาทคือพระที่นั่งสำคัญที่ใช้รับแขกเมืองเรื่อยมาในรัชกาลอื่นๆ
หลังสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในรัชกาล สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พระที่นั่งองค์นี้มีสภาพทรุดโทรมชำรด
เช่น พระมหา ปราสาทองค์อื่น ๆ อาทิ พระที่นั่งบรรยงค์รัตนาสน์และ พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์
จึงต้อง บูรณะปฏิสังขรณ์ ใหม่เป็นเวลาถึงสิบเดือนจึงแล้ว พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
กล่าวว่า ก่อนการ บูรณะหุ้มแต่ ดีบุก ไม่ได้ปิดทอง เพิ่งมาปิดทองยอดกันในครั้งนี้
คำให้การของขุนหลวงประดู่ทรงธรรมที่ ว่าด้วยแผนที่ กรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทว่า
"พระมหาปราสาท สรรเพชญมีมุขโถง มีพระ มณฑปทอง ตั้งในมุขโถง เป็น พระที่นั่งเสด็จออกปราศรัย
แขกเมือง ในกลางพระมหาปราสาทนั่น มีแท่น บรรยงก์สามชั้นอย่างพระเบญจา สำหรับปูหนังราชสีห์
เสด็จขึ้นทรง นั่งราชาภิเษก"
คำให้การขุนหลวงประดู่ทรงธรรมนี้
คือสิ่งที่เล่าและเขียนโดยสมเด็จพระเจ้าอุทุพร ผู้เสด็จออกผนวช ก่อน การเสีย
กรุงและถูกพม่านำตัวไปเมืองพม่าแสดงให้เห็นถึงภาพพจน์ของพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
หลัง การซ่อม เปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เพราะสอด
คล้องกันกับ การมี หนังราชสีห์ปูบน พระแท่นกลางพระมหาปราสาท อันเนื่องมาจากในรัชกาลของ
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ พระมหากษัตริย์องค์สุดท้าย ของพระนครศรีอยุธยานั้น มีฝรั่งนายสำเภาชาว
อังกฤษชื่อ "อลังคปูนี" (Captain Pawney) นำหนังราชสีห์มาถวาย คงได้นำมาปู
ณ พระที่นั่งสรรเพชญ์ ปราสาทในรัชกาลนี้เอง