วัดสุทัศนเทพวราราม

ระอุโบสถ พระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอุโบสถที่มีขนาดใหญ่ยาวสวยงามที่สุดใน ประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เริ่มก่อสร้าง ในปี พ.ศ.๒๓๗๗ สำเร็จเรียบร้อย ในปี พ.ศ.๒๓๘๖ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบสถาปัตยกรรมไทย ขนาดกว้าง ๒๒.๖๐ เมตร ยาว ๗๒.๒๕ เมตร เป็นอาคารสูงใหญ่มาก มีเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ รองรับ หลังคาทั้งหมด ๖๘ ต้น หลังคา ๔ ชั้น และ ชั้นลด ๓ ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกาหางหงส์ มุงกระเบื้อง เคลือบ สีเขียวเป็นพื้น คั่น กรอบด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง หน้าบันมุขหน้าและหลังเป็นไม้แกะ สลักลาย ประดับกระจกสี ด้านหน้า หรือด้านทิศตะวันออก สลักเป็นรูป พระอาทิตย์ ประทับนั่งในบุษบก บนราชรถเทียมราชสีห์ มีคติความเชื่อ ว่าพระอาทิตย์เป็นผู้ให้แสงสว่าง แก่โลกในเวลากลางวัน พระวรกายเป็นสีแดง สวมเทริดทรงน้ำเต้ากลม พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวบาน หมายถึงการห้าม อุปัทว อันตรายทั้งปวง ส่วนพระหัตถ์ขวาถือ ดอกบัวตูม หมายถึง การอำนวยพร ด้านหลังหรือด้าน ทิศ ตะวันตกสลักเป็นรูปพระจันทร์ประทับนั่งในบุษบกบนราชรถเทียมม้า มีคติความเชื่อว่า พระจันทร์ เป็น เทพเจ้าผู้ให้แสงสว่างแก่โลกในเวลาตอนกลางคืน พระวรกายสีขาว สวมเทริดทรงน้ำเต้ากลม
พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ การสลักหน้าบันเป็นรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์หมายถึงว่า พระอาทิตย์ และ พระจันทร์เวียนรอบเขาพระสุเมรุคือพระวิหารหลวง ประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละ ๒ บาน รวม ๔ ประตู หน้าต่างด้านข้างด้านละ ๑๓ ช่องรวมทั้งหมด ๒๖ ช่อง ซุ้มประตูและหน้าต่าง ทำด้วย ปูนปั้นปิดทอง ประดับ กระจกสี เหนือกรอบประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มบันแถลงสองชั้น บานประตู และ หน้าต่างไม้เขียนลายรดน้ำ ผนังข้างหน้าต่าง(ด้านนอก) ติดกระเบื้องเคลือบลายดอกไม้ร่วง

พระประธานในพระอุโบสถ พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ พระประธานในพระอุโบสถ วัดสุทัศน เทพวราราม หล่อขึ้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๐ ศอก ๘ นิ้ว ปางมารวิชัย ประดิษฐานบนฐานชุกชีสูง ปั้นลายปิดทองคำเปลวประดับกระจกสี เบื้องหน้า พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ ประดิษฐานพระอสีติมหาสาวก ๘๐ องค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นแทนพระศรีศาสดา ที่อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวรวิหาร สร้างด้วยปูนปั้นลงสี นั่ง พนมมือเหมือนกำลังฟังพระบรมโอวาทจากพระพุทธองค์ ซึ่งประทับเป็น ประธานอยู่ตรงกลาง ขนาดของพระอสีติมหาสาวกนั้นเป็นขนาดซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรง คิดคำนวณขึ้นจิตรกรรมในพระอุโบสถ

ในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมในส่วนต่างๆ คือ
๑.ฝาผนังช่วงบนตั้งแต่ระดับขอบประตูและหน้า
ต่างขึ้นไปจรดฝ้าเพดานเป็รภาพเรื่องปฐมสมโพธิ คือ
พุทธประวัติของพระสมณโคดมพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๘
๒.ฝาผนังช่องระหว่างประตูหรือหน้าต่าง เป็นภาพ เรื่อง ปัจเจกพุทธเจ้า
๓.บานแผละประตู ๔ ช่องเป็นภาพรามเกียรติ์และบานแผละหน้าต่าง ๒๖ ช่อง เป็นภาพเรื่องวรรณกรรม ต่างๆ เน้นวรรณกรรมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
๔.หน้าบานประตู เป็นจิตรกรรมเรื่องสุทัสสนนคร
๕.หน้าบานหน้าต่างเป็นภาพลายรดน้ำเรื่องสุทัสสนคร คือเรื่องราวอันเกี่ยวด้วยวัดสุทัศน และ กรุงเทพ มหานคร
๖.หลังบานประตูและหน้าต่างเป็นภาพจิตรกรรมเนื่องในศาสนาฮินดู ๒๖ ภาพ
๗.บนเพดาน เป็นลายปิดทองบนพื้นล่องชาด ลายประจำยามก้านแย่งขื่อเป็นลายดวงดารา หัวขื่อเป็น ลาย กรวยเชิง
๘.เพดานวงกบ ประตูหน้าต่าง เป็นภาพจิตรกรรมลายเครือเถาพันธุ์พฤกษาดอกพุดตาน
๙.ภาพในกรอบที่ติดตั้งเหนือกรอบประตูและหน้าต่าง เป็นภาพในเรื่องราวรามเกียรติ์ จำนวน ๙๐ ภาพ
๑๐.แผงลับแล จำนวน ๒ แผง เป็นภาพเรื่องพระสุธนชาดก
๑๑.บนผนังทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีภาพเหมือนการล้างเท้าของพระเยซูแห่งศาสนาคลิสต์ อาจเป็น ว่าช่างเขียนได้เห็นภาพนี้จากรูปเขียนซึ่งมาจากทวีปยุโรปจึงลองวาดขึ้น
ศาลารายพระอุโบสถ บริเวณด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ของพระอุโบสถมีศาลารายทั้งหมด ๘ หลัง เป็น ศาลาก่ออิฐถือปูนเตี้ย ชั้นเดียว หลังคาจั่วทรงไทยมุงกระเบื้อง หน้าบันปูนปั้น ลายดอกและเถา แบบจึน
กุฏิสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้สร้างกุฏิสงฆ์ ในคราวเดียวกัน กับการสร้าง พระอุโบสถ ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของพระอาราม มีกำแพงกั้น ขอบเขตจากเขตพุทธาวาส กำแพง ที่กั้นมีซุ้มประตูแบบจตุรมุข ๓ ซุ้ม ก่ออิฐถือปูน ชายคารับด้วยเสาสี่เหลี่ยมด้านละ ๒ ต้น โครง หลังคา เป็นไม้ หน้าบันปูนปั้นลายดอกพุดตาน และ ลายเครือเถาอิทธิพลศิลปะจีน กรอบหน้าบันเป็น ปูนปั้นลาย ใบไม้อย่างใบอาแคนตัส อิทธิพลตะวันตก เป็นสถาปัตยกรรมผสมที่สวยงามอีกแบบหนึ่ง บานประตูไม้ทาสีแดง ๒ บาน ใต้ซุ้มสองข้างเป็น พนัก กระเบื้องดินเผาสีเขียวกั้น ภายในเขตสังฆวาส มีถนนแบ่งหมู่กุฏิออกเป็นแถวๆ อย่างมีระเบียบแบ่งออก เป็น ๓ แถว ๑๑ หมู่ ๑๕ คณะ ตัวอาคาร เป็น ตึกก่ออิฐถือปูน ทรวดทรงเลียนแบบคล้ายกับกุฏิทรงไทย ที่สร้างด้วยไม้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ กุฏิสงฆ์ใน วัดสุทัศนฯ เป็นเรือนกุฏิทรงไทยชี่นเดียวยกพื้นสูง ใข้เป็นที่พัก และ ที่เก็บของได้หลังคาทรงจั่ว แหลม มุงกระเบื้องดินเผา มีชานหรือชาลาต่อกัน กุฏิแต่ละห้องแต่ละหลัง หันหน้าเข้าหากัน ล้อมเป็นกลุ่มเป็น คณะแยกจากกัน มีประตูเข้าออกของแต่ละคณะ การก่อสร้าง ด้วยการก่ออิฐถือปูนนี้ พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงเห็นว่าเครื่องไม้ ผุพังง่ายต้องเสีย พระราชทรัพย์หรือ เงินซ่อม อยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้พระอารามต่างๆ ที่สร้างหรือบูรณะ ในสมัยของ พระองค์ จึงก่อด้วยอิฐหินปูน ทรายเป็นหลัก
ตำหนักสมเด็จ ตำหนักสมเด็จอยู่ที่คณะ ๖ ติดกับ เขต พุทธาวาส บริเวณพระอุโบสถสร้างเป็นอาคารชั้นเดียว แต่มีขนาดใหญ่ และ สูงกว่ากุฏิอื่นๆ ก่ออิฐถือปูน สถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมหลังคาจั่ว มุงกระเบื้อง โครงสร้างภายใน เช่น พื้นเพดาน ประตู หน้าต่างเป็นไม้ ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ ขนาด ๓ ห้อง ไม่มี ผนังกั้น สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ คราวเดียว กันกับ การสร้างพระอุโบสถ โดยมีหมู่กุฏิล้อมตัวตำหนักด้านทิศตะวันออก ด้านทิศ ตะวันตก และด้าน ทิศใต้ ตำหนักนี้มีความ สำคัญคือ เคยเป็นที่ประทับและที่อยู่จำพรรษา ของสมเด็จ พระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ และ พระราชาคณะ ผู้มีชื่อเสียงจากการกอปรกิจ อันเป็นคุณประโยชน์ต่อ พระพุทธ ศาสนา และ ประเทศ ชาติ เป็นอธิบดีสงฆ์ของวัดสุทัศนเทพวรารามมาโดยลำดับ หอไตร)หอ พระไตร ปิฏก) หอพระไตร เป็น ที่เก็บหนังสือตัวเขียนและใบลานจารพระธรรม (พระไครปิฏก) มีอยู่ในคณะ ๓, ๖ และ ๑๑

HOME BACK

 

1