STRUCTURAL ANALYSIS OF HARIPHUNCHAI
PAGODA
|
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ |
ชะอำ
เพชรบุรี ๑๐ - ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๓
|
1. บทนำ พระบรมธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูนเป็นปูชนียสถานอันสำคัญ ในล้านนาไทยมาแต่สมัยโบราณ ไม่ต่ำกว่า 10 ศตวรรษ จากเอกสารและหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า [1] ในปีพุทธศักราช 1440 พระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์วงศ์รามัญผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 33 ได้รับเอาพระพุทธศาสนามาจากมอญประดิษฐาน ณ นครลำพูนแล้วได้ทรงสร้างมณฑป สำหรับประดิษฐานพระบรมธาตุสูง 3 วา มีซุ้มทั้งสี่ด้าน ครอบโกศทองคำสูง 3 ศอก บรรจุพระบรมธาตุไว้ภายใน และต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ก่อสร้างพระบรมธาตุหริภุญชัยต่อ ๆ กันมาตามลำดับดังนี้ พุทธศักราช 1722 พระเจ้าสัพพาสิทธิ์ได้ทรงสร้างโกศทองเสริมต่อขึ้นอีก 1 ศอก รวมเป็น 4 ศอก แล้วสร้างมณฑปเสริมต่อขึ้นอีก 2 วา รวมเป็น 5 วา พุทธศักราช 1819 พระเจ้าเม็งราย ทรงรับสั่งให้สร้างมณฑปต่อครอบมณฑปเดิมอีก 10 วา รวมเป็น 15 วา พร้อมกันนั้นได้สร้างทองจังโกฎก์หุ้ม ตั้งแต่ฐานจนถึงยอด ต่อมาการปฏิสังขรณ์ก่อสร้างสมัยพระเจ้าติโลกราช พ.ศ. 1986 การก่อสร้างเสริมต่อพระบรมธาตุสูงขึ้นอีก 8 วา จากเดิมซึ่งสูงอยู่แล้ว 15 วา รวมเป็น 23 วา ฐาน 12 วา 2 ศอก ฉัตร 7 ชั้น แก้วบุษน้ำหนัก 230 หวิ้น (เฟื้อง) ใส่ยอด ซึ่งเป็นการปฏิสังขรณ์ก่อสร้างครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นไม่พบหลักฐานว่ามีการก่อสร้างเพิ่มเติมแต่อย่างไร นอกจากการบูรณะซ่อมแซมทองจังโกฎก์ใหม่ในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2525 โดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่ กรมศิลปากร สภาพองค์พระธาตุหริภุญชัยในปัจจุบันยังมีความสมบูรณ์สวยงาม ตามโครงการนี้ ฐิติพันธ์ และคณะ [2] มุ่งศึกษาจำลองโครงสร้างของพระธาตุหริภุญชัย และทำการวิเคราะห์ถึงความเค้นและความเครียดที่เกิดขึ้นโดยโปรแกรมไฟไนท์เอลิเมนท์ (STRAP) ในโครงสร้างองค์พระธาตุเนื่องจากน้ำหนักตัวเอง แรงลม และแรงแผ่นดินไหว ซึ่งข้อมูลการศึกษานี้คาดว่าจะเป็นประโยชน์ในการทะนุบำรุงรักษาในอนาคต รูปที่ 1 องค์พระธาตุหริภุญชัย |
HOME ! NEXT PAGE ! PREVIOUS PAGE