เนื่องจากว่าบทความของอาจารย์ เป็นบทความที่มีอการอธิบายโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์มาประกอบคำอธิบายด้วย ซึ่งในตอนแรก ผมไม่เข้าใจเลยครับว่าตกลงพลังชี่หรือคินี่เป็นอะไรแน่ มีหรือไม่มี แต่พอได้อ่านมาเรื่อยๆก็ต้องยอมรับเลยครับว่า ที่อาจารย์อธิบายมานั้นชัดเจนมาก ผมคิดว่าคงมีหลายคนที่คิดเหมือนผมในตอนแรกว่า บทความนี้ออกจะอิงไปทางวิทยาศาสตร์มากจริงๆ สำหรับคนที่ยึดมั่นในทางแนวเก่าที่คิดว่าพลังภายในเป็นพลังวิเศษเนี่ยคงทำใจยากเหมือนกันครับ (แฮ่ๆๆ ผมก็หนึ่งในนั้นเหมือนกัน) แต่ผมเองอยากให้อาจารย์ช่วยแปลบทความมาเรื่อยๆ ให้ความรู้กับพวกผมต่อไป เพราะผมรู้ดีว่าไม่มีความรู้ใดที่เรียนได้หมด เรื่องเดียวกันคิดได้พันอย่าง ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์นะครับ ขอบคุณครับที่เข้าใจและให้กำลังใจ ที่ไม่ได้เขียนในช่วงนี้เพราะว่างานมากจริงๆ อาจารย์เป็นนักธุรกิจครับมีลูกน้องร้อยกว่าคนช่วงปลายปีและต้นปีงานเยอะมากเลยปลีกตัวแปลไม่ค่อยได้ สิ่งที่อาจารย์ทำได้นั้นในโลกนี้มีคนทำได้หลายคนรวมทั้งอาจารย์ของอาจารย์ด้วย รวมทั้งอาจารย์ในตระกูลไทเก็ก ปากัว อาจารย์สอนลูกศิษย์เสมอว่าสิ่งที่เราต้องสนใจในขั้นพื้นฐานคือการฝังรากของเราลงดิน การถ่ายน้ำหนักของคู่ต่อสู่และของเราตามสถานการณ์ลงเท้าข้างใดข้างหนึ่ง การยึดครองเส้นกลางระหว่างคนทั้งสองตลอดเวลาสัมผัส การฟังแรง และการสลัดแรง พอเราฝึกได้ถึงจุดที่มีทั้งหมดแล้ว ฝีมือที่ต่างกันจะขึ้นอยู่กับใครทำได้ดีกว่า ได้ละเอียดกว่า เราจะเห็นได้ว่าอาจารย์สองคนฝีมือพอๆกันแต่พอประมือกันความแตกต่างจะเห็นได้ชัดอย่างรวดเร็วเพราะการฟังแรงที่ต่างกัน พอฟังแรงได้ดีกว่าทุกอย่างก็จะรวดเร็วกว่ายึดชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่าทันที ลูกศิษย์เก่าหรือใหม่ที่เข้ามาเรียนกับอาจารย์ก็ได้รับการอธิบายเช่นเดียวกัน ได้เห็นว่าอาจารย์สามารถตี คว้า จับ ทุ่ม คุมพวกเขาได้อย่างแมวเล่นกับหนู สามารถมองสรีระของพวกเขาด้วยสายตาและรู้ว่าร่างกายหรือแขนขาของเขาผิดตรงไหน จุดอ่อนอยู่ที่ใด หนักล่างหรือบน ซ้ายหรือขวา การกระทำได้เช่นนี้อาจารย์สมัยโบราณก็ทำได้ไม่แตกต่างกันมากนักในเรื่องของผลเพียงแต่วิธีจะต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ไอคิโด ไทเก็ก ปากัว หรือ สิ่งอี้ แม้กระทั่งมวยไทโบราณโดยเฉพาะการโน้มคอตีเข่าก็เป็นการเล่นกับแรงชนิดหนึ่งหากทำไม่ได้คงไม่อธิบายให้ฟัง คงไม่บอกว่าแสดงให้ดูได้ บอกถึงสถานที่ไป อาจารย์ทราบดีว่ามีอาจารย์ที่ทำได้เช่นอาจารย์อยู่ในเมืองไทยเช่นกัน เพียงแต่ท่านเหล่านั้นไม่เปิดเผยตนเองออกมาอย่างอาจารย์ ซึ่งก็น่าเสียดายเพราะจะเป็นการสอนลูกศิษย์ในวงแคบ อาจารย์ทราบดีจากการสอนลูกศิษย์มาเรียนเป็นร้อยแล้วว่าคนที่รักและเรียนวิชาจริงๆน่ะมีไม่มาก บ้างก็ติดงาน ติดเรียน ติดภาระครอบครัว บ้างก็ไปไปมามา บ้างก็เรียนได้ไม่สมบูรณ์เพราะกว่าจะได้ถึงสิ่งที่อาจารย์กล่าวถึงต้องใช้เวลามากกว่ามวยบางชนิด หากอาจารย์สอนคนน้อยคนที่จะฝึกได้จนสามารถจะถ่ายทอดต่อไปได้จะเหลือสักกี่คน ผมบอกกับลูกศิษย์ใหม่ว่าจะมาฝึกต้องขออนุญาติกับอาจารย์เขาก่อนว่าอาจารย์อนันต์ขอยืมตัวพักหนึ่งสอนจนเขาพอใจแล้วก็จะคืนให้ อย่างนี้ครับเราจึงได้บุคคลากรรุ่นใหม่ที่ดีกว่าเดิม คนเราจึงพัฒนา มวยที่ดีก็จะถูกถ่ายทอดไปยังชนรุ่นหลัง อาจารย์ไม่ต้องการเป็นฮีโร่และไม่อยากเป็น ชื่อเสียงอาจารย์ก็มีอยู่แล้วแต่ไม่ใช่ในวงการมวย อาจารย์ก็มีสอนวิชาชีพที่สมาคม เป็นวิทยากรรับเชิญในสายวิชาชีพของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ชื่อเสียงทางมวยจะมีไม่มีก็ไม่เป็นไร การเรียนมวยคือการเรียนเพื่อสุขภาพ เพื่อให้เรามีความมั่นใจในตนเอง ให้รู้แพ้รู้ชนะ เรียนยุทธวิธีที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ในชีวิตธุรกิจ เรียนให้รู้จักการทำสมาธิ ควบคุมการหายใจ เรียนให้รู้จักอดทนต่อการฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจให้พร้อมรับกับศึกในชีวิตประจำวัน ประโยชน์ที่ยังกล่าวไม่หมดแค่นี้ก็มากมายแล้ว จะหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับเรื่องวิชามวยจีนโบราณ(วิชาใหนก็ได้)ได้จากที่ใหนครับ(ขอเป็น ภาษาไทย)
ถ้าพลังถายในเกิดจากการขดและครายตัวของกล้ามเนื้อถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกันปราณเลย งั้นทำใมมวยจีนถึงให้ฝึกปราณกันทั้งนั้นเลยละครับ หนังสือมวยจีนโบราณมีไม่มากในไทย ต่างกับอเมริกาที่มีมากกว่าพันเล่ม รวมทั้งนิตยสารอีกบานตะไท ตอนนี้ยังมีWebsite อีกต่างหาก ผมถีงได้พยายามค่อยๆแปลมาให้อ่านไงล่ะครับจากห้องสมุดผมซึ่งผมเก็บสะสมอยู่หลายร้อยเล่ม และวีดีโอหลายร้อยชั่วโมงส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับมวยหวิงชุน ไทเก็ก ปากัว สิ่งอี้ ไอคิโด สุยเจียว JKD โกจูริว เทควอนโด หนังสือเกี่ยวกับการฝึกการหายใจต่างๆ และหนังสือเกี่ยวกับยุทธวิธีเช่น Book of Five Rings ซุนวู หนังสือและบทความต่าง ผมจะค่อยๆแปลให้อ่านน่ะครับ ส่วนเรื่องการผ่อนและขยายของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจที่เช่นการขยายและหดตัวของอวัยวะภายในทั้งหมดซึ่งโยงมาถึงอาวุธภายนอก เวลาตีร่างกายขยายได้หนึ่งนิ้วก็สามารถตีคนได้ เกิดแรงกดดันได้ครับ ต่อยหนึ่งนิ้วให้เจ็บได้อย่างไรคงต้องมาที่ฝึกถึงอธิบายได้ครับ ผมไม่ใช่ผู้วิเศษน่ะครับ ผมเจออาจารย์ที่ทำได้ดีกว่าผมมามากเช่นกัน หากเจอคนที่สามารถทำให้ดูได้สอนได้ เขาเองคงใช้หลักคล้ายๆกันแต่คงอธิบายต่างกันครับ แจ็ค แดมแซย์ก็มีหลักคล้ายกันแต่เป็นการถ่าย Body Momentum ที่ถูกต้อง ถ้าจะไปฝึกกับ อ. ไม่ทราบว่าจะไปที่ใหน(ที่สำคัญไม่ทราบว่า อ.คิดค่าสอนหรือปล่าว) เพราะผมสนใจมากครับ เรียนฟรีครับ แต่ต้องกรอกใบสมัครและบอกอาจารย์คุณก่อน เหมือนเรียนหนังสือนะครับคุณเรียนได้หลายวิชา คุณถึงจะรอบรู้ หากเรียนเลขคณิตอย่างเดียว เวลาคุยกับฝรั่งก็เป็นใบ้ซิครับ หากจะทำธุรกิจไม่เรียนการบริหาร การตลาด ก็คงจะลำบาก ลูกศิษย์เก่าๆผมมาจากรามคำแหงเยอะเลยครับ ABAC ก็มี มวยภายในที่ใช้กำลังภายใน ไม่ต้องการใช้พื้นที่แม้แต่นิ้วเดียวหรือมิลเดียวก็ตีได้ อยากรู้ว่านั้นหมายความว่าอย่างไร รบกวนตอบด้วย ขอบคุณครับ เคยอธิบายแล้วครับ เกี่ยวกับการที่คู่ต่อสู้กดแรงมายังแขนคุณ คุณรับและจมแรงนั้นสู่พื้น พอเราฟังและรู้ว่าแรงเขามาจนสุด จึงดีดแรงจากพื้นกลับสู่เขา ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะทางที่ตีนั้นไม่มีเนื่องจากมือแขนยังสัมผัสกันอยู่ แต่หากดูจริงๆร่างการมีการ ลอยจมกลืนคาย โฟว ชั่ม ทั้น โทว พลังจิ้งที่พูดถึงนี้เป็นพลังที่ใช้ในการล้มคู่ต่อสู้เพียงหมัดเดียวใช่ไหมครับ พลังที่สามารถสยบคู่ต่อสู่ในหมัดเดียวเนี่ย สามารถเข้าถึงได้ด้วยการฝึกมวยจีนโบราณเพียงอย่างเดียว(วิชาใหนก็ได้) หรือว่าเข้าถึงด้วยวิชาการต่อสู้ใดก็ได้ในโลกครับ หมัดเดียวจอดนี่อยู่ที่คนชกกับคนโดนขกน่ะครับ คนชกต้องชกหนักพอสมควรเข้าเป้าที่เหมาะสม คนถูกชกก็ต้องใจเสาะโดนเบาเบาก็ลงไปนอนหรือโดยเข้าที่จุดอ่อนจริงๆ ปกติถ้าเป็นมวยแล้วคงไม่ยืนให้ชกโดยไม่ป้องและตอบโต้ครับ ยิ่งเจอคนเป็นมวยยิ่งลำบาก มวยไหนๆก็สามารถชกหมัดเดียวอยู่ก็ได้ครับ ไม่ต้องยึดติดกับวิชาหรือสำนัก อยู่ที่ผู้ฝึกครับ ถ้าถามผมว่าชกให้หนักชกให้เจ็บโตยใช้พลังน้อยกว่าอย่างมีประสิทธิภาพน่ะทำอย่างไร ผมแสดงให้ดูได้ทำให้ดูได้และก็สอนได้ครับ แต่ถ้าบอกว่าให้ชกหมัดเดียวจอดนั้นขึ้นอยู่กับสถานะการ คู่ต่อสู้และการกระทำของเราครับ บี้มดนะง่าย ชกควายชกช้างให้ตายน่ะมันยากกว่า เปรียบเช่นคนละครับตัวใหญ่กว่าหนากว่าก็เอาให้ลงยากหน่อย มวยสากลหรือมวยไทยก็มีนี่ครับปังเดียวจอด แต่ไม่ใช่ทุกคู่ ไม่ทุกนัด ไม่ใช่หรือครับ? ความหมายที่แท้จริงของพลังจิ้งก็หมายถึงการใช้แรงที่น้อยๆแต่มีพลังทำลายมากๆ ใช่ไหมครับ แล้วเป็นพลังอันเดียวกันกับที่ใช้ต่อยคู่ต่อสู้ในระยะใกล้ตัวแต่ทำให้คู่ต่อสู้กระเด็นไปได้ไกลๆใช่ไหมครับ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ลองไปดูข้อความเดิมเกี่ยวกับการยิงธนูสิครับผมเคยอธิบายไว้แล้วเกี่ยวกับการรับแรงจากคู่ต่อสู้เช่นเดียวกับสายธนูรับแรงดึงของลูกธนูไว้ การสะท้อนแรงกลับด้วยการลัดแรงหลังจากรับแรงเขามาจนสุดและสลัดแรงกลับบนเส้นศูนย์กลางระหว่างคนทั้งสอง ทั้งนี้เราต้องคุมจุดศูนย์ถ่วงของเราได้ดี ฟังแรงได้ดี ถ่ายแรงได้ถูกต้อง สะเทินกลับได้ถูกต้องบนทิศทางที่ถูกต้อง การรับแรงที่เข้ามากระทำได้จนหมดตัวเราต้องผ่อนเช่นสายธนู หากคู่ต่อสู้กดมายังแขนฃวาเราขาซ้ายเราจะรับแรงนั้นจากแฃนสู่ร่างกายลงสู่พื้น เวลาสลัดพลังออกต้องทันทีเช่นเดียวกับการปลอยลูกธนูหลังจากถูกดึงมาหลังจนตึง ขาเราก็จะดีดพลังที่เรารับมาจากคู่ต่อสู้และส่งไปยังพื้นจนแรงนั้นสิ้นสุดจากนั้นสะท้อนกลับจากพื้นสู่ร่างกายสลัดออกที่แขน กลับหาคู่ต่อสู้ แรงจึงมาจากเขากลับสู่เขาได้ เราอาจจะบวกด้วยแรงของเราเวลาสลัดออกได้เช่นกัน 1.มวยหยงชุนนี่ต้องฝึกนานซักกี่ปีครับกว่าจะสามารถซัดคู่ต่อสู้ให้กระเด็นไปไกลๆได้ 2.การที่ซัดคู่ต่อสู้ให้กระเด็นไปไกลๆได้นี่คือสิ่งที่คนบางคนเรียกว่าพลังภายในใช่ไหมครับ 3.หยงชุนนี่มีการเตะมากไหมครับ 4.อาจารย์เคยบอกว่าเคยเรียนวิชาอื่นมาอาจารย์เคยเรียนวิชาอะไรบ้างครับและถ้าจะเรียนอาจารย์จะสอนรึเปล่าครับ หลักการใช้แรงของหวิงชุนคล้ายกับลูกธนูพาดยังคันธนูเมื่อลูกธนูถูกดึงด้วยสายธนูมาด้านหลังมากเท่าไหร่ลูกธนูก็จะถูกยิงไปไกลเท่านั้น เช่นเดียวกับการออกหมัดการที่คู่ต่อสู้ออกอาวุธมาสู่เรานั้นเปรียบเสมือนอาวุธเขาเหมือนลูกธนู ส่วนตัวเราคือสายธนู คันธนูเปรียบเสมือนแนวหรือเส้นทางที่แรงกระทำกับแรงตอบสนองเดินทางอยู่บนเส้นนี้ ซึ่งก็คือจุดศูนย์กลาง จึงเกิดจุดที่วิ่งบนเส้นกลางสามจุดคือจุดที่ลูกธนูถูกดึงไปยังด้านหลังคันธนู จุดที่ลูกธนูพาดอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของคันธนู และเป้าหมายที่ลูกธนูถูกเล็งไป การที่คู่ต่อสู้ชกหรือออกอาวุธใส่เรานั้น ตัวเขาและอาวุธเขาเปรียบเสมือนลูกธนูที่ถูกดึงจนตึง ดังนั้นหากตัวเราสามารถดูดซับแรงที่เขามากระทำได้เป็นส่วนใหญ่และสามารถที่จะกระแทกแรงหรือปล่อยแรงออกขณะที่คู่ต่อสู้ได้ส่งแรงมาจนสุดได้ ก็จะเปรียบเสมือนลูกธนูถูกยิงออกไป การกระทำดังนี้ได้ต้องอาศัยหลักต่างๆดังที่ผมเคยกล่าวในหัวข้ออื่นๆไปแล้ว โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอาวุธเปรียบเสมือนตะปูตัวเราเปรียบเสมือนฆ้อน การวางแนวรุกและรับอยู่ในเส้นกลางตัวระหว่างเรากับคู่ต่อสู้หรือเส้นที่สั้นที่สุดระหว่างคนทั้งสอง การเข้ากระทำขณะที่คู่ต่อสู้เข้ากระทำเพื่อเพิ่มแรงบวก การผ่อนแรงทั้งตัวเพื่อให้แรงสามารถจะเคลื่อนจากข้อเท้าสู่มือเท้าเข่าศอกหัวไหล่และการสบัดแรงขณะอาวุธถึงเป้าดังฆ้อนทุบตะปู การออกอาวุธของหวิงชุนนั้นนอกจากดังบนแล้วยังฝึกให้เราออกอาวุธได้อย่าง รวดเร็วเนื่องจากหมัดที่ใช้เป็นหมัดสั้น บางอาจารย์ถึงกับอ้างว่าสามารถชกได้เจ็ดหมัดต่อวินาทีซึ่งผมคิดว่าอาจจะเกินเลยไปทุกหมัดที่ออกมานั้นจะต้อง รุนแรงด้วยหลักดังบนจะทำได้ต้องอาศัยการฝึกฝน ส่วนการที่จะชกแล้วให้กระเด็นไปนั้นผู้ฝึกหวิงชุนอาจหรือไม่อาจทำเช่นนั้นได้เนื่องจากหวิงชุนใช้หลักของการดัก คือตีแล้วจับ จับแล้วตีอีกเป็นเช่นนี้จนคู่ต่อสู้ล้มลง การทำเช่นนี้ได้อาสัยหลักของการวางดัก (Trapping) คือมือหนึ่งตีและมือหนึ่งจับ ฟังดูแล้วยากไหมครับผมว่า กว่าจะฝึกได้ต้องใช้เวลาสองถึงสามปี กว่าจะใช้ได้ทั้งสองมือคงจะใช้เวลามากกว่านั้นอีกหน่อย ผมคิดว่าการอธิบายดังบนคงบอกแล้วว่า สิ่งนี้คือกำลังภายในหรือไม่ หวิงชุนนั้นมีหลักอยู่ว่า บนมามือรับ ล่างมาขารับ หรือ เสาเกือกเซี้ยงเส็ก โหมวจิดจิ้ว คือมือเท้าประสานไม่มีท่าพิศดารหรือไม้ตาย ฉนั้นหวิงชุนย่อมมีการแตะซึ่งส่วนใหญ่จะต่ำกว่าระดับเอว การแตะนั้นแต่ละท่าแบ่งออกตามแรงที่กระทำเป็นแปดแรงหลักๆด้วยกัน จะให้อธิบายมากกว่านี้คงต้องมาฝึกละครับตัวหนังสือคงทำให้เห็นได้ลำบาก ผมเรียนมวยเทควันโดและมวยจีนของคนแต้จิ้วตั่งแต่อายุสิบเอ็ดหรือสิบสองกับอาจารย์คันสรเป็นเวลาห้าหรือหกปีก่อนไปอเมริกา ในขณะนั้นคุณพ่อเคยมีค่ายมวยไทยเล็กๆก็ได้คลุกคลีกับพวกนักมวยอยู่บ้าง พอไปอเมริกาก็ได้เรียนมวยหวิงชุนกับอาจารย์ โรเบิร์ต ชูจนครบทั้งระบบ อาจารย์ โรเบิร์ตยังได้เรียนกระบองจากราชากระบองทางภาคใต้หรือ หลุยหยังซั้ง ภายใต้สำนักที่ชื่อว่า มังกรบินเสือทะยาน ซึ่งมวยของท่านได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือวู่หลินเมื่อหลายปีที่แล้ว อาจารย์โรเบิร์ตได้ถ่ายทอดกระบองชุดนี้ให้ผมก่อนผมกลับมายังประเทศไทยซึ่งเป็นที่น่กเสียดายว่าผมเองร้างการฝึกกระบองชุดนี้นานจนจำทั้งกระบวนไม่ได้ รู้แต่ท่าและการใช้ขณะนี้จึงรอวีดีโออาจารย์โรเบิร์ตอยู่ ขณะอยู่อเมริกาก็ได้ศึกษา วิชาสุยเจี้ยวหรือมวยทุ่มและคว้าจับของจีน โดยแลกเปลี่ยนกับลูกศิษย์ของ ท่านฉานตงเซิน เมื่อกลับมาเมืองไทยผมได้มีโอกาสเรียนกับอาจารย์โค้วเป็นเวลาไม่กี่เดือนดังที่ผมเคยกล่าวไว้แล้ว ผมสอนหวิงชุนเป็นวิชาหลักครับ ส่วนวิชาอื่นก็สอนตามที่เรียนมาครับแต่ไม่ได้เน้นครับ
|
||
|
Previous
page | Answer
index | Next page |
|