RESTLESS
Author เศษใบไม้
Disclaimer All of these character are owned by J.R.R.TOLKIEN.
Thanks ขอบคุณท่านตะน๊อคที่ช่วยให้คำแนะนำและตรวจทานภาษาให้ค่ะ
ขอบคุณคุณ Zerbirus สำหรับบทเพลงพรายที่เก็บเอา theme เรื่องทั้งหมดไว้ได้ดีมากๆเลยค่ะ
" restless mind"

 

เสียงบทเพลงพรายแผ่วเบา ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้น มองที่มาของเสียงนั้น ถึงแม้จะไม่สามารถเข้าใจถึงความหมายของบทเพลงนั้นได้ หากแต่เสียงเพลงแว่วกังวานหวานนั้นก็กล่อมให้เขาเคลิ้บเคลิ้ม และหลับตาลงดื่มด่ำกับท่วงทำนองแห่งพราย
แต่ทว่าเสียงเพลงที่แผ่วหายไปทำให้เขาต้อง ลืมตาขึ้นอีกครั้ง...


อีกฟากหนึ่งของกองไฟ ร่างเพรียวของพรายหนุ่มก้มลงมองใบหน้าคมเข้มที่กำลังดื่มด่ำกับห้วงนิทราอันล้ำลึก ก่อนจะกระซิบบทเพลงท่อนสุดท้ายที่แฝงไว้ด้วยความเศร้า ที่แม้แต่หัวใจอันแข็งแกร่งของคนแคระอย่างเขาก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว

กิมลีเหลือบตามองร่างโปร่งเพรียวค่อยๆผละ จากร่างที่กำลังหลับใหลของพรานหนุ่มอย่างระมัดระวัง เลโกลัสค่อยๆนั่งลงข้างกองไฟ มือเรียวหยิบกิ่งไม้เล็กๆขึ้นมาถือเล่น เสียงเปรียะประ ของเปลวไฟ ดังเป็นระยะๆ กิมลีพินิจดวงหน้างามของสหายพรายในความมืดอย่างเงียบๆอยู่เป็นเวลานาน ดวงตาสีเขียวสะท้อนภาพเปลวไฟที่เต้นระริกราวกับดวงตาคู่งามนั้นกำลังโลดแล่นอยู่ในห้วงฝันแห่งเปลวเพลิง

"หากท่านไม่ง่วง ก็อย่านอนอยู่เช่นนั้น ลุกขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนคุยกับข้าดีกว่า"

เสียงแผ่วใสของพรายกล่าวลอยๆ โดยไม่ได้ละสายตาจากกองไฟตรงหน้า ปลุกให้กิมลีตื่นขึ้นจากภวังค์

" ใครบอกเจ้าว่าข้าไม่ง่วง ? แต่เพลงพรายของเจ้ามันรบกวนการนอนของข้า"

คนแคระพึมพำตอบเบาๆก่อนจะกระชับเสื้อคลุมเข้ากับตัวแล้วพลิกหันหลังให้กับพรายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของกองไฟ

"งั้นหรือ? ข้านึกว่าเพลงของข้าจะกล่อมให้ท่านหลับสบายขึ้นเสียอีก" เสียงกลั้วหัวเราะของพรายยังแว่วมา
"เสียงของข้าคงไม่ไพเราะเท่าเสียงเพลงที่ขับกล่อมของคนแคระอย่างพวกท่านกระมัง? "


"เพลงของคนแคระ ย่อมไพเราะสำหรับคนแคระ " กิมลีตอบเบาๆ

"เพลงพรายของข้าคงไม่ไพเราะพอสำหรับคนแคระกระนั้นสิ?" เสียงใสเอ่ยถามมาอีก

"ถึงข้าจะบอกว่าเพลงของเจ้าไม่เพราะ เจ้าคงไม่สนใจหรอก" เสียงของคนแคระเริ่มงึมงำ ดวงตาค่อยๆหรี่ปรือลง

"เหตุใดจึงจะเป็นเช่นนั้น?" เลโกลัสเอ่ยถาม พลางโยนกิ่งไม้ในมือเข้ากองไฟ

"แค่เพลงพรายของเจ้าไพเราะสำหรับมนุษย์บางคน นั่นก็เพียงพอสำหรับเจ้าแล้วมิใช่รึ"

ปลายเสียงของคนแคระต่ำหายไปในลำคอ ก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงกรนเบาๆ สม่ำเสมอ ดวงตาใสของพรายละจากเปลวไฟขึ้นไปจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังกำยำของคนแคระอยู่ชั่วครู่อย่างครุ่นคิด ก่อนจะเลื่อนไปจับจ้องที่อีกร่างหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

แวววูบระริกไหวดุจเปลวเพลิงยังคงเต้นอยู่ในดวงตาคู่งาม ยามที่ทอดมองดวงหน้าคมเข้มที่สว่างเรืองเป็นสีเหลืองทอง ด้วยแสงจากกองไฟ เงาของสันจมูกโด่งทาบลงบนโหนกแก้มสูง รับกับเงาของขนตายาวที่ทอดรับกัน เงาของสันคิ้วที่ทาบทับอีกชั้น ทำให้ใบหน้านั้นดูมีเสน่ห์อย่างประหลาดแม้ในยามหลับใหล ดวงตาพรายไล้ไปตามเส้นกรอบของแสงและเงาบนใบหน้านั้นแทนปลายนิ้ว

พรายหนุ่มหลับตาลงฟังเสียงลมหายใจของชายหนุ่มที่แผ่วเบาสม่ำเสมอ ที่กล่อมให้เขาเคลิบเคลิ้มราวกับบทเพลง ริมฝีปากพรายพึมพำคำพูดบางคำที่แผ่วเบาราวกับจะกระซิบเข้าไปในความฝันของมนุษย์ผู้นั้น

"พญาไม้เอยหาใช่เจ้าผู้เดียวที่หวั่นไหว...

ลมผู้มีอิสระจะพัดพาไปที่ใดมิมีใครกั้น...

กลับเฝ้าเพียรพัดเพียงรอบเงาไม้...

เพียงหวังจะได้ฟังเสียงกระซิบจากกิ่งใบแม้ว่า...

จะเป็นเพียงเสียงกระซิบเพียงชั่วคืนก็ตามที..."

 


 

"เคยพัดผ่านภูเขาและผืนป่า

ล่องลอยเหนือสายธาราสะอาดใส

ไปทั่วแคว้นเขตคามตามอำเภอใจ

เป็นสายลมท่องไปในพนา

ครั้นพัดผ่านลำต้นแกร่งแห่งไม้ใหญ่

ยืนกิ่งใบตระหง่านงามนักหนา

เป็นพญาไม้แห่งไพรพงดงวนา

แผ่ใบปกพสุธาให้ร่มเย็น

ยินเสียงไม้พร่ำรำพันคำรักหวาน

ฝากวิญญาณกับผืนดินถิ่นที่เห็น

แต่ลมผัดแผ่วผ่านเช่นข้าเป็น

ทำได้เพียงหลบเร้นตามกิ่งใบ

ยามก้านกิ่งไหวเอนตามลมพัด

ใบสะบัดรำพันไม้สั่นไหว

ลมเช่นข้าปลาบปลื้มในฤทัย

เฝ้าเพียรพัดรอบเงาไม้ทุกวันคืน

แม้ไม่ใช่ผืนดินคู่ต้นไม้

ขอเป็นเพียงลมโชยชายให้ฉ่ำชื่น

รำเพยความร้อนล้ายามไม้ยืน

หอบความเย็นรื่นให้ชื่นใจ

แค่กิ่งใบกระซิบยามลมผ่าน

ถึงไม่ใช่ถ้อยคำหวานจากต้นไม้

ลมเช่นข้าก็อิ่มสุขในหัวใจ

แม้เป็นเสียงกระซิบในเพียงชั่วคืน"

 

to be continued
Thank you for reading. Please feel free to leave your message all comment are needed.