>>Home::Varieties::About me::My story1::My story 2

 อุดรธานี 2540::อุดรธานี 2541::อุดรธานี 2542::อุดรธานี 2543::อุดรธานี 2544

 


 

     พ.ศ.2540

 

     ฉันได้รับคำสั่งย้ายเข้ารพศ.อุดรธานี เมื่อ 1 มกราคม 2540 โดยมาช่วยราชการ แต่ต้นสังกัดยังอยู่ที่เดิม
ตอนแรกจำได้ว่ายังเบลอร์ๆอยู่ ฉันเข้าไปในห้องพักแพทย์ของโรงพยาบาลศูนย์ เข้าไปหาพี่หัวหน้ากลุ่มงาน
กุมารเวชกรรมฉันขอมาอยู่แผนกกุมารฯแต่พี่ว่า งานหนัก ยังไม่เหมาะ เพราะฉันยังไม่หาย อันที่จริงตอนนั้นก็
พอตรวจคนไข้ได้อยู่ แต่ยังสับสนอยู่มาก จึงได้เข้าทำงานที่กลุ่มงานเวชกรรมสังคม ซึ่งเป็นงานที่เน้นด้าน
การป้องกันส่งเสริมสุขภาพ มากกว่าด้านการรักษาพยาบาลซึ่งงานนี้ฉันไม่คุ้นเคยนัก แต่ก็ดีต่อสุขภาพ กาย
เพราะไม่ต้องอยู่เวร
     งานเวชกรรมสังคมเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล ,งานส่งเสริมสุขภาพ,งานป้องกันและควบคุมโรค
และงานฟื้นฟูสุขภาพ ตอนนั้นมีงานสังคมสงเคราะห์อยู่ด้วย เป็นกลุ่มงานใหญ่ มีเจ้าหน้าที่ร่วม 40 คน(มากที่สุด)
เสมือนโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆที่อยู่ในโรงพยาบาลศูนย์
     ขณะที่ไปปีแรกนั้น ฉันได้ย้ายออกมาจากงานหนักมาอยู่งานที่เบาๆมาก เพราะไม่มีโครงการพิเศษอะไร
ก็เลยรู้สึกเคว้งคว้างอยู่บ้างแต่ไม่นานก็ชินต้องพยายามหางานทำเช่นการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่,
การออกหน่วยอนามัยโรงเรียน,งานอาชีวอนามัย,งานระบาดวิทยาและยังได้เป็นกรรมการตรวจสุขภาพเด็ก
ในงานประกวดเด็กของเทศบาล ,ได้ออกหน่วยโรคไม่ติดต่อและมีงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง.....ซึ่งฉันได้เริ่มสะพาย
กล้องคล้องคอ ถ่ายรูปกิจกรรมทุกอย่างเอาไว้จนครบ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านใดก็ตาม ฉันได้ผ่านมาจนหมด 
เจ้าหน้าที่ก็เห็นใจฉันดี และอยากให้ฉันทำงานอย่างมีความสุข เขาไม่พยายามบังคับให้ฉันทำอะไรทั้งสิ้น
ยกเว้นฉันจะสมัครใจไปเอง แต่ฉันก็ไปออกหน่วยแพทย์ที่อยู่ไกลๆเป็นประจำ และออกหน่วยอนามัยโรงเรียน
นับสิบๆแห่ง บางครั้งออกไปตรวจคนงานที่โรงงานคอนกรีตกับงานอาชีวอนามัย ได้เห็นภาพชีวิตที่แปลกไป
ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลก็ว่าได้  แต่เมื่อเทียบกับงานที่เคยทำแล้ว ทั้งความเครียดและความรับผิดชอบต่างกัน
สบายขึ้นมากทั้งกายและใจ แต่กระนั้นอาการแปลกๆที่คิดว่ามีผู้สั่งให้ฉันทำงานเพื่อส่วนรวมดังที่ฉันปวารณาตัว
ไว้แล้วนั้น ยังติดตามฉันมาอยู่
ทำให้ฉันต้องทำงานหลายๆอย่างควบคู่กันไป แต่งานอดิเรกที่ทำนอกเวลานั้น
จะเป็นงานที่ฉันชอบ เช่น การถ่ายรูป เป็นต้น นอกจากนั้นก็ตัดแฟชั่นสวยๆเอาไว้ดู แต่เทพเบื้องบนท่านว่า
เป็นการทำของ ซึ่งจนบัดนี้ ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่า สิ่งที่ฉันได้ใช้เวลากับมันมากมายนั้นจะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง
อาจจะเป็นเพราะฉันเหงาก็ได้ จึงคิดไปเช่นนั้น ในปีแรกนี้ การทำงานเป็นความสุข เพราะจะสบายใจ ดีกว่า
ทำงานอย่างอื่น ฉันน้ำหนักมากประมาณ64ก.กและมีอาการนอนมากกว่าปกติรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียอยู่
ระยะหนึ่งต่อมาร่างกายแข็งแรงขึ้นฉันก็เริ่มทำงานต่อไปฉันมาแต่เช้าและเข้าไปนั่งห้องพักแพทย์ทุกๆเช้า 
พร้อมกับมีดอกกุหลาบสดไปปักแจกันแทบทุกวันและพยายามโปรโมชั่นงานเวชกรรมสังคมให้น้องๆแพทย์ใช้ทุนฟัง
ฉันค่อยสะสมรูปภาพงานต่างๆจนครบ และจัดเป็นอัลบั้ม ถ่ายภาพเจ้าหน้าที่เอาไว้ด้วยใครๆก็เห็นฉันสะพายกล้องเป็น
ประจำ และฉันก็ฝึกฝน จนได้ภาพดีๆมาไว้มากมายเหมือนกัน

     ฉันหัดถ่ายรูปแบบจัดภาพ ซึ่งเป็นงานประเภทสวยงาม และหัดทำเรื่องราวของความรักและครอบครัว
ที่สามารถใช้ภาพไปทำสไลด์ได้ เป็นความรู้ด้านจิตวิทยา ที่ฉันคิดว่า สุขภาพจิตดีเริ่มต้นที่บ้าน
ฉันคิดว่านี่จะเป็นงานที่ฉันสามารถทำต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ

     ช่วงปีนี้ เพื่อนชายของฉัน ทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน ฉันจึงไปมาหาสู่เขาได้เป็นประจำ 
แต่ไม่ใช่ในลักษณะอื่นใดนอกจากเป็นเพื่อนฉันได้รับคำสั่งอยู่ในทีให้ไปหาเขาบ่อยๆเพราะเขาเป็นคนดี
แต่ทางบ้านของฉันก็ไม่อยากให้ฉันไปกวนเขานักฉันไปหาเขาเพื่อไปคุยเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น
 เหมือนไปพบจิตแพทย์ และไปอวดรูปกับเขา

     ฉันเริ่มมีงานอดิเรกหลายอย่างทำ และสนุกเพลิดเพลินกับมันไม่รู้สึกถึงความรักอย่างอื่นนอกจากนี้
เพราะฉันเคยคิดก็ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากเขาไม่ยอมรับฉันเป็นมากกว่านั้น
ระยะแรกๆฉันสับสนและโกรธเขามาก
เหมือนเขามาหลอกลวง…แต่ในที่สุดก็ยอมรับบทบาทที่ต้องทำให้ได้คือเป็นเพื่อนกันเท่านั้นฉันจึงมักอยู่กับงานที่ฉันรัก
และมีความสุขมากกว่าอยากจะไปอยู่กับเขา…แต่ก็ต้องไปหาเขาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้มีเพื่อนไว้ปรึกษาหารือกันบ้าง.

     งานอดิเรกของฉันในเวลานั้น เป็นการเปิดโลกใหม่ที่มีความสุขให้กับฉัน มีหลายสิ่งที่ทำให้ชีวิตสด-ชื่น
ไม่เหงาและทำให้ได้ผลงานที่น่าภาคภูมิใจ เช่น การหัดระบายสี การถ่ายรูปประเภทจัดภาพให้สวยงาม
 การสะสมของกระจุกกระจิกฯลฯฉันรู้สึกเหมือนเป็นคุณครูอนุบาลวันไหนไม่ได้ทำงานฉันก็ดูการ์ตูนและ
ทำอุปกรณ์ช่วยสอนพัฒนาการเด็กๆ ซึ่งฉันมีโครงการจะทำคลินิคพัฒนาการเด็กที่โรงพยาบาล

     ต่อมาฉันก็เริ่มสานต่อความสัมพันธ์กับรุ่นน้องคนนั้นใหม่ เพราะความที่คิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
มากกว่าความสุขอื่นใดรวมทั้งจากงานอดิเรกต่างๆ เพราะฉันเคยรู้รสของความทุกข์ทั้งหลายมาแล้ว
ทุกข์เพราะไม่มีคนที่รักนั้นน่าจะเป็นทุกข์ที่สุด ฉันจึงหมั่นไปเยี่ยมหาเขาที่โรงพยาบาลเอกชน 
ที่นั่นมีห้องพักแพทย์ที่มีโทรทัศน์ ตู้เย็น โต๊ะทำงานจนกระทั่งเตียงนอนฉันไปนั่งคุยกับเขาช่วงบ่ายๆทุกวัน
ในระยะแรกๆก็อยู่ในอารมณ์ของเพื่อนสนิทเราคุยกันเรื่องงานของฉันเพราะฉันอยากทำคลินิคจิตเวชเด็ก
ที่โรงพยาบาลแต่ก็ไม่มีโอกาส ฉันถึงกับร้องไห้และเขาก็แสดงทีท่าเห็นใจอยู่มากช่วงนั้นฉันใช้เงินมากและ
แต่งตัวแบบยิปซี คล้ายๆพวกนิยมเรื่องโชคลางของฝรั่ง ใส่แหวนเก๊ๆทีละ10นิ้ว ทำนองนั้น ดูเพี้ยนๆสมตัวดี
ฉันศึกษาเกี่ยวกับพลังจักรวาลและพลังลึกลับต่างๆที่มีในโลกนี้รวมถึงพลังของอัญมณี บางอย่างเป็น
ลักษณะของแพทย์ทางเลือก
ที่ทำให้เพื่อนชายของฉันหัวเราะอย่างขบขัน เมื่อฉันบอกอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า
ฉันจะเปิดคลินิคหมอดูฝรั่งที่บ้านแทนที่จะทำคลินิคแบบแพทย์คนอื่นๆ

     ปีนี้เป็นปีที่ฉันใช้จ่ายเงินอย่างมากมายเพื่อสิ่งของที่ดูไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ในความคิดของฉัน
 มันคือการทำงานชนิดหนึ่ง ที่นำสิ่งของมาแทนเงินเพื่อความทรงจำต่างๆในชีวิตที่เป็นรูปธรรม
เป็นสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงความงดงาม ยิ่งใหญ่ต่างๆที่เคยผ่านมาในชีวิต
รวมทั้งความยากแค้นลำบากลำบนในชีวิตที่เคยเกิดขึ้น….ของทุกชิ้นมีประวัติของมันเอง…แน่ล่ะ..
ที่เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ มีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้คุณค่าอันประมาณเป็นเงินทองมิได้ของสิ่งเหล่านั้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันหวงแหนประหนึ่งเป็นทรัพย์ของแผ่นดินที่ฉันรับผิดชอบรักษาไว โดยฉันจะทำให้ดูเป็นสากลที่สุด
แต่ฉันก็ถูกตำหนิเรื่องการใช้เงินอยู่ตลอดเวลาจากผู้ที่รู้จักกระนั้นฉันก็ยังทำต่อไป.โดยมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
เพราะฉันรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่.และเวลาช่วงนี้มีไม่มากนักสัญชาติญาณภายในบอกฉันเช่นนั้น(สงสัยมาเนียขึ้น)
ฉันจึงสู้อดทนกับความคับแค้นใจในเรื่องนี้มาเรื่อยๆและต้องขนของขึ้นรถไปๆมาๆอยู่หลายเที่ยวจนเกินกว่า
จะเรียกว่าเป็นความสนุกสนานตามปกติธรรมดาได้…ฉันกำลังทำงานอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจเต็มที่จริงๆ(หลงผิดมั้ง)

     ฉันเคยพูดทีเล่นทีจริงกับเพื่อนชายว่า ให้เขาหาเงินไว้เยอะๆนะ เขาก็พยักหน้ารับคำอย่างมั่นคง 
จนฉันนึกแปลกใจอยู่บ้างถึงอย่างไรเงินเดือนร่วมแสนพร้อมรถยนต์ชั้นดีก็เป็นหลักประกันความสามารถ
ด้านนี้ของเขาอยู่แล้วฉันรู้สึกเหมือนกันว่าตนเองเริ่มมีข้อแม้ในการเลือกคบผู้ชายมากขึ้น
ซึ่งมีแนวโน้มไปในทางที่สังคมพาไป…แต่จริงๆไม่มีอะไรเหนือกว่า
ความรัก ไปได้

     มีบางครั้งที่เงินขาดมือ ฉันไปหยิบยืมเขาไม่ได้แม้เพียง 1,000 บาท ตอนนั้นฉันโกรธและน้อยใจมาก
 เสมือนว่า งาน ที่ฉันทำ ไม่มีความหมายใดๆสำหรับเขาเลยเขาไม่ยอมรับรู้ใดๆในความเป็นจริงแต่เหมือน
ปากว่าตาขยิบ เพราะสนับสนุนฉันให้ทำเช่นนี้โดยการใช้อากัปกิริยาแทนทำให้ฉันทำงานได้ในนามของ เรา
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่งในเวลาต่อมา
ฉันสนิทสนมกับเขามากขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

     ฉันได้ทราบว่า เขาตกลงใจจะไปเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง แรกๆที่รับรู้เรื่องนี้ ฉันโกรธและน้อยใจมาก
จนไม่ยอมไปพบเขาอยู่พักหนึ่ง และถึงขั้นจบชีวิตความฝันในการมีครอบครัวก่อนอายุ 36ปี โดยความตั้งใจจริง
ซึ่งเป็นการกำหนดของตนเองโดยสิ้นเชิง เหมือนผู้หญิงมีฝันคนนั้นตายไปแล้ว ฉันเริ่มรู้ว่า ฉันฝันไปคนเดียวเท่านั้น
เทวดาอารักษ์ผู้หลักผู้ใหญ่เจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ไหนก็เอาฉันไว้ไม่อยู่เพราะฉันรู้สึกว่านี่เป็นการทรยศหลอกลวงฉันให้หลงเชื่อ
ในสิ่งที่มีความสำคัญกับฉันที่สุด ฉันจึงเริ่มพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่นั้นมา

     ฉันค่อยๆยอมรับตามความเป็นจริงว่าเขาต้องจากไปเวลานั้นฉันไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเพราะความที่ฉัน
สนิทสนมกับเขามากเหลือเกินปลายเดือนเมษายน2541เขาก็จากไปเรียนต่อโดยฉันไม่ได้ไปส่งเลยก่อนไปเขาพา
ฉันไปรับประทานอาหารที่ร้านหรูร้านหนึ่งแต่ฉันก็รับประทานอาหารไม่ได้มากนักฉันฝากรูปและของขวัญให้เขาเพื่อให้
เขาระลึกถึงฉันได้แต่ฉันก็ยังคิดอยู่ดีว่าเขาจะไม่จากฉันไปตลอดกาลแน่นอนหลังจากนั้นเขาก็รับมาอยู่เวรโรงพยาบาล
เอกชนแบบไปกลับอยู่พักหนึ่ง.หลังจากนั้นก็ไม่เคยมาอีกเลย..เขาอ้างว่าเรียนหนัก….ฉันก็ไม่เคยไปเยี่ยมเขาเช่นกัน..
เพราะเขาสั่งห้ามด้วยเหตุว่าไม่อยากให้ฉันลำบาก ช่วง3ปีนั้น ฉันกับเขาจึงห่างเหินกันไปโดยปริยาย แต่โดยซื่อ
ฉันก็คาดหมายอยู่ในใจลึกๆว่า เขาจะกลับมาหาและเราจะได้แต่งงานกันจริงๆ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่แก้ไม่หาย
ทำให้ฉันต้องกินยาจิตเวชมาจนบัดนี้ เพราะดูจริงๆแล้ว ระหว่างเรา ไม่มีความรักที่แน่นอนหรือมีความสุขเลย
ทำไมจึงคิดไปเช่นนั้นได้ก็ไม่ทราบ แปลกใจจริงๆ
    
      อันที่จริงเวลาที่เราอยู่ร่วมกันมีทั้งความทุกข์และความสุข ความทุกข์นั้นเกิดจากความไม่ยอมเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ของเขา และทีท่าไม่แคร์กับการจะมีฉันหรือไม่ และเอาแต่ใจตนเอง จนไร้มารยาทในบางครั้ง ฉันร้องไห้เพราะเขา
บ่อยมาก อารมณ์เริ่มแปรปรวน เต็มไปด้วยความโกรธและเคียดแค้นในแง่ที่รู้สึกเสมือนเขาไม่ให้เกียรติฉันเลย
ส่วนฉันเอาใจเขาทุกอย่างไม่เคยว่าอะไรให้เขาทำกับข้าวให้เขารับประทานและอดทนต่อกิริยาวาจาเชือดเฉือน
สารพัดที่เขาแสดงออกมาทนจนบางทีเกิดโมโหจนเตะประตูห้องเขาอย่างเต็มฝีเท้าและจะทำร้ายเขาให้ได้ดุเดือดจริงๆ..
เราเคยไปเที่ยวหนองคายกัน และทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องคือฉันแอบถ่ายรูปเขาไว้ ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ยามห่างไกล แต่เขาโกรธมาก ประนามฉันต่างๆนานาฉันแทบช็อค หัวใจวูบหายไปและรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง
ไม่เคยโดนดุว่ารุนแรงขนาดนั้นจากผู้ใดเลยแม้แต่บุพการีแต่ฉันก็พยายามตั้งสติให้มั่นคงและงอนง้อจนเขายิ้มออก
แต่จริงๆฉันขมขื่นใจเป็นที่สุดและร้องไห้อย่างมากมายเมื่ออยู่ตามลำพังฉันรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่นานกว่าจะทำใจได้
แต่ปมปัญหาในความรักของฉันกับเขามีมาเรื่อยๆไม่ขาดสายฉันรู้สึกเจ็บปวดล่วงหน้าทุกครั้งก่อนจะไปพบกับเขาแต่ก็
ดทนจนถึงที่สุด เพื่อการทำงานที่ฉันเลือกเอง ไม่รู้หรือคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะออกมาในรูปแบบเช่นนี้(งานในฝันค่ะ)
แต่ก็อดทนจนเหตุการณ์ผ่านไปในที่สุดฉันได้บันทึกเรื่องราวไว้เป็นระยะเป็นหลักฐานในความยากลำบากในการทำงาน
เพื่อความรักฉันภูมิใจที่ผ่านมันมาได้ โดยยังคงความรักไว้ได้และยังมีความทรนงในศักดิ์ศรีของตนเองได้เหมือนเดิม
 หรือมากขึ้นเปรียบเสมือนเหล็กทีถูกตีจนแกร่งและทำเป็นอาวุธที่ลับจนคมกริบเพื่อเป็นทุนรอนในการเดินทางไปพบพาน
กับความทุกข์นานับประการที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา....

 

 


 

พ.ศ. 2541

     ในช่วงปีนี้งานด้านเวชศาสตร์ครอบครัวเริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายฉันเป็นคนหนึ่งที่ผ่านการอบรมมา
สถานที่จัดประชุมคือโรงแรมสยามซิตี้….ฉันได้พักในห้องชั้นบนดูหรูหรา เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟและ
จะเห็นโรงพยาบาลพญาไท 1 ที่ๆฉันเคยมาอยู่เวรกับ “เขา”
พี่กุมารแพทย์คนนั้น มีความทรงจำบางอย่างอยู่ ณ ที่นั้น
ฉันได้ถ่ายภาพเอาไว้หลายม้วน
ฉันเริ่มเปรียบเทียบตนเองกับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ เมื่อฉันมาอยู่กรุงเทพฯฉันให้ตระหนัก
 เมื่อรู้สึกตนเองซอมซ่อสิ้นดีและเริ่มเรียกร้องความยุติธรรมพร้อมทั้งปาฐกถาผ่านทางนภากาศด้วยความคับแค้นใจ
การปาฐกถาของฉัน คือการพูดกับตัวเอง และให้คลื่นพลังโทรจิตของฉันกระจายออกไปให้คนอื่นรับรู้(อาการหลงผิด)
แต่จุดใหญ่ใจความคือรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตนเสียสละไปโดยอาจจะน้อยใจในโชคชะตาของชีวิตที่บิดเบือนไปจากผู้อื่น
ฉันได้ซื้อบทกวีเกี่ยวกับความรักและการแต่งงานเอาไว้ ซึ่งไม่เสียใจเลยที่ทำเช่นนั้น…เพราะเป็นหนังสือที่ฉันรักมาก
ที่สุดชุดหนึ่ง ราคาเท่ากับค่าลงทะเบียนพอดี คือ 3000 บาท ตอนนั้นยืมเงินน้องชายซื้อด้วย...

     หลังจากการอบรม ฉันมาดำเนินงานเวชศาสตร์ครอบครัว ในรูปแบบที่ฉันคิดว่าควรจะเป็น ซึ่งเขียนโครงการเอา
ไว้แล้ว แต่ไม่ได้ส่งไป( เพราะช่วงนั้นงบประมาณและการปฏิบัติแบบเวชศาสตร์ครอบครัวยังไม่เข้าตากรรมการ)โดยคิด
ว่าไม่มีปัญหาเรื่องต้องอาศัยความสามารถหลายๆด้าน…และหลังจากงานคราวนี้ ทำให้ฉันได้พบกับสิ่งใหม่ๆที่แปลกประ-
หลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ในส่วนที่เกี่ยวกับความรักของฉัน และทำให้รู้สึกตัวว่า ตนเองอาจจะบ้าอีกครั้งหนึ่ง เหมือนๆเดิม
ตามวงจรที่มีการจากพรากจากความรัก พร้อมกับต้องทำงานหนักงานใหม่ คืองานเวชศาสตร์ครอบครัวที่ทำเองลำพัง
ฉันแทบไม่มีเวลาเป็นมนุษย์มนาสติดีๆที่อยู่ในโลกแห่งความจริงเหมือนคนอื่นๆเลยก็ว่าได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่ออะไร

     ฉันได้รับรู้เมื่อต้นปี 2541 ว่า คนรักของฉันสามารถมีร่างได้หลายร่าง  แต่ละร่างมีบุคลิกภาพและสภาวะแวดล้อม
ของเขาเอง เป็นวิญญาณดวงเดียวกันที่ครองร่างต่างๆนั้นอยู่ และเขาทำอะไรไม่ทราบด้านเวลาและมิติที่อธิบายไม่ได้
ที่ทำให้การหมุนวนไประหว่างร่างต่างๆดำเนินไปอย่างราบรื่น เสมือนเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่วิญญาณเดียวกัน
ฉันเพิ่งทราบว่าเกี่ยวข้องกับการทำชาติภพต่างๆเพราะทราบจากหนังสือประวัติท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เกจิอาจารย์
ที่กล่าวไว้ในเรื่องชาติภพของเทวดา...แต่ฉันไม่ทราบว่าความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้ได้มาจากที่ใดกันแน่ รู้แต่ว่าอยู่ๆ
ก็รู้ขึ้นมา ฉันน่าจะรู้ตัวว่าอาการมาเนีย เริ่มกำเนิดขึ้นแล้ว เพราะความช่างซื้อของสุรุ่ยสุร่ายของฉันเพิ่มขึ้นทุกวันเรื่อยๆ
เป็นจุดเริ่มต้นของอาการ โรค มาเนีย(โรคคลั่ง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการก้าวร้าว มีไอเดียฟุ้งซ่าน และใช้เงินเปลือง)

     ฉันรู้ได้ว่าเป็นเขาคือแพทย์รุ่นน้องคนนั้นก็ต่อเมื่อเขา บอก ซึ่งการบอกนั้น จะมีกระแสอุ่นๆวาบหวามแบบความรัก
เกิดขึ้น
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ฉันไม่เคยมีเลยแถมยังมีปฏิกิริยาจากคนรอบข้างเป็นเชิงสนับสนุนให้ฉันมีความสัมพันธ์ถึง
ขั้นเกิดความรัก กับผู้ชายอีกหลายๆคนซึ่งคือคำยืนยันจากผู้คนรอบข้างและตัวเขาเองแบบสัญญาณตามปกติที่รู้ๆกัน
ในมนุษย์ทั่วไป เชิงว่า คนนี้แหละ ใช่แล้ว  ฉันรู้สึกไม่ไว้วางใจนัก แต่ก็คิดว่าแปลกดี ฉันลังเลอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเชื่อ
ซึ่งมีความรู้สึกอื่นๆประกอบด้วย เพราะฉันย่อมไม่ทราบเลยแม้แต่น้อย ว่าเขาทำได้อย่างไร แบบไหน วิธีใด และก็คงรู้ว่า
เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก สำหรับผู้หญิง และฉันก็เป็นผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัวมาโดยตลอด ประเภทเชยๆ
เขาจะเข้ามาหาฉันได้เพราะความรักเท่านั้น ไม่ใช่ความใคร่เป็นเด็ดขาด


     เริ่มแรก จากช่างทำผมประจำตัว ที่เคยซอยผมให้ฉันมานานแล้ว โดยฉันไม่สนใจใดๆมาก่อนเลย ตามประสาของฉัน
มีครั้งหนึ่งที่ฉันมีความรู้สึกใกล้ชิดด้านสัมผัสจากมือของเขา ที่จับต้องบริเวณศีรษะ และเขาหัวเราะเบาๆที่ฉันทำท่าระแวง
แต่เหตุการณ์ช่วงนั้นก็ผ่านไปโดยฉันไม่ติดใจอะไร…แต่เมื่อเขาเปิดกิจการของตนเอง..ฉันเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างแปลกๆ
เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เป็นแมนดี ซึ่งเป็นความประทับตาประทับใจในความหล่อบริสุทธิ์ของเขา เขายืนยันด้วยกิริยา
ท่าทางว่าไม่ผิดหรอก…เรื่องแบบนี้เขาคงไม่หลอกฉัน…ฉันอาศัยศรัทธาในสิ่งที่ถูกต้องเข้าช่วยและมีความรู้สึกพิเศษอย่างใหม่
ระหว่างคนรักเกิดขึ้นมา…เป็นความอ่อนหวานลึกซึ้งมาก จนรู้สึกวาบหวามลึกๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งอื่นแน่นอน ฉันรู้เองโดยธรรมชาติ
ต้องมาจากความรักและต้องเป็นรักแท้ด้วย.นี่เป็นสัญญาณที่เขาส่งมาให้ฉันรับไว้ฉันเริ่มเชื่อและเริ่มตั้งคำถามต่างๆกับตนเอง
พร้อมทั้งค้นคว้าด้วยตนเอง ปรากฎว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทำได้เช่นนั้น คนอื่นๆก็เช่นกัน…ฉันไม่ทราบว่าเขาใช้วิธีเนรมิต
หรือใช้การสิงร่างหรือทั้งสองอย่าง ฉันหาหนังสืออ่านเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นที่ใดเขียนไว้..ราวกับเป็นเรื่องที่ปกปิดเป็นความลับ
ที่ห้ามไม่ให้บอกกล่าวใครในมนุษยโลกทั้งที่พวกเขาก็เดินไปมาอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ฉันคงสติเฟื่องมากกว่าที่เคยมีมา
ในฐานะมนุษย์นี่เอง คือเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่กลับเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นในชีวิตของฉันขึ้นมาได้
ทำให้ฉันรู้สึกเป็นมลทินทางใจ และร้องห่มร้องไห้เมื่อคิดถึงหนัง อีพริ้ง...คนเริงเมือง ซึ่งมีสามีตั้ง 7 คน หรืออีสาอะไรไปนั่น
โดยที่ฉันมีมากกว่าเขาด้วยซ้ำไป นับได้เป็นโหล แต่มีวิญญาณเดียวกันหมด (ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่เล่นด้วย)ชื่อเดียวกัน
เพียงแต่กายสังขารและสิ่งแวดล้อมภายนอกเท่านั้นที่แตกต่างกัน ฉันจะไปเอาความคิดชนิดนี้มาจากไหนก็บอกไม่ได้
สารเคมีในสมองของฉันจะผิดปกติขนาดนี้เชียวหรือ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ... วิญญาณนี้ ฉันขอเรียกว่า;วิญญาณ A
    
     การที่ฉันทำไม่ได้ก็เป็นสาเหตุของความระแวงคลางแคลงใจอยู่นาน..กว่าจะทำใจให้เชื่อได้จริงๆ…ก็นานพอดู
ซึ่งนั่นเป็นผลเสียมากกว่าผลดี สำหรับตัวฉัน ดีที่ภายนอกทั่วไปฉันไม่ให้มีอะไรเกินเลยจากสิ่งที่สังคมกำหนดไว้ ...
ไม่เช่นนั้นป่านนี้ ฉันคงเดินทางไปเป็นภรรยาน้อยของใครๆก็ไม่ทราบได้ ล่อแหลมจริงๆ ตอนนั้นฉันยังไม่คิดถึงเรื่อง
มาเนียเลย เพราะมาเนีย (MANIA) ก็เป็นโรคที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางเพศที่มากมายได้เช่นกัน
แต่เมื่อเริ่มเชื่อ
กับสิ่งที่คิด ฉันก็ชักสนุกกับความรู้ใหม่ และนึกสงสัยว่าเขาใช้เวลาอย่างไร จัดสรรการงานอย่างไร.แต่เหนือสิ่งอื่นใด
ผู้ชายทุกคนที่ฉันเคยรักมาในอดีต ล้วนแล้วแต่เป็นจิตวิญญาณดวงเดียวกันทั้งสิ้น หมายถึงมีอัตตาที่แท้จริงอันเดียวกัน
นั่นหมายถึงมีความต่อเนื่องของความรักมาตลอดกับชายผู้เดียวเท่านั้นในชีวิตของฉัน และการที่เขามีแฟน แต่งงาน
ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำเท่านั้น วิญญาณของคู่รักที่แท้จริงของฉัน คอยฉันอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีหญิงอื่นในดวงใจของเขา
อย่างเด็ดขาด ฉันเพ้อเจ้อได้โรแมนติคมาก แต่เป็นอันตรายต่อชื่อเสียงยิ่งนัก ดีที่ฉันยังมีสติอยู่บ้างในเรื่องนี้ ...     

     ฉันจึงหลีกเลี่ยงโดยการแต่งผู้หญิงคนละบุคลิกไปให้เขาแต่ละคน(ที่มีวิญญาณเดียวกัน)ดู กลายเป็นว่าทำท่าจะเป็น
โรคฮิสทีเรีย ซึ่งหมายถึงผู้มีบุคลิกแตกแยกไปอีกจนไดแต่คิดดูก็สนุกดี เพราะฉันแก้ตัวได้ ว่า ไม่ใช่ฉันตัวจริงเล่นแบบนี้
ฉันเริ่มรู้ว่าความรักครั้งละหลายๆคนเป็นอย่างไร..เพราะเดิมมาก็เป็นคนรักเดียวใจเดียวมาโดยตลอด ทำให้เจ็บช้ำมาก
ฉันเริ่มมีสัญญาณพิเศษที่บอกเขาเช่นเดียวกันว่า ฉันก็รักเขาเหมือนเดิม  เหมือนที่เคยรักมา โดยเฉพาะกับสัญญาณตรง
ที่เป็นเพื่อนชายที่ขอนแก่นและกุมารแพทย์รุ่นพี่คนนั้น เป็นคนที่ฉันโปรดปรานเป็นพิเศษ ยังกับเจ้าจอมคนโปรด อย่างนั้น
จึงช่วยไม่ได้ที่ฉันจะคิดถึงการที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนในสมัยโบราณขึ้นมา สมัยนี้สิทธิสตรีอาจจะเริ่มต้นที่นี่ก็ได้ ใครจะรู้
แต่ความรักของเรานั้น เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับโลกมนุษย์ที่จะมีอะไรต่อกันจริงๆขนาดแต่งงานกันได้ในความคิดของฉัน…
เพราะในสภาวะนี้เขามีภริยาแล้วและมีลูกติดจากภริยาเก่าเป็นลูกสาว 1 คน ซึ่งส่วนนี้ฉันไม่ทราบว่าเขาทำเช่นนี้ไปทำไม
ราวกับแสดงละครน้ำเน่าที่ฉันเคยดูมาในโทรทัศน์…เมื่อเขาพาภริยามาพบ..ฉันรู้สึกตกใจและเสียใจ ไม่น่าเชื่อจริงๆเลย
เพราะไม่เคยคิดว่าเขาจะมีเจ้าของ ฉันได้รับรู้รสชาติของความเสียใจแบบในนิยายทันที..แต่ก็ควบคุมสติไว้ได้แบบมืออาชีพ
เจรจาตามปกติกับเขา…แต่ต่อมาการให้ความสนิทสนมกับเขาก็เป็นไปตามที่ควรจะทำในฐานะคนทำงานเท่านั้น…
ฉันไม่ปล่อยใจให้รักเขามากเท่าที่เคยเป็นอีกต่อไป แต่ก็ไปทำผมกับเขาเป็นประจำสม่ำเสมอ (จนหนังศีรษะยับเยินมีรังแค)
และเรียนรู้เขาอีกด้านหนึ่ง…ซึ่งเป็นอุดมคติของเขา..ในแง่มุมที่ฉันไม่เคยทราบมาก่อน...
เช่นทัศนคติต่อครอบครัว สังคม
และด้านอื่นๆซึ่งมีความเฉลียวฉลาดไม่น้อยแม้เขาจะบอกว่าจบเพียงมัธยมปลายเท่านั้นเอง….ฝีมือในการทำผมของเขา
จัดเป็นมืออาชีพที่เก่งมากคนหนึ่ง…ซึ่งฉันก็นึกทึ่งว่าเขาเอาเวลาไหนไปเรียนเรื่องพวกนี้……บางครั้งฉันคิดว่า…
เรื่องนี้คงมีแต่พระคุณเจ้าที่เป็นอริยเจ้าเท่านั้นกระมังที่จะทราบเรื่องพวกนี้ดี และอาจจะเป็นผู้ทำให้ก็ได้
เขาเป็นคนรักธรรมชาติและชอบอ่านวรรณคดี เรื่อง รามเกียรติ์ ฉันเห็นเขาชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นอีกด้วย
ความหน้าตาดีของเขามีส่วนทำให้ฉันชื่นชมเช่นเดียวกับผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ…..ฉันคบค้ากับเขาอยู่เกือบ 2 ปี
เขาจึงลาออกจากร้านไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนเขาไปฉันคิดว่าเขาเปลี่ยนแปลงเป็นหนุ่มพังค์และมีชีวิตคนกลางคืน
ติดแน่นเสียแล้ว ย้อมผมเป็นสีแดง ใส่ตุ้มหูและแต่งกายอย่างกะรุ่งกะริ่ง ซึ่งดูๆแล้วมันก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด
แต่ไม่ใช่สไตล์ที่ฉันพึงพอใจเป็นแน่…ฉันได้รู้ว่า…ความรักของฉันกับเขาในโลกนี้เป็นไปไม่ได้ซึ่งเป็นไปไม่ได้จริงๆด้วย
แต่การที่ปล่อยใจให้มีความสัมพันธ์เข้าขั้นรักแท้ ทำประโยชน์อะไรในอนาคตฉันก็ไม่ทราบได้…
ในเกมชีวิตพวกนี้…
ฉันยอมทำตามคำสั่งของเขาและเพื่อนธรรมทั้งหลายแต่โดยดีเพราะไม่มีปัญญาจะรู้เห็นอะไรได้มากกว่านั้น…
ภายหลังเขาก็หย่ากับภริยาและมีภริยาคนใหม่ เป็นเด็กพานิชยรูปร่างเล็กๆ หน้าตาดีทีเดียวและเขาก็ยัง ยกมือไหว้ฉัน
เช่นเดียวกับที่พึงกระทำต่อพี่หมอเช่นเคย…เมื่อเขาย้ายไปกรุงเทพฯฉันก็รู้สึกอกหักรักสลายแบบเบื่อๆอีกครั้ง
แต่ตอนนั้นเริ่มชินกับสิ่งเหล่านี้แล้ว..จึงไม่กระทบกระเทือนจิตใจนัก…ฉันเริ่มเฉยๆกับเรื่องความรักในแบบดั้งเดิม…
และปรับเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ในสภาพแวดล้อมชนิดใหม่ให้ผ่านชีวิตไปได้….(และสิ่งเหล่านี้มีส่วนทำให้ฉันไม่เหงามากนัก
ที่เพื่อนชายของฉันจากไปเรียนต่อ) แต่ฉันก็ยังหวังอยู่ว่า สักวันหนึ่งคงได้พบกับเขาอีกครั้งหนึ่ง…และเฝ้าสงสัยอยู่ไม่วาย
ว่าเขาเดินเข้ามาในชีวิตฉันเพื่ออะไรกัน…คำถามที่ปราศจากคำตอบเหล่านี้ ฉันได้รับคำตอบเมื่อเขากลับมาอุดรอีกครั้ง
มีสิ่งที่เสมือนสิ่งที่ยังคงค้างคาใจตลอดมา แต่ที่เชื่อได้คือ..ฉันไม่ร่วมมือในการทำผิดศีลข้อ 3 อย่างแน่นอน
ปัจจุบัน เขาไม่ใช่คนรักของฉันเสียแล้ว เขากลายเป็นช่างทำผมตัวจริง ที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับฉัน(เป็นคนอื่น)
ความเหี้ยมทำให้ฉันยังไปทำผมกับคนคนนี้เป็นประจำ อาจจะเป็นเพราะฉันกินยาจึงหายแล้วก็ได้ เลยไม่รู้สึกอะไรเลย
และในเมื่อเขาทำทรงผมให้ฉันได้สวย การที่เขาเป็นโคลนนิ่งของคนรักของฉันก็ไม่น่าแปลกอะไร(ไม่มีวิญญาณAอีกแล้ว)
คิดเสียว่าเหมือนฝาแฝด ก็เท่านั้นเอง...(ฉันมีแววเป็นนักประพันธ์แล้วกระมัง อีกไม่นานคงเขียนเรื่องขายได้)

     หลังจากนั้น ก็มีชายหนุ่มทั้งโสดและไม่โสด เดินเข้ามาในชีวิตของฉันเป็นว่าเล่น แต่ก็มาทีละคน ฉันคงเล่าให้ฟังได้
ไม่หมดแต่จะแต่งนิยายชีวิตให้พอจะเข้าใจอาการของโรคหลงผิดแบบที่มีความรักเข้ามาปะปนในลักษณะที่คนไข้จิตเวช
มักเป็นกันบ่อยๆที่ฉันเคยเรียนรู้มาตั้งแต่เรียนแพทย์และหลังจากจบไปทำงานการที่ผู้หญิงที่เป็นโรคจิตและมีอาการหลงใหล
เพศตรงข้ามมีเยอะแยะ มีคนหนึ่งที่ฉันพบที่อ.บ้านดุง เป็นคนไข้ขาประจำของฉัน ชื่อน.ส.จ่อย อายุประมาณ 40 ปี
มีอาการหลงผิดว่ามีชายมาหลงรัก และเก็บรูปผู้ชายทุกคนที่เธอพอใจ เอามาอวดฉันบ่อยๆ ว่านี่แฟนหนูนะ บางคน
ก็เป็นถึงพระเอกลิเก และรายล่าสุดคือส.ส.ประชาธิปัตย์ประจำอ.บ้านดุง ซึ่งเป็นหนุ่มโสดเนื้อหอม ทั้งๆที่ยายจ่อยผู้นี้
มีรูปร่างหน้าตาผอมมากและดูทรุดโทรมเหมือนชาวไร่ชาวนาทั่วๆไป แต่แกก็เล่าเป็นตุเป็นตะว่า เขามาหลงรักแกทั้งนั้น
ทำให้ฉันอดยิ้มๆไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำลายความฝันของแกแต่อย่างใด ไม่ยักทราบว่า ในกาลต่อมาจะได้พบเจอกับตนเอง

     ต่อมาเป็นทันตแพทย์หนุ่มโสด ซึ่งเป็นทันตแพทย์ประจำตัวฉันเช่นกัน เขาหน้าตาดีและร่ำรวย มีทุกอย่าง
ครบถ้วนทั้งยังอายุมากกว่าฉันน่าเสียดายที่การคบกันของเราเป็นเรื่องระหว่างแพทย์กับคนไข้เท่านั้นเมื่อฉันไป
พบกับเขาและนอนอยู่บนเก้าอี้ทำฟันเท่ากับฉันฝากชีวิตไว้ในมือเขาแล้วและเขามักหยอกเย้าฉันด้วยโทรจิตที่เป็น
เสียงของเพื่อนชายฉัน ในความใกล้ชิดนั้น บางครั้งมีความอึดอัดอยู่บ้าง เพราะมีไอร้อนผ่าวที่ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร
เกิดขึ้นฉันรู้สึกไม่สบายนักแต่บางครั้งก็เย็นๆดีเหมือนกัน…เขาสัมผัสใบหน้าและริมฝีปากฉันอย่างคุ้นเคย..
แต่ฉันก็ขบขันมากกว่าจะรู้สึกวาบหวาม เพราะเขาทำเหมือนแหย่ฉันเล่นๆมากกว่า เขาทำท่าเป็นเจ้าของเก่งมาก
อันที่จริง
ฉันก็ยังคงความบริสุทธิ์ของพรหมจารีย์อยู่ดี……เช่นเดียวกับเขากระมัง…ดูๆก็น่ารักไปอีกแบบ..
(ถ้าฉันไม่ต้องเป็นผู้แสดงเอง)….จนบัดนี้ฉันก็ยังคงเป็นคนไข้ประจำของเขาที่พบกับเขานานๆครั้งถ้ามีความจำเป็น
ต่อสุขภาพในบรรดาแฟนต่างๆที่ทยอยเข้ามาในชีวิตฉันอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เพื่อนชายจากไปนั้น…เขาเป็นคนที่อยู่ห่าง
จากฉันมากที่สุด….ส่วนความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขา..อย่างแรกก็คือ งานที่เขาทำนั้น ฉันมีความไว้วางใจในความสามารถ
ต่อมาฉันก็รู้สึกถึงความศรัทธาและรักแท้ที่ทำให้ฉันยิ้มหวานสนิทกับเขาได้ราวกับเขาเป็นหนุ่มใหญ่ในขณะที่ฉันยังเป็น
สาวเด็ก(แก่)คนหนึ่งและฉันเคารพนับถือเขาชอบฟังเสียงไพเราะและการแสดงความเป็นเจ้าของที่มีต่อฉันและฉันนำ
ของขวัญสวยๆไปให้เขาอยู่เสมอ…ซึ่งเขาก็ว่า น่ารักดี..แบบผู้ใหญ่พูด
หน้าตาเขาหล่อเหลาและคมเข้มทีเดียวในบางที
น้องสาวของฉันก็เป็นขาประจำเช่นกันยัง
ยอมรับว่าเขาเป็นหมอที่หล่อมากคนหนึ่ง…มากพอที่ฉันจะยกให้เป็นพระเอก
ประเภทน้ำนิ่งไหลลึกในนวนิยายโรแมนติคได้อย่างสบายๆ และฉันก็ยังงงอยู่ว่า ความรักแท้ที่มีต่อกันในช่วงเวลาสั้นๆ
เหล่านี้ จะมีความหมายอย่างไรในอนาคต  อีกตามเคย ที่ปัจจุบันคนรักวิญญาณที่แท้จริงของเนื้อคู่ของฉันนั้นดูจะหมดงาน
เลิกแปลงกายเป็นทันตแพทย์ท่านนี้เสียแล้ว กลับเป็นตัวจริงที่ศีรษะล้านเล็กน้อย และไม่มีเสน่หาอาลัยใดๆ เขามีท่าที
หน้าตาแบบรุ่นพี่ของฉันเท่านั้น ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่แฟนของฉันแต่เป็นโคลนนิ่งอีกตามเคย(น่าสนุกดีนะเรื่องโคลนนิ่งนี่)
ฉันให้ความเคารพแก่ตัวจริงของเขาเช่นเดียวกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ และไปทำฟันกับท่านผู้นี้เป็นขาประจำตามปกติธรรมดา
     

     ในที่สุดปี2541 ก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเล เพราะฉันมีปัญหาการเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเป็นหนี้เป็นสิน
(พ่อแม่) แสดงอาการระงับความอยากได้ไม่ได้เลย และใช้จ่ายแปลกๆแบบไม่ค่อยประมาณตน ผิดกับนิสัย
เดิม
ที่จะเลือกของที่ชอบเเป็นบางชิ้น แต่นี่ฉันเหมาเป็นชุดเลย และรู้สึกว่าสวยงามทั้งนั้น อยากได้มาก และ
คิดว่าเป็นงานที่สำคัญเพราะอันที่จริงมีความสุขมากกับการซื้อ แต่ยังไม่เท่าความรู้สึกที่ว่า ฉันกำลังสละทรัพย์
เพื่อประเทศชาติ มีบางครั้งที่ฉันคิดว่าชีวิตคงอยู่ยั้งยืนยงได้ไม่นาน มีห่วงก็แต่งของกระจุกกระจิกต่างๆนานา
พวกนี้ ที่ฉันจะมอบถวายให้กับสำนักราชเลขาธิการ เพราะฉันทำหน้าที่เสมอข้าราชการที่ดูแลทรัพย์ของแผ่นดิน
เป็นGrandeur  delusionที่ไม่หายขาดเสียทีการเงินของฉันทำให้หมดเครดิตไปมากทีเดียวฉันได้แต่อดทน
แต่เริ่มก้าวร้าวกรี๊ดกร๊าดมากขึ้น ทะเลาะกับคุณแม่เป็นประจำ
จนคุณพ่อต้องห้ามไว้ ท่านจึงเข้าใจเพราะฉันเป็น
คนไข้ นั่นเอง ในที่สุดก็ผ่านปีแห่งการทำงานหนักไปได้ ฉันต้องไปหาอาจารย์อีกครั้ง และอาจารย์วินิจฉัยว่าเป็น
  BIPOLAR DISORDER ซึ่งเป็นโรคมาเนียสลับกับซึมเศร้า อาจารย์เชื่อว่า อีกไม่นานอารมณ์ฉันจะแกว่งกลับ
ไปที่ด้านซึมเศร้า คราวนี้เป็นอันไม่ต้องใช้จ่ายเลย เพราะไร้อารมณ์อาจารย์เก่งจริงๆที่เหตุการณ์เป็นไปดังที่คาดไว้
ในเวลาต่อมา
...หลังจากนี้อีกประมาณเป็นปีเช่นกัน...ฉันเปลี่ยนมากินยาโรคจิตโดยตรงและยากันชักที่สงบอารมณ์ได้

 

 

 


พ.ศ.2542

      ในปีนี้ ฉันทำงานได้มากขึ้น แต่เป็นงานออกตรวจที่เทศบาลนครอุดรธานีเป็นหลัก ตอนบ่ายก็ทำงาน
ที่เวชกรรมสังคม อ่านตำราและทำงานอดิเรก สรุปผลงานของตนเอง  ช่วงนี้ ฉันทำงานที่ทำให้เกิดอุดมคติ
อย่างมาก และเป็นความภาคภูมิใจที่เคยทำงานมาในอดีตร่วมด้วย จนฉันซาบซึ้งกับคำสอนต่างๆของพระราช
บิดา และเพลงใต้ต้นศรีตรัง ของมหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งเพลงที่แสดงถึงการอุทิศตนและเสียสละต่างๆของ
ทหาร เวลาที่ข้าพเจ้าฟังเพลงเหล่านี้ จะเกิดอาการปิติปลาบปลื้มและน้ำตาคลอ คล้ายนึกถึงวีรกรรมของตนใน
อดีต ซึ่งฉันรู้สึกถึงควมละเอียดอ่อนที่เพิมขึ้นในจิตใจ เกิดความรักสถาบันที่เรียนมา เพื่อนๆที่เคยร่วมเรียนกัน
มา และสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมทั้งคำนึงถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวและเครือญาติ
อย่างลึกซึ้งขึ้นอย่างมาก เป็นช่วงของความเรืองโรจน์และรวบรวมผลงานในอดีตของฉัน


                                                                      

ใต้ต้นศรีตรัง

ใต้ต้นศรีตรัง ยังจำฝังใจ

ร่วมก้าวรุดไปสู่ความฝันใฝ่รวีร้อนแรง

เลือดมหิดลข้นสร้างวีรชนแกร่ง

กากบาทแดงแรงศรัทธาฝ่าภัยพาล

เทอดอุดมการณ์ในใจทุกคน

อุทิศพลีตนเพื่อชีวิตใหม่ไม่แปรผันคืน

หยัดยืนทนงกล้าทายท้าปลุกไทยตื่น

สู้เพื่อพลิกฟื้นอุดมการณ์อันเกรียงไกร

ขอพลีตน
ก้าวสู่แห่งหนเพื่อสร้างโลกนี้สดใส

รีบมาเร็วไวฝ่าฟันผองภัย

สร้างสรรค์ไทยใหม่ให้เริงฤดี

อาบแสงรวีงามดอกศรีตรัง

เร่งรวมพลังรับใช้ประชากู้สิทธิ์เสรี

เพื่อมวลมนุษยชาติดอกไม้จากใจพลี

เพื่อเกียรติศักดิ์ศรี คุณธรรม จรรยาบรรณ


และมีกลอนไพเราะที่คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขียนไว้ให้พวกนักศึกษาแพทย์  ที่ฉันเคยจดเอาไว้


ดำริพระบิดาดำรัสมาดั่งคำขวัญ

ศึกษาที่สำคัญมิใช่อยู่ที่รู้ล้น

หากอยู่ที่รู้ใช้นำรู้ไปให้เกิดผล

ประโยชน์แก่ผู้คนและสังคมอันสมควร

                       
และ

ฉันใช่สอนให้เห็นเธอเป็นหมอสำคัญตน

แต่เธอต้องเป็นคน คือดำรัสที่ทรงเตือน

วิชาความสามารถความรู้อาจไม่คลาดเคลื่อน

สิ่งหนึ่งซึ่งอาจเลือนคือมนุษยธรรมและน้ำใจ

ฉะนี้เธอจงตระหนักประจักษ์ค่าแห่งคำไข

เป็นคนคือเป็นใครใช่เป็นหมอแต่พอตัว

ควรเธอต้องเข้มแข็งและแข็งแกร่งไม่ขลาดกลัว

โพยภัยที่พันพัวกล้าเผชิญดำเนินนำ

เหตุผลและปัญญากับหน้าที่ที่เป็นธรรม

จงเจตน์จำนงค์นำ จะรับใช้ประชาชน

 






                      


 

      ความรักครั้งต่อมา เป็นความรักที่กินเวลายาวนานและประทับใจด้วยความเข้มข้นสูง ระหว่างฉันกับด็อคเตอร์
ทางด้านสังคมศาสตร์เป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ได้พบกันด้วยเหตุที่เขามีอาการทางจิตเวชและฉันอยู่ใน
สภาวะของแพทย์ประจำครอบครัว เพราะรู้จักกับนายตำรวจใหญ่ประจำอำเภอบ้านดุง ที่เป็นพี่ชายของเขาและคุณนาย
เป็นอย่างดี เขาเกรงกันว่า น้องชายจะถูกไล่ออก จึงพยายามหาหนทางรักษา เท่าที่จะทำได้ จะเห็นว่า หลังจากที่ฉัน
รู้เรื่องวิญญาณ A แล้ว ฉันจะรับสัญญาณคลื่นความถี่ของความรักได้ง่ายขึ้นมาก ไม่ได้ซื่อสัตย์ใดๆต่อใครทั้งสิ้น ก็ดี...

     ด้วยความเกรงใจท่านผู้ใหญ่และความสงสารเห็นใจคนไข้ฉันจึงรับทำงานเพื่อช่วยเขา  แรกพบเขาก็ทำให้ฉันทึ่ง
ในความรู้อันแตกฉานหลายด้านและคำพูดที่ไพเราะที่สุดอ่อนโยนในน้ำเสียงแม้จะแฝงความเด็ดเดี่ยวแต่ก็เป็นผู้ชายที่
มีเสน่ห์มากแม้จะไม่ใช่คนรูปงาม…ฉันรู้ในเวลาต่อมาว่า เขาเก่งมากระดับอัจฉริยะ แต่มีปัญหาเกี่ยวกับการคบค้าสมาคม
กับผู้อื่นเขาชอบคนดีบังเอิญที่หน่วยงานของเขานั้นเขาบอกว่ามีแต่เรื่องหมกเม็ดที่เขาไม่พอใจจึงไม่ยอมทำงานเอาดื้อๆ
อาการเขาหนักถึงขั้นก้าวร้าวและไม่ยอมกินอาหาร แต่พูดจารู้เรื่องดีอยู่ ฉันอาศัยความเป็นเพื่อนและความถูกชะตากัน
ดึงให้เขาไปพบกับอาจารย์จิต-แพทย์ของฉัน..แต่อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะโรคนี้ คือโรคหวาดระแวง (PARANOID)
เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่ต้องกินยาจึงจะหาย..ฉันจึงต้องเป็นแพทย์ของเขาไปโดยปริยาย…และคิดค้นหาทางรักษาเอง

     ด้วยวิธีการเป็นเพื่อนกับเขา และชักนำให้เขามีความสดชื่นในชีวิตเท่าที่จะทำได้เขามองดูฉันว่าเป็นคนดีและบริสุทธิ์ เขาให้เกียรติฉันและเป็นเพื่อนฉันไปในที่ต่างๆเราไปเที่ยวด้วยกันหลายที่โดยมีพี่ชายและพี่สะใภ้เป็นสปอนเซอร์พาไป
ในบางครั้งก็ไปกันตามลำพัง..เขาสุภาพมาก..และได้แสดงทัศนคติต่อสิ่งต่างๆโดยไม่ปิดบังฉันได้ฝึกสมองลองปัญญากับ
เขาจนรู้ว่าเขาฉลาดเพียงใดและเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญหลายด้านเข้าขั้นอัจฉริยะซึ่งในชีวิตนี้ฉันได้พบเพียงคนเดียว
เท่านั้น….เขาสอนภาษาญี่ปุ่นให้ฉันเพราะเขาไปทำปริญญาเอกอยู่ที่ญี่ปุ่นถึง5ปี..มีแนวโน้มที่จะชอบสาวญี่ปุ่นอายุน้อยน่ารัก
และเป็นแม่บ้านที่ดี..เขาอายุแก่กว่าฉัน4ปีและเคยแต่งงานมาแล้วแต่ก็หย่าร้างกันไปแล้ว..เพราะทัศนคติไม่ตรงกัน…..
นอกจากความคิดระแวงไม่ชอบการทำงานแล้วเขาก็ดูปกกติดี เขาเขียนหนังสือไว้ 4 ภาษาเกี่ยวกับศาสนาในลักษณะการ
แปลซึ่งเป็นงานที่ทำให้ญาติพี่น้องกลุ้มใจและว่าเขาหลุดโลกไปแล้ว…ญาติของเขาแอบเอายาใส่กาแฟให้เขาดื่มเพราะเขา
ไม่ยอมกินยาและเวลาโกรธเขาจะหุนหันพลันแล่นแต่ไม่ได้ทำร้ายใคร…ฉันระมัดระวังตัว..แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าไม่รักเขาเสียเลย
อันที่จริงเขาเป็นชายในฝันก็ว่าได้…ฉันเกือบจะคิดตกลงแต่งงานกับเขาแล้ว..เพราะความพอใจในความอ่อนโยนสุภาพเฉลียว
ฉลาดและมีสิ่งที่ตรงกันหลายอย่าง รวมทั้งเป็นผู้ที่ฉันยอมรับในความสามารถ แต่เขาก็ไม่ได้ต่อความสัมพันธ์เหล่านั้นต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานนักเขาก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจในสภาพเดิม..ที่เป็นโรคจิตอยู่….แต่ฉันก็ไม่สามารถ
ช่วยอะไรเขามากกว่านั้น นับจากปี 2543 เป็นต้นมาฉันก็ไม่ทราบข่าวเขาอีกเลย...น่าเสียดายความรู้ความสามารถของเขา
เพราะเขาไม่ยอมสอนนักศึกษา ได้แต่นั่งทำงานวิจัย และถือความเป็นส่วนตัวมาก ทำงานเฉพาะด้านหนังสือเท่านั้น ฉันก็ช่วย
ให้เขาและเพื่อนร่วมงานหายอึดอัดใจได้บ้าง กับการดำเนินชีวิตแบบนี้ในระบบ โดยคำรับรองแพทย์ที่ส่งให้แก่ผู้บังคับบัญชา
ว่าเขามีแนวโน้มที่จะหายได้ แต่ต้องอาศัยเวลา เป็นคำพูดกลางๆเช่นนี้...

 

 


 

     คนต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รูปหล่อมาก ผิวขาว คิ้วเข้ม ตาโตคมกริบและมีแววอารมณ์ดีไม่มีขีดจำกัด
 สูงโปร่ง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานในฝ่ายของฉันเอง…ฉันรู้เมื่อเขาเดินเข้ามาดูกล้องถ่ายรูปของฉันในเช้าวันหนึ่งขณะที่
เตรียมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่กลุ่มงานเวชกรรมสังคมเขาใช้โทรจิตด้วยเสียงเพื่อนชายของฉัน..ฉันตกใจมาก..
แต่ก็พยายามตั้งสติไว้ เพราะเขามีบุคลิกแห่งบุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีท่าทีเป็นนายแพทย์ แต่เมื่อฉันรู้
ก็เริ่มให้ความสนใจเขามากขึ้นเป็นพิเศษกว่าคนอื่น..ฉันมีความสุขมากขึ้นกับการทำงาน และเขามักจะยิ้มใส่ตาฉัน
เสมอๆ ตามประสาคนที่มีแฟนอยู่ในสถานที่นั้น….แต่ในความเป็นจริงคือ เขาแต่งงานแล้วกับพยาบาลสาวสวย มีลูก2คน
ผู้ชายคนนี้ทำให้ฉันสับสนและเจ็บปวด ราวกับฉันเป็นผู้มาทีหลังที่มาตกหลุมรักคนที่มีภริยาแล้ว (ราวกับนวนิยายชั้นดีของ
ม.มธุการี)…จนฉันแอบฉงนใจว่าหรือนี่จะเป็นวัตถุดิบรวมทั้งเป็นวัสดุฝึกสำหรับนักประพันธ์ในอนาคตเสียแล้วกระมัง…
ภายนอกกิริยาท่าทางของเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่มีนิสัยร่าเริงแกมตลกคนหนึ่ง ซึ่งมีอุบายคลายเครียดอยู่เสมอน่ารักดี
แต่เป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงานมากทีเดียว..เมื่ออยู่ตามลำพังในบางครั้งเขาจะพูดด้วยเสียงของผู้ชายที่เป็นเพื่อน-
ชายของฉันที่อยู่ที่อ.บ้านดุงคนนั้น..มีการบอกกล่าวและช่วยปลอบใจกับงานทางโลก ซึ่งเริ่มหนักหนากับฉันขึ้นทุกวันๆ...
จนฉันเริ่มเป็นโรคประสาทเข้าจริงๆ เพราะฉันไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรอยู่ และมีความกดดันจากความรักที่เปิดเผยไม่ได้
ฉันเกลียดการแสดงละครพวกนี้เหลือเกินแล้ว แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าฉันมีสุขภาพจิตไม่สมบูรณ์ หรือหลงผิดอยู่ดี
ฉันเคยไปประชุมกับเขาที่กรุงเทพฯและนัดเขาไปดื่มค็อคเทล ฟังเพลงที่โรงแรมแห่งนั้น เขาชอบเพลงหวานๆเย็นๆ
แฝงด้วยปรัชญาชีวิตมีลักษณะอุดมคติเต็มตัวเชียวล่ะฉันมองออกไปข้างนอกและรู้สึกว่างานที่ต้องยุ่งกับผู้ชายที่มีครอบครัว
แล้วจะออกมาในลักษณะใด ฉันถอนใจเฮือก และตัดสินใจให้ร่างกายแนบชิดกับเขาฉันคู่รัก ลองดู เขาไม่ยักว่าอะไรเลย
ในสัมผัสนั้นไม่มีอะไรแตกต่างจากเพื่อนชายคนนั้นของฉัน หลังจากนั้น เราก็ไปดูงานที่ภาคใต้ด้วยกันเป็นคณะ 14 คน
เขาเป็นผู้จัดการให้เราได้ไปเที่ยวถึงเกาะสมุย ที่นั่นฉันแสดงอาการทางประสาทหลายอย่าง เพราะขาดเงินด้วย…ฉันหลุดโลก
ไปมากเพราะเกิดความน้อยใจในชีวิตของตนเองจนถึงกับน้ำตาตกแต่ในที่สุดก็ไปปลงตกที่พุทธมณฑลจ.นครปฐม…
และปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นไปตามเรื่องตามราว..ฉันเริ่มหมดอาลัยตายอยาก...เพราะจริงๆเขาไม่ใช่คนที่ฉันจะรัก
ได้เลยในความเป็นจริง คือไม่เคยคิดบ้าๆแบบนี้กับตัวจริงของเขา ทำให้ฉันยังคงศีลไม่ขาด ทำเป็นเล่นไป เรื่องนี้ฉันถือมาก
โดยเฉพาะมีสังคมมาร่วมด้วยเพราะเขาช่างมีอะไรๆผิดไปจากที่ฉันเก็งไว้โดยสิ้นเชิง..ฉันคบหาเขาฉันเพื่อนร่วมงานต่อมา..
โดยมีบาดแผลร้าวลึกขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้เขาคงจะคืนร่างให้กับเจ้าของจริง ซึ่งถือเป็นเสมือนคนอื่น คือไม่มีวิญญาณAอีกต่อไป
ซึ่งสำหรับเพื่อนร่วมงานจริงๆที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลยคนปัจจุบันนี้ ฉันก็คบหาสมาคมแบบเพื่อนร่วมงานทั่วไปนั่นเอง
มีลักษณะบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้ว่า ไม่ใช่เขา..แต่เมื่อดูรูปร่างหน้าตา ฉันก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ก็ราวกับโคลนนิ่งอีกตามเคย
และยังคงสงสัยอยู่ไม่วายว่าเขาทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน และดูร่วมมือกันทั้งทีม ราวกับไม่ใส่ใจกับอารมณ์ ความรู้สึก
และหัวจิตหัวใจของฉันแม้แต่น้อย..นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันเหินห่างจากงานเวชกรรมสังคมและเกิดคลางแคลงใจ
ในสัมพันธภาพอันเคยใกล้ชิดสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวพวกนั้นเพราะความไม่โปร่งใสซึ่งเกิดขึ้นโดยเพื่อนร่วมทีมงาน
ที่ฉันเคยรักและไว้วางใจที่สุด…ฉันจึงไม่ได้เข้าไปในฝ่ายอย่างคนทำงานในนั้นอีกต่อไป……ฉันมีอาการที่หนักไม่น้อยเลย...

 

 

 


 

     ต่อมาปลายๆปีฉันก็ได้คบหาสมาคมกับศิลปินหนุ่มผมยาวนิสัยน่ารักและเป็นผู้ใหญ่ชนิดขี้อ้อนคนหนึ่งเข้าที่ห้าง
สรรพสินค้าชื่อดังแห่งนั้นนั่นเอง เขาทำธุรกิจปั้นขนมปังตุ๊กตา ฉันสะดุดใจในสีสันอันสวยงามและเป็นลูกค้าขาประจำ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็บอกฉัน..บางทีฉันก็นึกประหลาดใจที่ตัวเองสามารถปล่อยใจไปได้ถึงเพียงนั้นคงเป็นเพราะ
ความอบอุ่นลึกซึ้งและศรัทธาที่มั่นคงต่อความรักทำให้ฉันยอมตกระกำลำบากทั้งที่มีความขัดแย้งในจิตใจตลอดเวลา…
เขาจบปวส.และมีภรรยากับลูกสาว1คนเขาค่อนข้างเพ้อฝันและอยากจะหย่าแต่ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สภาวะแล้วว่าฉันควรจะ
ทำอย่างไรในโลกมนุษย์นี้ฉันเลือกทำทางที่ดี…โดยการพยายามประคับประคองครอบครัวของเขานี่เป็นสถานที่ฝึกงาน
เวชศาสตร์ครอบครัวในรูปแบบที่ฉันคิดไว้จริงๆถึงอย่างไรเขาก็ทำให้ฉันมีงานทำโดยการเปิดสอนเด็กให้ปั้นขนมปัง
ในวันเสาร์-อาทิตย์ แม้จะกำไรไม่มาก แต่ฉันก็ได้ใช้ความรู้ด้านจิตเวชเด็กที่นี่เอง

     เขาปรารภกับฉันบ่อยๆเรื่องความจน และฉันก็ถือเป็นหน้าที่ที่จะคอยช่วยเหลือให้กำลังใจเขา ไม่รู้ทำไมคิดแบบนั้น
ฉันไปขลุกอยู่ที่นั่นโดยใช้เวลาไม่น้อยเลย และเริ่มสนิทสนมกับเขาและบรรดาเพื่อนๆของเขาไปด้วย เป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งดีกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีกมีระดับทีเดียวแต่ฉันก็เริ่มรู้จักความฉาบฉวยในการคบหาสมาคมแบบนี้ที่เวลาพบกันก็หวานกันให้
เต็มที่เท่าที่จะทำได้ในขอบเขตอันจำกัด แต่เมื่อเดินจากมาก็ต้องพร้อมที่จะลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ
ไว้ให้ตัวเองเจ็บช้ำ….ฉันเล่นละครชีวิตไปตามบทที่ยอมรับกันได้ในโลกมนุษย์โดยการเป็นเพื่อนของครอบครัวและให้การ
อุปการะเขาเช่นที่หมอคนหนึ่งจะทำได้ไม่ว่าจะเป็นการตรวจไข้หวัดของลูกสาวหางานฝีมือให้ภรรยาเขาทำและให้การสนับสนุน
ด้านเงินทองพร้อมให้คำปรึกษาแนะนำอย่างจริงจังและจริงใจ เช่นที่เพื่อนพึงกระทำให้กัน……

     ฉันเห็นเขาอึดอัดในบางครั้ง และบางทีถึงกับบอกว่าทุเรศจริงเลยเนาะ..ฉันก็ได้แต่ยิ้มและปลอบใจเขาให้อดทนต่อไป
เพราะตอนนี้ฉันไม่ค่อยสนใจอะไรมากนักนอกจากงานจริงด้านอาชีพและงานอดิเรกซึ่งฉันย่อมเข้าใจและคุ้นเคยมากกว่า
เกมชีวิตพวกนี้…ฉันเริ่มรู้ว่าความเบื่อหน่ายและจางคลายเป็นอย่างไร แต่ฉันก็เก็บเกี่ยวความหวานชื่นในชีวิตไว้ในช่วงเวลา
เหล่านั้น แม้ขณะนี้ ฉันก็ยังคงระลึกได้ถึงแววตาเป็นประกายระยิบระยับของหนุ่มช่างฝันที่มีความรักแบบผู้ใหญ่แล้วได้อยู่
แต่จริงๆแล้วฉันก็ไม่เคยให้ใครเข้าใกล้หัวใจจนเกิดความเจ็บปวดอีกต่อไปเป็นการป้องกันตัวเองที่เกิดการเรียนรู้ขึ้นเอง
จากการปฏิบัติจริงเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่อาจลืมได้อย่างน้อยฉันก็ได้รู้จักสังคมของคนอีกชนชั้นหนึ่งซึ่งล้วนแล้วแต่คนมี
การศึกษาและเงินทองมาแปลงร่างแอบแฝงอยู่เพื่อกระทำกรรมบางอย่าง…นี่คงเป็นสาเหตุที่ผู้ใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า คนเรานั้น
อย่าดูถูกคนที่ชนชั้น ให้ดูที่ใจ..ดีที่ฉันจดจำสิ่งเหล่านี้มาใช้โดยตลอด จึงไม่รู้สึกแปลกแยกแต่อย่างใด

     ในที่สุดเมื่อวันขึ้นปีใหม่2543เขาก็อำลาจากไปพร้อมกับครอบครัวแล้วฉันก็ไม่ได้พบกับเขาอีกเลย….เพียงแต่เขาบอกว่า
เขาจะไปเปิดกิจการที่ห้างสรรพสินค้าที่จ.ขอนแก่นเท่านั้น……เป็นอันจบหรือปิดฉากที่สวยงามที่สุดโดยฉันเป็นเพื่อนประจำ
ครอบครัวของเขาจริงๆ ซึ่งเหมือนแพทย์ประจำครอบครัวของนิยายฝรั่งรุ่นเก่าเปี๊ยบเลย เช่นเรื่อง ไฮดี้ เป็นต้น...

 

 

 



พ.ศ. 2543

     ด้านการทำงานในช่วงปีนี้ ฉันเริ่มออกตรวจผู้ป่วยนอกที่ศูนย์แพทย์ชุมชน เทศบาลนครอุดรธานีเป็นหลัก
และนั่งทำงานอยู่ที่เวชกรรมสังคมในช่วงบ่ายก็ใช้ชีวิตแบบนักวิจัยอันซึ่งผลงานเปิดเผยไม่ได้เพราะเกี่ยวข้อง
กับอภิญญาเสียมากกว่า ซึ่งฉันพยายามแปลงให้เป็นรหัสสากล แต่ก็นับว่ายากเอาการ นอกจากตัวฉันเองแล้ว
คงไม่มีใครเข้าใจงานวิจัยของฉันนัก ยกเว้นงานด้านจิตวิทยาที่มักเอามาประกอบและบังหน้า ที่เป็นงานที่ฉัน
ถนัดแต่ก็ยากที่จะแปลผลได้เพราะไม่ใช่งานวิจัยที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์เป็นลักษณะทางสังคมศาสตร์มากกว่า…
แต่ก็ทำได้ในวงกว้างและเป็นสากลดีพอสมควร..ฉันใช้ความสามารถหลายด้านและวิชาการหลายแขนงในงาน
วิจัยเหล่านั้น ซึ่งฉันคิดว่า สักวันหนึ่งฉันจะรวบรวมผลงานเหล่านั้นอย่างเป็นระบบระเบียบ แต่อ่านไม่รู้เรื่องหรอก
เพราะฉันหาคำอธิบายเป็นคำพูดได้ยากมากเป็นปัจจัตตังว่าเข้าไปนั่น....จริงๆก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว……
และที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ…เสียงร้องเพลงจากระดับจิตใต้สำนึกและความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณสากล…

     ปีพ.ศ.2543เป็นปีแห่งความทุกข์ระทมใจและอาการทางจิตเวชทั้งเด็กและผู้ใหญ่โดยแท้ การงานสำหรับปีนี้นอก
เหนือจากการออกตรวจผู้ป่วยนอกที่เทศบาลแล้วฉันก็แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน…งานที่ทำจริงๆคืองานเหนือโลก
.ที่ต้องอาศัยสมาธิและแยกตัว…..ให้ห่างไกลจากผู้คนและสังคมทั้งหลาย..ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่นอนอยู่บนเตียงหมดแรง
และทำงานด้วยพลังจิตในศาสตร์ทุกแขนงที่ฉันพอจะมีความสามารถทำได้..ฉันได้รับการสอนและอบรมจากครูบา-
อาจารย์ซึ่งล้วนเป็นเทพจากเบื้องบน ที่มีเมตตามาฝึกสอนให้ฉันสามารถใช้ดวงจิตให้ทำงานได้ …คือฝึกจิตนั่นเอง
จริงๆแล้วคงเป็นประสาทหลอนทางหูตามเคย ทำให้ฉันคิดว่ามีคนมาบอกอย่างนั้นอย่างนี้ กินยาก็ไม่หาย ถ้าไม่เครียด
ก็พอทนได้ เวลาไหนเครียด ฉันก็จะหลุดโลกไปเลย โรคนี้หายยากมาก การหลุดโลกของฉันคือการเริ่มไม่สนใจการงาน
และคิดว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง ไม่ยอมไปทำการทำงาน จะลาออกอย่างเดียว ทำความกลัดกลุ้มให้พ่อแม่มากทีเดียว

    แม้จะเป็นเรื่องของอาการประสาทหลอนแต่ฉันมีศักยภาพเพิ่มพูนจากเดิมราวกับเรื่องPhenomenonซึ่งพระเอกเป็น
มะเร็งในสมอง และมีความสามารถระดับอัจฉริยะพลุ่งโพลงขึ้นมาก่อนเสียชีวิต ซึ่งตอนแรกพระเอกมีความสุขมากจริงๆ
แต่ฉันก็ต้องขอบอกว่า ไม่ใช่งานที่สนุกนักสำหรับฉัน เพราะเหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นเมื่อฉันเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสุดท้าย
ไปแล้วจึงมีความเหน็ดเหนื่อยและตึงเครียด พร้อมทั้งรับรู้รสชาติของความทุกข์ใจทุกข์กายหลายรูปแบบ….ต่อมาเมื่อฉัน
อ่านหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมะของพระธุดงค์..ฉันจึงได้คิดว่าหรือจะเป็นโปรแกรมฝึกพิเศษสำหรับนักบวชเสียแล้ว
กระมัง…เพียงแต่การฝึกของฉันโลดโผนไปในทางโลกและต้องต่อสู้กับความแก่นแก้วของตัวเองไม่น้อย…ฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่า
จิตลักษณะต่างๆและกิเลสของตนเองเป็นอย่างไร…พูดตรงๆแล้วปฏิปทาของฉันย่อหย่อนกว่าพระอริยเจ้ามากนัก และความที่
ฉันเป็นคนไข้จิตเวชทำให้ฉันเจียมเนื้อเจียมตัวยอมผิดปกติสุดๆไปเลยดีกว่าไปยุ่งกับมะๆโมๆพวกนี้ด้วยความเป็นเด็กใน
ด้านนี้และความไม่รู้เรื่องอะไรเลย…จึงเป็นเสมือนเด็กดื้อๆช่างต่อล้อต่อเถียงคนหนึ่ง…..บางทีจิตตกหรือเสื่อมตามประสาคน
บรรดากิเลสมารทั้งหลายก็แผลงฤทธิ์ฉันคิดว่าอะไรที่ผิดๆฉันได้ทำมาแล้วทั้งหมด….ถึงกระนั้นฉันก็ได้นำเอาวิธีการปฏิบัติ
แบบศาสนามาเชื่อมกับการปฏิบัติในโลกโดยอาศัยความรู้ทางจิตวิทยามาเป็นเครื่องมือในการอธิบายควบคู่ไปกับการใช้ธรรมะ
เพราะฉันคิดว่าฉันเป็นผู้ถูกวิจัย จึงปล่อยทุกอย่างแบบเสรีไปจนเต็มที่แล้วจะมีจุดลงเอยที่กำลังพอดีสำหรับฉัน ซึ่งก็หลงผิด
อีกแล้วในเรื่องที่ว่าตนเองถูกฝึกฝนเป็นพิเศษ เพราะจนบัดนี้ ฉันยังไม่รู้เลย ว่าทำไมต้องเป็นฉันด้วยนะ (WHY ME)
ในการนำมาปฏิบัติจริง…เมื่อมีความรู้สึกตัวตามปกติอย่างเต็มที่แล้ว…..ฉันเริ่มปวดศีรษะและติดตามด้วยโรคทางกายที่มี
สาเหตุจากจิตใจหลายโรคที่เคยศึกษามาจากตำราจิตเวช….และประสบกับความทุกข์ใจตั้งแต่โทสะกำเริบจนถึงจิตตกอยาก
ฆ่าตัวตายเพราะความเบื่อหน่าย….ช่วงเวลานั้น ฉันปฏิบัติแบบลูกทุ่งมาก ไม่มีการอ่านหนังสือใดๆเลย หาทางออกไปแบบ
งูๆปลาๆซึ่งต้องสารภาพว่าไม่ได้เรืองโรจน์อะไรเป็นการช่วยตัวเองพอพ้นๆผ่านๆในระยะต้นปียังดีที่มีความฉับไวของสติ
ปัญญากำกับอยู่มาก ทำให้ความทุกข์ทางใจและความคับข้องใจหรือกิเลสมารต่างๆพากันสงบสยบลงได้ นี่แหละนาร์ซิสซัสล่ะ
แม้ว่าจะอาศัยการพูดจา(ทางโทรจิต)และการประกาศทฤษฎีตลกๆหลายอย่างผ่านนภากาศบ่อยๆ ก็ยังจัดว่า ไม่ทุกข์มากจน
เกินไป ไปๆมาๆกลับรู้สึกสนุกด้วยซ้ำไป…ฉันตั้งตัวได้ถึงขั้นอาจารย์ทีเดียว……ทำเป็นเล่นไปน่ะ...ในโลกของความฝัน  นะ...

 

 

 

  


 

     ช่วงนี้ฉันคบหากับชายหนุ่มคนใหม่เป็นนักเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่โรงพยาบาลเดียวกันเท่าที่ผ่านมามีคนนี้แหละที่ดู
จะอยู่ใกล้ความเป็นจริงในโลกมนุษย์มากที่สุดในด้านความรักเราสนิทสนมกันเพราะการทำงานและความสัมพันธ์
ที่รู้จักกันเหมือนญาติเขาเป็นคนใจดีนิสัยดีหน้าตาดีหล่อมากทีเดียวบุคลิกภาพก็ดีแม้จะออกอาการผู้หญิงแต่จริงๆแล้ว
ก็เป็นผู้ชายสารพัดรู้คนหนึ่ง การคบกับเขาเสมือนได้พบกัลยาณมิตร ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเปิดเผย……

     การที่มีเขาเข้ามาในชีวิต แม้จะไม่มีความรักที่หวือหวา แต่การคบกันที่ต่อเนื่องและทวีความสนิทสนมกันขึ้น
เรื่อยๆ เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับความรักทีเดียว เพียงแต่เขาไม่คิดจะแต่งงานตอนนี้ ต้องรออีก 10 ปีนั่นแหละ
ประกอบกับฉันตั้งสัจจะไว้แล้วว่า นอกจากเพื่อนชายคนที่กำลังไปเรียนต่อคนนั้นแล้ว(แต่ขณะนี้เขาจบมาทำงานแล้ว
แต่ก็ปฏิเสธฉันโดยสิ้นเชิง) ฉันจะไม่ยอมแต่งงานกับคนอื่นเด็ดขาด…เราจึงคบกันแบบแฟนๆเด็กๆมาโดยตลอด
เป็นความชุ่มชื่นใจและเย็นสบายดี สมกับเป็นเพื่อนแท้ของกันและกัน ขาดเพียงความลึกซึ้งแบบรักแท้ชั่วนิรันดร์
์เท่านั้นแต่ฉันกับเขาก็คุ้นเคยขนาดถูกเนื้อต้องตัวตามปกติธรรมดาได้และเวลาอยู่กับเขาก็มีความสุขและความมั่นคง
ปลอดภัยมากกว่าที่เคยพบพานมาในอดีต……ฉันก็เพิ่งรู้ว่าความปลอดภัยมีหน้าตาอย่างไร....

     ฉันไปพบเขาทุกบ่ายไปดูคนไข้กับเขาปรึกษาหารือกับเขาทุกเรื่องเอาหนังสือไปให้เขาดูส่วนเขาก็พยายามอบรมสอน
ให้ฉันเป็นคนดีมีบุคลิกภาพและช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำการงานต่างๆสอนชีวิตฉันและเล่าทัศนคติค่านิยมต่างๆให้ฟัง…
เขาเป็นคนมีเมตตาสูง ชอบทางศาสนา มักพาไปวัดและรู้จักกับคุณพ่อคุณแม่และญาติพี่น้องของฉันหลายๆคน…

     เขาเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์เข้าไหนเข้าได้แต่เป็นตัวของตัวเองฉันรักเขาเหมือนพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งส่วนฉันก็เป็น
น้องสาวที่น่ารักและแสนดีของเขาเช่นกัน…..การคบกันไปเรื่อยๆแบบนี้ในระยะแรกฉันรู้สึกขัดแย้งเพราะความรักที่ทำท่า
จะเกินเลยไปถึงความปรารถนาที่จะใกล้ชิดแต่งงานกันในเวลาต่อมาเมื่อแน่ใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัว
แน่ๆอย่างน้อยก็ในระยะ 10 ปีนี้ ทำให้ฉันคลายความยึดถือเกาะเกี่ยวกับตัวเขาลง และคบหากันด้วยความสบายใจขึ้น……

     จากผู้หญิงที่เคยถือความรักและครอบครัวมีความสำคัญยิ่งกลับกลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เกียจคนหนึ่งซึ่งไม่อยากรับภาระใดๆ
ในอนาคตอีกต่อไปอาจจะเป็นเพราะฉันเหนื่อย-ล้าและอายุมากแล้วผ่านประสบการณ์และการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจน
เหนื่อยอ่อนท้อแท้ในบางครั้ง ความสุขจะมีได้ก็เมื่ออยู่กับปัจจุบัน ไม่มีการระลึกถึงอดีต เพราะเป็นความเจ็บปวดทรมาน
ไม่มีการนึกถึงอนาคตที่เป็นสิ่งที่มืดมนสำหรับวิสัยทัศน์ในขณะนี้………

    ปัจจุบันของปี 2544 วันวาเลนไทน์ปีนี้ฉันยังคงมีเขาเป็นเพื่อนทั้งกายและใจอย่างสม่ำเสมอโดยไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งผิด
เป็นสัมพันธภาพที่ประสบผลสำเร็จในระดับที่ยอมรับกันได้ทั่วไปอย่างน้อยเขาก็ยังไม่มีคู่ครองแม้จะอุปการะลูกบุญธรรม
เอาไว้ก็ตาม…..ที่สำคัญคือความรักที่ฉันมีให้เขา มีลักษณะ”เอื่อยๆธารไหลริน มิรู้สิ้น ณ หนใด”เสียมากกว่า
จึงดำรงชีวิตมาแบบไม่เป็นทุกข์กับความรักอีกต่อไป…สำหรับเขาคนนี้ ฉันไม่สนใจว่าจะมีวิญญาณ A หรือไม่ แรกๆเหมือน
จะมีต่อๆมาก็ไม่มี และกลายเป็นคนคนหนึ่งซึ่งเหมือนพี่ชายที่น่ารักของฉันนั่นเอง ตอนมีวิญญาณAเป็นสิ่งที่ทำให้เราสนิทกัน
ได้มากและเร็วกว่าปกติ แต่ตอนนี้ก็ธรรมดา ราวกับวิญญาณ A จากฉันไปแล้วตลอดกาล ฉันคงหายแล้ว

     ผู้ชายคนสุดท้ายในชีวิตปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเภสัชกรรมของโรงพยาบาลวชิระ ที่ออกมาเปิดร้านขายยาเอง
ได้รู้จักกันในงานแต่งงานของลูกอาจารย์สถาบันราชภัฏที่ถูกแนะนำมาโดยอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งเขาไม่มีเวลาให้ฉัน
และฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนรู้จักเท่านั้น เขาหน้าตาดีทีเดียว รูปร่างทะมัดทะแมงดูดีไปหมด และยังไม่มีครอบครัว
ฉันแวะไปซื้อยากับเขาประจำ นอกจากการสื่อสารด้วยสายตานิดๆหน่อยๆแล้ว ฉันก็มิได้ปฏิบัติหน้าที่ใดๆนอกเหนือจากนี้
รู้สึกแต่มีความถูกชะตาและความอบอุ่นภายในใจที่มีต่อกันเท่านั้น….คงยากที่เขากับฉันจะมีความสัมพันธ์ใดๆมากไปกว่านี้
เพราะเขามีงานทำตลอดเวลา และเราก็อยู่ห่างไกลกันมาก.เขามีวิญญาณAทุกครั้งที่เราพบกัน จริงๆเราปิ๊งกันบ้างบางที
ประกายตาของเขาระยิบระยับเย็นเหมือนแหล่งน้ำประเภททะเลสาบ ที่ทำให้ฉันสดชื่นขึ้นแต่บัดนี้ไม่ได้พบอีกเลย

     รวมเบ็ดเสร็จ ฉันได้ก้าวเข้าไปเสี่ยงในวงเวียนรักหรือวัฏฏสงสารทั้งหลายแบบไทยๆนับได้ถึง 12 ครั้ง แต่จริงๆ
ตอนเด็กๆเรียนชั้นประถมมัธยมฉันมีเพื่อนชายที่มีฐานะดีและน่ารักเอาช็อคโกแลตให้ฉันด้วยและเคยเป็นเพื่อนทาง
จดหมายกันด้วยถ้านับคนนี้เป็นปั๊บปี้ เลิฟ แบบทันสมัยวัยรุ่นก็ต้องถือว่า เขาเป็นแฟนๆคนแรกของฉันเลย รู้จักกันมา
ตั้งแต่อยู่ป.3 แสดงว่าฉันมีแววอยู่ ไม่ใช่เล่นๆนะ ป.3ก็มีเสน่ห์สาวแล้ว ถ้านับเขาก็รวมเป็น 13 ครั้งได้ ไม่ใช่เล่นๆเลย
ทำเอาฉันเหน็ดเหนื่อยหัวใจเป็นยิ่งนัก ขอพักผ่อนก่อนเถิด นางเอกจึงต้องลงโรงไปในที่สุด...

    ชีวิตตัวคนเดียวที่เป็นอิสระเสรีจากความรักทั้งหลายปลอดโปร่งโล่งใจจริงๆก็นับเป็นความสุขชนิดหนึ่ง ซึ่งกว่าจะรู้
ก็เกือบจะสาย เป็นระดับของจิตที่มีคุณภาพแตกต่างกันไป ขึ้นกับหลายสภาวะ บางครั้งสุขมากบางครั้งทุกข์มาก ในเรื่อง
ของการต้องอยู่คนเดียวจริงๆ โดยไม่มีความรักใดๆเป็นแบคกราวด์เลย  ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ที่ตนเองจะทำให้เป็นไป ซึ่ง
ในที่สุดชีวิตรักและการทำงานหนักเรื่องของจิตใจที่จ.อุดรธานีก็กำลังจะปิดฉากลงแล้ว อย่างมีความสุขจริงๆของฉัน
ซึ่งเบื่อเรื่องนี้มากเลย นี่เป็นการลงเอยอย่างโรแมนติคที่สุดที่ฉันยังมีเพื่อนแท้หรือเพื่อนธรรมที่เรียกหาได้ตลอดเวลา
 โดยไม่สนใจเรื่องการแต่งงานอีกแล้ว
และฉันยังคงมีชีวิตเดิมๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ และฉันคิดว่ามีบุญเพราะ
อุตส่าห์ทำดีมาตลอด  การทำงานและการตัดสินใจครั้งสุดท้าย คำตอบสุดท้าย จะรออยู่ที่ปีพ.ศ.2544 ต่อไปนี้....

     คุณสมบัติและความรู้สึกที่เคยประสบทุกข์จากการไร้อนาคตนี้มาเป็นการสร้างสรรค์ชีวิตของตนให้เรืองรองขึ้น…
และประสบสิ่งงดงามขึ้นในอนาคตส่วนนี้ฉันเรียกมันว่าศิลปะในการดำรงชีวิตเพราะความสุขที่แท้จริงมักจะเกิดกับ
ผู้ทนทุกข์จนโชกโชนแล้ว และรู้ทางทุกข์ทั้งหลายจนหมดสิ้นแม้จะไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา แต่ถ้าเกิดขึ้น มันก็คือ
โอกาส นั่นเอง แล้วจะรู้ว่าจุดลงเอยในที่สุดของชีวิตนี้เป็นอย่างไร....ในขณะนี้....

 


 


พ.ศ.2544

     ปีนี้เริ่มต้นจากการปลดปล่อยความทุกข์ที่กดดันมาโดยตลอด ฉันอาละวาดบาดหมางกับครอบครัว ที่ทำงาน
เจ้านาย คนไข้ โดยถ้วนหน้ากัน เพราะจิตมุ่งคิดในเรื่องร้ายที่ผ่านไปในอดีต บังเกิดความโกรธเกรี้ยว คับแค้นใจ
ไร้ทางสู้และเจ็บปวดกับทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในด้านลบ….ฉันมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นอยากทำร้ายผู้อื่นและอยากทำลาย
ตนเอง โดยการเป็นคนสติเสียไปเลย กิเลสมารทั้งหลายทวีกำลังเพราะดวงจิตที่มีในขณะปัจจุบันนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่มี
คุณภาพไม่ต่อสู้ปล่อยตัวไปตามยถากรรมไร้กำลังที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านสิ่งใดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในชีวิตของฉันก็เพิ่งได้เจอ
คุณลักษณะที่ต่ำมากเช่นนี้ทำให้ฉันเข้าใจผู้ป่วยจิตเวชและคนมีปัญหาได้ดีขึ้นเพราะเขาต้องการความช่วยเหลือระดับ
มืออาชีพจริงๆ…เป็นงานยากมากที่จะปลุกจิตเหล่านี้ให้เข้มแข็งเพราะถ้าไม่โน้มนำไปในทางที่เสียก็ไม่มีกำลังใดๆที่จะ
ลุกขึ้นมาช่วยตนเองได้ ทั้งไร้ศรัทธาต่อทุกอย่าง  ได้แต่นอนแน่นิ่งและคงจะตรอมใจตายในที่สุด      

     กรณีของฉันคงเกี่ยวเนื่องกับความรักและความทุกข์ที่เกิดอย่างต่อเนื่องความปรารถนาที่ไม่เคยเป็นจริงฉันให้รู้สึก
ถึงความสูญสิ้นทุกอย่างและไม่อยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว….เปรียบเสมือนเป็นภาชนะที่แตกร้าว ไร้ความสามารถที่จะกระทำ
การใดๆได้เป็นความท้อแท้และยากที่จะฟื้นกำลังด้วยตนเองแม้ศาสนาก็ช่วยอะไรไม่ได้….รู้สึกหงุดหงิดเจ้าโทสะหมด
อาลัยตายอยากและเกิดความรู้สึกไม่ดีต่างๆนานา……ซึ่งบทลงท้ายคงไม่พ้นการฆ่าตัวตาย เพราะโลกไม่น่าอยู่อีกต่อไป
เป็นภาวะซึมเศร้าที่แท้จริงซึ่งทางการแพทย์เข้าขั้นต้องใช้ยาหรือช็อคไฟฟ้าเท่านั้นหมดอยากเบื่อหน่ายในทุกสิ่งผลที่สุด
ก็เลิกคิดไปเลย เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ จำเป็นต้องตัดความรู้สึกเหล่านี้ทิ้งไป โดยกำหนดจิตให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
ไม่เช่นนั้นก็จะเริ่มสาปแช่งต่างๆนานาและมีพฤติกรรมที่ผิดปกติด้วยความเครียดสูงอื่นๆแม้แต่เจตนาจะทำร้ายผู้อื่น……
ทำให้ฉันรู้จักตัวอันตรายพวกนี้ดีขึ้นแต่ไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับมันได้อย่างเฉียบขาด….ฉันจึงพยายามศึกษาและคอยสังเกต
ตามอารมณ์ความคิดเหล่านั้น และพยายามหาวิธีแก้ที่ได้ผลที่สุด เรื่องนี้อยู่ในงานวิจัยของฉัน ที่จะลองเปรียบเทียบผลว่า
สิ่งใดจะเป็นยาที่ชะงัดที่สุดสำหรับความเศร้าซึมและก้าวร้าวทรมานเช่นนี้….ความรักก็ไม่มีความหมายอะไรเลย…เป็นโรค
ชนิดหนึ่งที่ทรัพย์สมบัติเท่าใดก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ จิตใจหดหู่อยู่ตลอดเวลา ไม่มีความคิดที่จะหาทางออกด้วยตัวเอง
ทุกสิ่งหยุดสนิทน่ากลัวมาก…เพราะสติปัญญาก็ไม่มีพอจะจุดประกายความหวังใดๆให้ลุกขึ้นต่อสู้ต่อไป…..ทำอะไรก็จับจดไป
หมดแต่ฉันก็ไม่อยากใช้ยาเพราะคงมีวิธีที่จะแก้ไขได้ไม่ด้วยพลังของจิตหรือหัวใจก็ต้องเป็นพลังสมองและความคิดที่ดีงาม
อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นงานระดับนักบุญเท่านั้นที่จะทำให้สำเร็จได้ด้วยการประโลมใจโดยตรงด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยนและอาศัย
พรสวรรค์ที่จะดึงให้ดวงจิตเหล่านั้นคลี่คลายจากอวิชชาต่างๆที่หุ้มห่อไว้โดยมีความเศร้าที่สุดเป็นพื้นฐานอยู่…..ซึ่งชักนำให้เกิด
สิ่งต่างๆที่ไม่น่าปรารถนาตามมา…..บางทีอาจเป็นความเสียหายที่ติดตัวไปจนตาย ไม่ว่าจะมองในแง่ใดๆ...ฉันโชคดีที่มีเพื่อน
คอยให้กำลังใจและสอนด้วยวิธีต่างๆให้รู้จักมองคนอื่น และดูแลจิตใจมาโดยตลอด เขาคนนี้จึงเป็นพี่ชายที่น่ารักที่สุด

     สิ่งที่ฉันรู้ก็คือต้องสร้างแหล่งความสุขในตนเองด้วยฌาณวิเศษที่กล่าวถึงในศาสนาด้วยการเสพสุนทรีย์ต่างๆเพื่อให้ความ
ชุ่มชื่นแก่ตนเอง…การบวชน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดต้องสวดมนต์ภาวนาปฏิบัติด้วยตนเอง….จนกระทั่งสำเร็จผลและหลุดพ้นไปได้
เมื่อมีพลังจิตที่แข็งแกร่งขึ้นหรือรับรู้สิ่งต่างๆที่นอกเหนือจากความรู้เดิมๆ..ซึ่งยังชีวิตให้อยู่ต่อไปคล้ายเด็กที่เริ่มเรียนรู้ใหม่
…แต่ถ้าไม่ได้ผลก็ต้องใช้หลักการวิเคราะห์ตนให้รู้ในสัจธรรมทั้งหลายด้วยตนเองถึงอย่างไรก็ต้องปฏิบัติไม่เช่นนั้นก็จะซึมเซา
จนกระทั่งตายไปได้จริงๆ…ต้องคิดให้ได้ด้วยตนเองอาจจะถึงขั้นต้องปลีกวิเวกเพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่เหลือทางรอดใดๆอีกแล้ว
เป็นความทุกข์ขั้นสุดยอดที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้(ในพระไตรปิฎกก็มี)ีคือภาวะที่ไม่ไปไม่มาแบบแช่อยู่ในทุกข์เช่นนี้……
ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสาเหตุตายในคนสูงอายุที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

     ฉันได้ใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่พักใหญ่จนแจ่มแจ้งและเคยหวาดกลัวมากว่ามันจะมาอีกแต่เมื่อรู้วิธีการปฏิบัติด้วยตนเองโดยใช้
หลักศาสนาแล้ว ฉันก็เลิกกลัวไปได้…
ในที่สุดของความทุกข์ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เรายังคงมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
และมีการปฏิบัติต่อเนื่องกันมาแต่ปางบรรพ์อย่างสม่ำเสมอเป็นปฏิปทาที่เราทำได้จริง…มีครูบาอาจารย์ที่จะแนะนำได้…
ชีวิตของพวกเราจึงจบด้วยการปฏิบัติธรรมะในเบื้องปลายในที่สุด…และฉันก็ย่างเข้าสู่วัยกลางคนพอดี อายุจะ40ปีแล้ว
ทำให้หลายๆอย่าที่ผ่านมาสามารถปลงได้ด้วย
ตถตา ฉันมาทางพุทธศาสนามากขึ้น เพราะพิสูจน์แล้วว่าทำให้พ้นทุกข์ได้เร็ว

     ในความหวาดกลัวนั้น ทำให้ฉันทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจแม้จะเป็นแบบเด็กๆก็ตาม ทั้งอาละวาดและ
ทำตัวซึมเศร้า ทุกวิถีมารยาโดยไม่รู้ตัว เพื่อหาทางออกจากทุกข์ โดยการร้องขอความช่วยเหลือทางอ้อมต่างๆนานา
ซึ่งก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ…..ดังคำระบายอารมณ์ที่เขียนไว้ในตอนต้นของชีวิตช่วงนี้……ที่กล่าวอ้างไว้ในข้างต้นนั้น…
ขณะนี้ข้าพเจ้าเริ่มหายจากอาการของDEPRESSION ที่เข้ามาในชีวิตชั่วครึ่งแรกของปี2544 (มกราคม-มิถุนายน)
ทั้งที่เพื่อนชายที่จ.ขอนแก่นปฏิเสธฉัน ฉันก็ไม่มีปฏิกิริยารุนแรง กลับลืมเขาไปได้รวดเร็ว ไม่มีอาการที่จะแหลกสลายทาง
ด้านอารมณ์และจิตใจ ฉันมีการควบคุมตนเองตามสบายขึ้น แต่ก็อยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่ผ่านมามากมายหลายเรื่อง
ฉันรู้สึกเหมือนกันว่า ฉันไม่หวานอีกต่อไป กลายเป็นคนค่อนข้างแข็งๆและปลงๆไป เหมือนคนที่มีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆไป...
จุดมุ่งหมายตอนนี้มีแต่เรื่องงานอาชีพและงานอดิเรก ฉันสบายใจดีเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าบางครั้งจะเศร้าอยู่บ้าง ที่ฝันสลาย
และมักกระวนกระวาย แต่ฉันก็พยายามควบคุมตนเอง โดยไม่ต้องเปลี่ยนยาหรือไปหาจิตแพทย์ ธรรมะเข้ามาช่วยตรงนี้
ทำให้ฉันยังสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพชีวิตดีจนน่าอิจฉา แต่ความนุ่มนวลอ่อนหวานเหล่านั้นที่ฉันเคยมีกับกุมารแพทย์
คนนั้นซึ่งเป็นคนที่ฉันรักที่สุด(เวลามีวิญญาณA)ไม่มีอีกต่อไปแต่สภาวะนี้ก็คือเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุวุฒิภาวะและเอาตัวรอด
จากความทุกข์สาหัสหลายครั้งมาได้จนสำเร็จตามสมควรที่ควรจะพอใจเพราะขณะนี้ฉันก็พอใจในสิ่งที่ตนเองมีและเป็นอยู่
แบบนี้ไม่น้อย จึงมีความสุขได้อีกครั้ง

     บัดนี้ชีวิตฉันก็พบกับความทุกข์สุขมามากพอควรแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป..ฉันมีหลักธรรม คำสอน
คำคมจากท่านปราชญ์ทั้งหลายเป็นแนวทางและประสบการณ์จากการปฏิบัติเพื่อบรรลุสัจธรรมเป็นเสบียงที่จะดำเนินงาน
ต่อไปในอนาคต…..ด้วยความมั่นใจกว่าที่เคยผ่านมาสมกับวัยที่มากขึ้นและรู้สึกเมื่อผ่านพ้นมาแล้วว่าไม่มีสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์
แต่เป็นการจัดสรรที่สมบูรณ์พร้อมของธรรมชาติ ในนามของพระผู้เป็นเจ้า หรือ ธรรมะ นั่นเอง

     ส่วนการทำงานของฉัน ยังคงออกตรวจผู้ป่วยนอกที่เทศบาลไปเรื่อยๆ ส่วนเวลาบ่ายฉันมักใช้เวลาอยู่ที่เวชศาสตร์ฟื้นฟู ดูแลคนไข้ที่พี่ชายสอนให้เขาช่วยตัวเองได้ ซึ่งฉันจะนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยต่อที่บ้านได้ เมื่อเดือนตุลาคม เริ่มโครงการ 
30 บาท ฉันก็ได้ย้ายที่ทำงานจากเทศบาลใหญ่ มาอยู่ที่PCUเทศบาล 8 กับแพทย์รุ่นพี่อีกคนหนึ่งซึ่งทำให้ฉันมีความสุขขึ้น
เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี และมีโครงการหลายอย่างที่จะพัฒนาชุมชนร่วมไปด้วย งานไม่หนักมาก และฉันเคยทำงาน
ทำนองนี้มาแล้ว จึงถือว่า โชคดีทีเดียว  ฉันยังสมัครไปอบรมแพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว และจะสอบอนุมัติบัตรแพทย์เวช-
ปฏิบัติครอบครัว ซึ่งจะเน้นการดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิดและเป็นองค์รวม ขณะนี้ฉันสบายใจดี  และหวังว่า ชีวิตที่
เคยมีความทุกข์และลำบากทั้งกายและใจ คงไม่ย้อนกลับมาอีก เพราะขณะนี้ฉันก็มีภูมิคุ้มกันที่ดี แม้จะมีอารมณ์เศร้า
อยู่บ้าง ก็หางานอดิเรกมาทำแก้เหงา ดังเช่นทำโฮมเพจให้ท่านติดตาม เป็นต้น และจะทำเป็นไดอะรี่ประจำวันต่อไป

     ขอขอบคุณทุกท่านที่ตามมาเยี่ยมชมเว็บไซท์นี้ และเมื่อมีความสุขจะแจกจ่ายให้ทั่วถึงกันเช่นกัน ที่วาไรตี้นะคะ
โดยเฉพาะ "ธรรมะ" ที่เป็นเรื่องของความฝันที่ได้ไปพบเจอดินแดนแห่งความสุข ซึ่งมีเค้าความจริงอยู่มาก เพราะฝันจริง
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นฝันนั่นแหละนะคะ โชคดีที่ได้พบแบบนี้ เป็นส่วนที่ได้รับมาเสมือนเป็นรางวัลชีวิต ให้ประกอบไปด้วย
ศรัทธาที่ลึกซึ้งและจะปฏิบัติต่อไป โดยไม่ยึดติด อันที่จริงด้วยความขอบพระคุณในตอนแรกนั้น อยากให้ได้อ่านเกี่ยวกับ
เรื่องที่ลงใน "ธรรมะ"เท่านั้นเอง ไม่ทราบว่าใหญ่โตขึ้นได้อย่างไร หวังว่าคงจะมีความสุขทุกๆท่านนะคะ...

 

 

ขอบคุณค่ะ

 


 >>Home :: Varities :: story1 ::story2

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉันค่อยๆยอมรับตามความเป็นจริงว่าเขาต้องจากไปเวลานั้นฉันไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเพราะความที่ฉัน
สนิทสนมกับเขามากเหลือเกิน

ปลายเดือนเมษายน 2541 เขาก็จากไปเรียนต่อ โดยฉันไม่ได้ไปส่งเลยก่อนไปเขาพาฉันไปรับประทานอาหารที่ร้านหรูร้านหนึ่ง แต่ฉันก็รับประทานอาหารไม่ได้มากนัก

ฉันฝากรูปและของขวัญให้เขาเพื่อให้เขาระลึกถึงฉันได้….แต่ฉันก็ยังคิดอยู่ดีว่าเขาจะไม่จากฉันไปตลอดกาลแน่นอน
….หลังจากนั้นเขาก็รับมาอยู่เวรโรงพยาบาลเอกชนแบบไปกลับอยู่พักหนึ่ง.หลังจากนั้นก็ไม่เคยมาอีกเลย..
เขาอ้างว่าเรียนหนัก….ฉันก็ไม่เคยไปเยี่ยมเขาเช่นกัน..เพราะเขาสั่งห้ามด้วยเหตุว่าไม่อยากให้ฉันลำบาก
ความสัมพันธ์ของเราจึงเหินห่างไปเรื่อยๆจนบัดนี้

อันที่จริงเวลาที่เราอยู่ร่วมกันมีทั้งความทุกข์และความสุข ความทุกข์นั้นเกิดจากความไม่ยอมเอาใจเขามาใส่ใจเราของเขา และทีท่าไม่แคร์กับการจะมีฉันหรือไม่ และเอาแต่ใจตนเอง จนไร้มารยาทในบางครั้ง ฉันร้องไห้เพราะเขาบ่อยมาก อารมณ์เริ่มแปรปรวน เต็มไปด้วยความโกรธและเคียดแค้นในแง่ที่รู้สึกเสมือนเขาไม่ให้เกียรติฉันเลย ส่วนฉันเอาใจเขาทุกอย่าง ไม่เคยว่าอะไรให้เขา ทำกับข้าวให้เขารับประทานและอดทนต่อกิริยาวาจาเชือดเฉือนสารพัดที่เขาแสดงออกมาทนจนบางทีเกิดโมโหจนเตะประตูห้องเขาอย่างเต็มฝีเท้าและจะทำร้ายเขาให้ได้

ดุเดือดจริงๆ..เราเคยไปเที่ยวหนองคายกัน และทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องคือฉันแอบถ่ายรูปเขาไว้ ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกยามห่างไกล แต่เขาโกรธมาก ประนามฉันต่างๆนานา

ฉันแทบช็อค หัวใจวูบหายไปและรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ไม่เคยโดนดุว่ารุนแรงขนาดนั้นจากผู้ใดเลย แม้แต่บุพการี แต่ฉันก็พยายามตั้งสติให้มั่นคงและงอนง้อจนเขายิ้มออกแต่จริงๆฉันขมขื่นใจเป็นที่สุดและร้องไห้อย่างมากมายเมื่ออยู่ตามลำพัง

ฉันรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่นานกว่าจะทำใจได้ แต่ปมปัญหาในความรักของฉันกับเขา มีมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย ฉันรู้สึกเจ็บปวดล่วงหน้าทุกครั้งก่อนจะไปพบกับเขาแต่ก็

อดทนจนถึงที่สุด เพื่อการทำงานที่ฉันเลือกเอง ไม่รู้หรือคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะออกมาในรูปแบบเช่นนี้ …….แต่ก็อดทนจนเหตุการณ์ผ่านไปในที่สุดฉันได้บันทึกเรื่องราวไว้เป็นระยะ เป็นหลักฐานในความยากลำบากในการทำงานเพื่อความรักฉันภูมิใจที่ผ่านมันมาได้ โดยยังคงความรักไว้ได้และยังมีความทรนงในศักดิ์ศรีของตนเองได้เหมือนเดิม หรือมากขึ้น เปรียบเสมือนเหล็กทีถูกตีจนแกร่งและทำเป็นอาวุธที่ลับจนคมกริบ …เพื่อเป็นทุนรอนในการเดินทางไปพบพานกับความทุกข์นานับประการที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา