ตอนที่ 2

                            

                            >>Home::Varieties ::My work :: My story1 :: My story 3


     ฉันกลับมาปฏิบัติราชการที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุงเมื่อ 5 กรกฏาคม 2536
ฉันวุ่นวายกับการปรับตัวอยู่พักใหญ่ต่อมาฉันก็เริ่มฝันถึงคนรักและความมีตัวตนของเขา(เป็นด็อคเตอร์)
เริ่มคิดว่าเขาคือใครกันแน่ แต่เขายังไม่ปรากฎตัว เพราะฉันยังไม่พร้อม ฉันยังมีเรื่องที่ต้องฝึกฝนอีก
ในฐานะคนพิเศษ เหตุที่นึกถึงคนรักผู้ไม่มีตัวตนนั้น คล้ายมีการดลใจให้คิดขึ้นมาได้เองแบบนั้น
และฉันรู้ได้จากการดลจิตของเทวะว่า เขาเป็นมนุษย์ที่ถูกคัดเลือกแล้วว่าเหมาะสมกับฉัน ฉันรู้สึกถึงความจงรักภักดีอย่างจริงใจที่มีต่อเขา

     ฉันเริ่มปฏิบัติธรรมะหลายเรื่องด้วยการใช้การเข้าถึงแบบหยั่งรู้ หรือ INTUITION
โดยนำมาใช้กับปรัชญาชีวิตและสัจธรรมต่างๆที่เป็นสุขทุกข์และบรรลุธรรมเป็นประจำ
เป็นทางที่ดีมากทางหนึ่งไม่เครียดมากแต่ทำให้เราสุขุมลุ่มลึกขึ้น…เป็นผู้ใหญ่ขึ้น
และเชื่อในสิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติของจิต…อดทนรอคอยได้ดีขึ้นทุกข์น้อยลง..
ปล่อยวางได้ไม่ยึดติดกับอารมณ์ใดๆที่เศร้าหมองเพราะไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้
ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง
ถ้าหาทางออกจากทุกข์ได้ คิดได้ จะหลุดพ้นแล้วจิตใจจะผ่องใส


 

 


บ้านดุง2536::บ้านดุง2537::บ้านดุง2538::บ้านดุง2539


        บ้านดุง2536

 

     ฉันกลับมาบ้านดุงด้วยท่าทีของสาวกรุงเทพฯที่คล่องแคล่วขึ้นมาก แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น
และออกจะห่างเหินกับกิจกรรมสมัยเดิมๆไปมาก บางครั้งฉันจะอยู่เงียบๆตามลำพังอย่างผู้ใหญ่ 
คิดว่าตนเองได้รับทำงานสำคัญชนิดหนึ่งคือฝึกเป็นผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขต้องทรง
อยู่ในสภาพที่เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุไปจนถึงเกษียณเพื่อหยั่งรู้ให้ถ่องแท้ถึงความคิดอัจฉริยภาพของผู้บริหาร
ระดับต่างๆ จนถึงปลัดกระทรวง โดยภายนอกก็มีคนเคารพนบนอบมาก บางทีฉันเบื่อจริงๆ
เหมือนมีใครคอยมาบังคับให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย
เป็นการสื่อสารที่ฉันเข้าใจเอาเองแทบทั้งสิ้น และต้องการกลับไปเป็นตัวเองในบางครั้งที่เครียด
แต่ก็ต้องอดทนจนกว่าเขาจะปล่อย เหมือนต้องฝึกฝนเรียนเป็นเรื่องๆไป เขานี้คือใครฉันยังไม่ทราบเลย
รู้แต่มีคณะกรรมการคอยดูแลฝึกฝนฉันให้เป็นไปในทางที่เขาต้องการ ฉันเหมือนต้องรับผิดชอบเอาไว้
โดยหน้าฉากก็ต้องทำงานเป็นแพทย์ตามปกติ เป็นความคิดที่ทำให้ตัวเองยุ่งยากเสียจริงๆ

 



     ช่วงนี้ฉันได้อ่านหนังสือดีๆมากมายมากกว่าที่เคยทำได้หลายเท่าสมองไวขึ้นฉลาดขึ้นจริงๆ
ฉันคิดว่าเขาต้องการให้ฉันพร้อมจะรับงานใหญ่งานใดงานหนึ่งในกระทรวงเป็นอย่างน้อย
เป็นผู้ที่จะมีความสำคัญอย่างสูงอย่างน้อยก็ในระดับกระทรวง ความคิดเช่นนี้เครียดไม่น้อย
เพราะฉันไม่ชอบดำรงตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น ชอบอยู่เงียบๆมากกว่า ผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งที่
ฉันได้รับรู้เอาไว้ ฉันได้อุทิศตัวไปแล้วและอยู่ในฐานะที่ไม่เป็นไม่ได้ด้วย จึงต้องทำงานต่อไป
แม้จะเกินความสามารถที่แท้จริงไปมากนัก ฉันก็ต้องอดทน การฝึกนี้ฉันจะทำตลอดเวลา
เพราะใช้ความคิดเป็นส่วนใหญ่เช่นการคิดองค์รวมซึ่งในที่สุดฉันก็ผ่านการฝึกฝนเหล่านี้ในความ
เป็นจริงเพราะฉันต้องรักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านดุงอยู่พักหนึ่ง....
ต้องอดทนจน
กว่างานที่ทำในแต่ละวันจะสำเร็จลงไป ฉันฝึกทั้งสติปัญญา
รวมทั้งความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q).

 

     ฉันกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวตามวัย และสูงกว่าในแง่ที่มีความเป็นมารดาที่นุ่มนวลมากปนอยู่ด้วย
แต่ก็ค่อนข้างจะหย่อนยานไปบ้าง เพราะอยู่ในสถานการณ์จำลอง ไม่มีคู่จริงๆอะไรเลย ฉันจำได้ว่า
มีความรัก ความเมตตาอย่างสูงในตัวผู้หญิงคนนั้น ในบทบาททีฉันอยู่บ้านเพียงลำพัง ชีวิตแม่บ้าน
  ฉันยังคงคิดถึงคู่ครองในฝันของฉันเสมอ
ว่างงานก็จะไปช็อปปิ้งแบบแม่บ้าน ที่ห้างสรรพสินค้าในเมือง
ฉันตั้งหน้าตั้งตาคอยเขาจริงๆจังๆ และเขียนจดหมายถึงเขา โดยเขียนใส่สมุดไว้เป็นบันทึกรัก
หวังว่าเขาคงจะมีตาทิพย์อ่านความในใจของฉันได้ เพราะฉันสามารถกระจายชื่อเสียง ความโด่งดัง
และพฤติกรรมไปทั่วโลกแล้ว ไม่มีใครไม่รู้จัก แถมพฤติกรรมยังอยู่ในสายตาของ"กรรมการ"ตลอดเวลา
เขาอาจจะเป็นกรรมการคนหนึ่งด้วยซ้ำไป(กรรมการคือ เทวดา นั่นแหละค่ะ) ตอนนั้นฉันยอมรับสิ่งที่คิดไปไม่มีอาการหวาดระแวงใดๆคิดว่าพวกเขาเป็นมิตรเสียด้วยเขามาดีมากกว่า  ฉันสู้อุตส่าห์จัดบ้านช่องอย่างสวยงามมีอุปกรณ์ครบครันของแม่บ้านเตรียมต้อนรับคู่ครองที่จะมาจากเบื้องบน
ราวกับเตรียมพร้อมจะต้อนรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ช่วงนั้นฉันดูสวยขึ้นและนุ่มนวลอ่อนโยน 



    
มีเหตุประหลาดเกิดขึ้นอีกเพราะช่วงนี้ฉันรับผิดชอบรักษาการผู้อำนวยการมีการฝึกฝนเป็นผู้นำ
อีกวิธีหนึ่งฉันต้องลงงานสาธารณสุขให้แจ่มแจ้งรู้ทั้งหมดทั้งที่ความจริงฉันไม่ค่อยสนใจด้านสาธารณสุข
ฉันจำได้ว่าปวดศีรษะและเครียดมาก รู้สึกขัดแย้ง ฉันต้องเป็นผู้ชายและฝึกหัดงานทั้งหมดแบบผู้ชาย
ฉันต้องโยนความเป็นผู้หญิงทิ้งไปทั้งหมดคิดอย่างผู้ชายทำอย่างผู้ชายต่อมาฉันจึงรู้จักผู้ชายมากขึ้นและ
เข้าใจมากขึ้นฉันถูกฝึกการทำงานแบบโดดเดี่ยวและเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเคร่งขรึมจริงจังฉันต้องหัด
ตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆทั้งหลายโดยการใช้วิจารณญาณขั้นสูงหัดพูดจากใจฉันได้ไปฝึกผู้บริหารระดับ
กลาง
ตามหลักสูตรด้วยแต่มีความกดดันสูงจนประจำเดือนไม่มาตามปกติฉันต้องหัดใช้อำนาจและความ
เด็ดขาดซึ่งเป็นลักษณะของผู้ชาย ฉันเสียสละอย่างสูง ทิ้งกระทั่งแป้งผัดหน้า และลิปสติก  ,รองพื้น 
ฉันต้องสละรองเท้าส้นสูงและอากัปกิริยาที่นุ่มนวลแบบผู้หญิงจนหมดไป แม้รองเท้าสำหรับเต้นรำด้วย
ฉันจำได้ว่าแม้แต่หนังสือแม่และเด็กก็ถูกห้ามซื้อมาอ่านซึ่งทำให้กดดันมากเพราะฉันอยากเป็นมารดา
ราวกับฉันต้องตัดผมยาวสลวยทิ้งไป เพื่อให้ผมสั้นทมัดทแมงและกลายเป็นชายเหมือนทหารในสมรภูมิ
ทั้งหมดที่ฉันสละไป ราวกับทำเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่เป็นการทำเพื่อผู้อื่น ด้วยการสละของตนเอง
ฉันเคยไปห้างสรรพสินค้าเห็นวิกผมยาวสลวยจิตไร้สำนึกบอกให้ฉันลูบไล้เส้นผมอ่อนนุ่มยาวสลวยอย่าง
อาวรณ์และสายตาพร่าเลือนด้วยน้ำตาที่หลั่งมาจากจิตวิญญาณแห่งสตรีเพศ


  ต่อมาการเผด็จการเริ่มเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นแรงส่งให้ทุกอย่างที่ทำเราต้องแน่จริง จึงจะอยู่ในฐานะนั้นได้
การฝึกแบบนี้ต้องใช้วินัยสูงยิ่งพร้อมกันนั้นฉันต้องฝึกพลังจิตให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยวิธีการที่แปลงจาก
พลังความกดดันควบคู่กับการแข่งขันของพลังจิตจากความสุข เหมือนสีขาวกับสีดำ ต้องพยายามมาก
ฉันได้รับการฝึกฝนฌาณสมาบัติโดยไม่รู้ตัวนั่นเป็นการฝึกในโลกของคนสติไม่ค่อยดี หรือไม่ ฉันไม่ตอบ
หรือเป็นการฝึกแบบพระธุดงค์ ฉันก็บอกไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงฉันยังทำงานได้เป็นอย่างดี
ดีกว่าทุกวันนี้หลายเท่านัก ไม่มีสติแตกเลย

 

     การฝึกเรื่องนี้อึดอัดมาก ถูกบีบคั้นกดดันจากภายนอกตลอดเวลา ทั้งสถานการณ์และผู้คน
ฉันสะสมความเครียดจนสูงสุดแล้วผ่อนคลายไปเมื่อทำงานเสร็จหรือเมื่อมี ีปัญหามากก็หาทางออก
จากหนังสือธรรมะของท่านอาจารย์มหาบัว ท่านพุทธทาส แล้วก็หลุดจากทุกข์ บรรลุสัจธรรมได้เอง
ความทุกข์เกิดจากจิตใจส่วนหนึ่งซึ่งตึงเครียดจากการลงลึกในการทำงานมากเกินขีดความสามารถปกติ
ความจริงฉันไม่อาจหาญกล่าวว่า สิ่งแวดล้อมจะมีส่วนบีบบังคับฉัน เพราะฉันเต็มใจทำงานเหล่านี้


 ฉันมองดูพระอาทิตย์ยามเย็นและแสงแดดที่เริ่มสลัวลงไปเรื่อยๆฉันยืนเกาะขอบประตูบ้านมอง
ไปด้านนอก ฉันเปิดเพลงปลอบใจตนเองและผู้ร่วมงานทั้งหลายที่คิดเอาเอง พร้อมกับคิดถึง"เขา"ไปด้วย
เพลงนั้นคือ  If we hold on together ฉันอุตส่าห์ร้องเพลงนี้ด้วยจิตใต้สำนึกนั้นรู้รักสามัคคีเป็นที่สุด
แต่การที่ร้องให้ตนเองฟังเพียงลำพัง ทำให้เพลงนี้จัดเป็นเพลงเศร้าเพลงหนึ่งของฉัน 
 

"live your story faith, hope and glory hold to the truth in your heart
  if we hold on together I know our dreams will never die,
  dreams see us through to forever when clouds roll by ..for you and I"

 
     ช่วงนี้ฉันทำงานหนักมาก เป็นที่ปรึกษาหลายโครงการและเป็นนักวิชาการหญิง ต้องรอบรู้ 
และต้องเป็นแพทย์ที่เก่งมากแบบแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปการเรียนรู้ของฉันโดยวิธีเช่นนี้เหนื่อยมาก
เหมือนกัน แต่ฉันก็พยายามทำ ฉันทำแพทย์สาขาต่างๆที่เก่งๆทั้งนั้นเอาไว้ เป็นการปฏิบัติจริงๆ
มีสิ่งที่ฉันได้รับรู้สิ่งแปลกๆที่ปรากฏให้เห็นจากสายตา ซึ่งฉันเขียนไว้ต่างหาก
ฉันได้พบคนไข้จากภพอื่นมาแปลงเป็นคนไข้เพื่อสอนวิชาการแพทย์ทั้งหมดแก่ฉัน
ซึ่งน่าจะเป็นเทวดานะ ฉันต้องขุดคุ้ยความรู้มาทำงานอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เหน็ดเหนื่อยมาก
แต่ก็มีส่วนทำให้ฉันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรู้และมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นการผ่าตัด
และฉันก็เรียนเก่งทีเดียว ฉันทำงานแต่ไม่เป็นทุกข์กับการงานมากอีกต่อไป

 

     เวลาว่าง ฉันก็ยังคิดถึงเขาคนนั้นอยู่เรื่อยๆ ฉันเปิดวิทยุรับฟังข่าวสารและเพลงรักที่เขาจัดส่ง
มาให้ เหมือนอยู่ในความฝันอันนุ่มนวล มีอานุภาพเหนือสิ่งอื่นใด ด้านนี้มีฉันซึ่งทำงานหนักเฝ้ารอ
เขาอยู่ อีกด้านหนึ่งของจักรวาล และสร้างสะพานเพื่อเราจะได้มาพบกันสักวันหนึ่ง (โรแมนติคไหมคะ)
เมื่อเราทำงานเสร็จสิ้น แต่ดูเหมือนงานเราคงไม่มีวันเสร็จสิ้น จนบัดนี้จึงยังไม่ปรากฎโฉมให้ชื่นใจเลย
เขาก็คอยให้กำลังใจและความรักผ่านมาตามคลื่นจักรวาลฉันรักเขามากแม้จะไม่เคยรู้จักเขาเลย
แต่เราเป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจริงๆและทรมานกับการรอคอยกันอยู่ไม่น้อย..แต่นั่นยิ่งทำให้รักหวานมากขึ้น
ฉันคิดว่าขณะนี้เราทั้งสองกำลังช่วยกันสร้างสะพานข้ามดาว เพื่อเป็นทางเดินให้เราได้มาพบเจอกัน
เหมือนในนิทานเก่าแก่เรื่องดาวคู่ และคู่รักที่พบกัน 7 ปีครั้ง ในกลุ่มดาวลูกไก่ อย่างที่ฉันเคยอ่านมา
อาการเกี่ยวกับความรักและเพศตรงข้ามดูจะเป็นปัญหาทางจิตของฉันมาโดยตลอด ไม่ทราบว่าทำไม
ฉันได้ตั้งสัตยาธิษฐานขอครองรักชั่วนิรันดร์ไว้เช่นกัน
(แม้จะไม่สามารถแต่งบทกวีได้ไพเราะเท่าคุณเพ็ญ ภัคตะ)

 



     ช่วงนี้ฉันทำตัวเหมือนวีรชนฟังเพลงเพื่อชีวิตและรับรู้ถึงความยากลำบากในโลกมนุษย์อย่าง
ลึกซึ้งกว่าเคย ฉันมีความเมตตาสงสารในผู้ทุกข์ทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสทั้งหลาย
ซึ่งเป็นความรู้สึกรักมวลมนุษย์จากใจจริงและได้บูชาเจ้าแม่กวนอิมไว้องค์หนึ่ง ซึ่งท่านงามมาก

                  ฉันได้ฝึกฝนการทำงานเป็นทีมแบบสมัยใหม่ร่วมกันทั้งทีมงาน

     ซึ่งตอนนั้น ผู้ร่วมทีมคือสาธารณสุข มีการ BRAIN STORMING หัดใช้วิธีการแบบใหม่
การประชุมเพื่อระดมสมองและแนวคิดทำให้ฉันพูดเก่งขึ้นและมีความรู้ความเข้าใจแบบองค์รวม
อย่างมีหลักการและเป็นพื้นฐานที่ดีในการทำงานทุกๆอย่างทำให้ฉันมีความสามารถในการมอง
ปัญหาและวิสัยทัศน์ ทำตนแบบนางพญาอินทรีที่แข็งแกร่งและมีสายตาคมกว้างไกล ฉันรู้จักข้อดีเสีย
และการวิพากษ์วิจารณ์ด้านการทำงานในระดับที่ใช้ได้จากการฝึกฝนโดยตรง เรื่องนี้ไม่แปลก
เขาส่งเสริมกันมากในช่วงนั้น ตามนโยบายสาธารณสุขเรื่องนี้ฉันสามารถเอามาใช้ได้ตราบทุกวันนี้
สำหรับฉันสาธารณสุข เป็นที่ศรัทธาในการทำงานเป็นทีมอย่างยิ่ง…..แม้ต่อมาจะมี H.A. หรือ
ISO
ฉันก็ไม่หวั่นใดๆ เพราะฉันถูกฝึกฝนมาก่อนแล้ว ถูกฝึก ถูกประชุมแบบใหม่มาอย่างเหลือล้น
ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุงโดยผู้อำนวยการคนใหม่ซึ่งมีพระคุณจริงๆไม่น้อยกว่า
ผู้อำนวยการคนเก่าที่สอนให้ฉันเป็นผู้บริหารที่แท้จริง ท่านคือ นายแพทย์ อิทธิพล สูงแข็ง
และฉันมีรุ่นพี่ที่น่ารัก สอนการปรับตัวคือ พ.ญ.มะลิวัลย์ ดอนสมจิตร ซึ่งเราพักอยู่บ้านเดียวกัน
มีน้องหมอแพทย์ประจำที่น่ารักและเก่งรอบด้านที่ชื่อ น.พ.สุรพงษ์ ผดุงเวียง นี่เป็นทีมงานเก่าแก่ของเรา
หลังจากพี่มะลิวัลย์ไปเรียนต่อเราก็ได้น้องชัยรัตน์มาช่วยงานต่อไป(ชัยรัตน์เคยเป็นแพทย์ใช้ทุนที่นี่)
เป็นทีมเวอร์คกันดีทั้งแพทย์และทีมสาธารณสุขทั้งหมด ทำให้ฉันมีความรักที่บ้านดุงจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อฉันมาอยู่อุดรธานี ฉันร้องไห้น้ำตาคลอทุกครั้งที่เห็นเจ้าหน้าที่จาก อ.บ้านดุงที่มาจ.อุดรธานี ที่นั่น เป็นจุดรุ่งเรืองในการทำงานที่สุดของฉันและมีเพื่อนร่วมทีมหลากหลายที่สุดนายอำเภอก็คงคิด
เช่นเดียวกับฉัน ฉันมีเพื่อนร่วมงานมากมายที่นั่น และเราได้ทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกันในยุคนั้น...

 

     จากการทำงานนี้ ฉันได้รับโอกาสที่ได้รู้จักกับความเรืองโรจน์  ซึ่งเป็นความละเอียดอ่อนเรื่องหนึ่ง
นิสัยอัศวินและความจงรักภักดีอันสูงสุดที่มีต่อสถาบันต่างๆที่สำคัญ เช่น ชาติศาสน์กษัตริย์ ที่เป็นที่รัก
สถาบันครอบครัว , การศึกษา,และอื่นๆ
ที่ช่วยให้ฉันมาถึงวันนี้ วันที่ฉันมีความสามารถยิ่งขึ้น และก้าวสู่
ความผูกพันที่ลึกซึ้งของจิตวิญญาณทั้งมวลของสรรพสัตว์ในจักรวาล ซึ่งฉันได้รู้ได้เห็นเองในที่สุด
ในรูปลักษณ์ของเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งหลาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น ฉันได้ทราบบางสิ่ง
อันทำให้ฉันไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไปชั่วนิรันดร์และฉันรู้จักรัก
ที่เป็นรหัสของจักรวาลหรือเมตตา
อันเป็นความรู้สึกที่สูงขึ้นมากฉันเชื่อว่าจิตวิญญาณของทุกๆคนไม่ว่าที่ใดล้วนแต่ผ่องใสและดีงาม
ขณะนั้นฉันถวายชีวิตเป็นราชพลีไปแล้ว แต่ความรักฉันหนุ่มสาวฉันยังไม่ยอมให้ความเชื่อถือเลย

 

     เวลาฉันเครียด ฉันมักจะระบายออกด้วยการออกกำลังกาย ซึ่งมีการบริหารร่างกายบ้าง
เต้นแอโรบิคหรือขับรถเร็วๆเท่าที่จะรับไหว ฉันต้องหัดจัดการกับอารมณ์ด้านลบ ซึ่งเป็นปัญหา
เพราะฉันไม่คุ้นเคย การแสดงช่วยได้มากแต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็น
กิเลสมารตัวจริง
ที่ฉันต้องทำความรู้จักและเข้าใจอย่างถ่องแท้…ซึ่งเป็นงานที่ยากมากงานหนึ่ง

 

     ช่วงนี้เสียงเพลงร่วมสมัย ปลายศตวรรษที่ 20 มีอิทธิพลต่อฉันมาก
ฉันมีเทปเป็นร้อยๆม้วนหรือร่วมพันก็ว่าได้และอินกับเพลงเหล่านั้นว่าเหมือนชีวิตของฉันเลย
และได้มีอารมณ์ทุกข์ เศร้า เหงา เจ็บปวด น้อยใจ ฯลฯและอื่นๆตลอดถึง ความโกรธแค้น
โดยอาศัยเพลงเป็นสื่อระบายความในใจที่ฉันคิดว่าบรรดาศิลปินและผู้ที่ทำงานด้านนี้
ีมีพระคุณและเข้าใจชีวิต ความรัก และสัจธรรมอย่างชัดเจนและเป็นกลาง
ที่ทุกๆคนสามารถเข้าร่วมในอารมณ์ความรู้สึกที่คล้ายคลึงได้เท่าเทียมกัน

 

     ฉันเริ่มหัดแต่งตัว มีเครื่องประดับ และใช้เสื้อผ้าที่ดูสมวัย สมหุ่น สมสมัยขึ้น
เป็นการนำเอาผู้หญิงรุ่นใหญ่กลับมา ซึ่งบัดนี้ในที่สุด ฉันก็ดำรงตำแหน่งผู้หญิงทำงาน
อย่างที่ฉันเคยอยากเป็นอย่างสมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปฉันปรับตัวเข้ากับ
ความสับสนวุ่นวายของชีวิตปัจจุบันได้ในที่สุด โดยไม่มีอาการปวดศีรษะแบบเดิมอีก
เพราะการดำรงตำแหน่งของฉันนั้นต้องอยู่กับความวุ่นวายแม้แต่ในงานสังคม
แต่ยังคงรอคอย….ด้วยความเชื่ออย่างแท้จริงของคนทีมีความรักและศรัทธาอย่างลึกซึ้ง
ช่วงนั้นฉันน้ำหนักขึ้นไปถึงหกสิบกว่ากิโลกรัม โดยลดไม่ลงอีกเลย

 

     การที่ต้องดำรงตำแหน่งผู้บริหารเป็นครั้งคราว ทำให้ฉันต้องประสานงานกับหน่วยงาน
องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน พ่อค้า แม่บ้าน กำนัน ชาวบ้าน ฯลฯฉันได้ร่วมทำงานกับ
นายอำเภอ รองผู้กำกับ ประธานชมรมพ่อค้า และอบต…….ฯลฯทำให้ได้รับประสบการณ์ในสังคม
มากขึ้น และได้เรียนรู้วิธีการทำงานของคนอาชีพต่างๆและลักษณะเฉพาะตัวของมนุษย์ตลอด
จนปัญหาของคนเราในแง่ต่างๆ ที่ทำให้โลกทัศน์ของฉันกว้างขวางขึ้น และรู้สึกสนุกกับการ
ทำงานและเป็นพื้นฐานที่ดีและทำให้เกิดทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำในปัจจุบัน
เพราะเริ่มมาจากความรักและหวังดีต่อกันเป็นเบื้องต้น ที่มีแด่ มวลมนุษยชาติ
ฉันยังจำเพลง คำสัญญา,ดอกไม้ให้คุณ,และกำลังใจ ได้ดีเสมอมา



     นี่เป็นปีแรกแห่งการทำงานหลังจบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว
งานรักษาพยาบาลนั้นทำครบทุกรูปแบบและอยู่เวรอย่างเหน็ดเหนื่อย
ส่วนนี้จึงไม่พูดถึงมาก เพราะเป็นชีวิตตามปกติ ที่ฉันต้องรับผิดชอบมาโดยตลอด.. 

 

 


 

 

บ้านดุง 2537

     เดือนกรกฎาคม 2537 เกิดเหตุการณ์ตื่นเต้น ซึ่งเรียกได้ว่า ตื่นเต้นและยินดีมาก
เป็นความตื่นเต้นของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทุกแห่ง คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
เสด็จตรวจเยี่ยมโรงพยาบาล ฉันได้รับโอกาสยิ่งใหญ่อีกครั้ง ที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่าน
เป็นความร่วมมือของทุกหน่วยงานและประชาชนที่ทำให้งานนี้ดำเนินไปได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ทุกคนวิ่งทำงานกันตัวเป็นเกลียว โดยไม่ปริปากบ่นเพราะนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเหลือ
ท่านเสด็จพร้อมกับครอบครัวทั้งครอบครัว….และจะพระราชทานพระวโรกาสให้พวกเราบางคนได้
เข้าร่วมเสวยพระสุธารสชากับพระองค์ท่าน ฉันก็เป็นหนึ่งในผู้ที่โชคดีเหล่านั้น ฉันขอสารภาพว่า ดั้งเดิม
ฉันเป็นคนหัวสมัยคนหนึ่ง ไม่สนใจกับพระราชวงศ์เท่าใดนัก แต่ก็เคารพท่านมากโดยเฉพาะ ในหลวง
แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดคุ้นเคยถึงขั้นที่บรรดาผู้เป็นข้าราชบริพารเป็นกันแน่ๆ น่าแปลกที่เทวะที่เกี่ยวข้องกับฉัน ท่านมักยกพระราชวงศ์เป็นตัวอย่างแม้กระทั่งในความฝัน
ช่วงหลังฉันจึงน้อมนำไปด้วยจงรักภักดีจริงๆเช่นเดียวกัน แต่เทพท่านมีศักดิ์สูงกว่ามนุษย์


 
    ก่อนหน้าที่ท่านจะเสด็จมีท่านประธานองคมนตรีมาตรวจเยี่ยมเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย
และรับรู้ปัญหา…คือท่าน ธานินทร์ กรัยวิเชียรฉัน ได้ตามติดท่านอย่างใกล้ชิด เดินรอบโรงพยาบาล
ท่านเป็นผู้ที่มีใจดีมากเท่าที่ฉันสัมผัสได้และทรงภูมิปัญญาที่ลึกซึ้งกว้างไกล ต่อๆมาก็มีผู้ใหญ่
จากหน่วยงานต่างๆมาตรวจเยี่ยม จนฉันเคยชินกับการต้อนรับแขกอย่างมาก

 

     คุณพ่อคุณแม่และบรรดาเจ้าหน้าที่คณะครูอาจารย์ของอ.บ้านดุงร่วมมือกันจัดดอกไม้และเนรมิต
ให้โรงพยาบาลเป็นสวนสวรรค์ในวันนั้น ทุกๆคนมีหน้าที่รับผิดชอบ ทาสีตึกใหม่ เปลี่ยนผ้าม่านบ้าง
ตกแต่งสวน ฯลฯ ผู้อำนวยการดูเหนื่อยแต่ก็ยังมีไฟ ฉันรับหน้าที่เดิมที่เคยทำมา อย่างไรก็เหมือนเดิม
คือถวายรายงานพระองค์ท่านเกี่ยวกับผู้ป่วยในตึกผู้ป่วยในและท่านจะพระราชทานสิ่งของแก่ผู้ป่วย
ฉันยังมีโอกาสได้ถวายพวงมาลัยแด่หม่อมเจ้าสุจาริณี ในขณะนั้นด้วย ท่านงามมากจริงๆ

 

     เมื่อท่านเสด็จมาท่านเสด็จขึ้นเสวยพระสุธารสชาก่อนพร้อมกับพวกแพทย์และผู้หลักผู้ใหญ่ในนั้น
ฉันในฐานะแพทย์ที่ท่านเสด็จมาตรวจเยี่ยมดูแลความทุกข์สุข…มีโอกาสนั่งอยู่ใกล้ๆหัวแถวใกล้ท่าน
ด้ชมบุญญาบารมีของพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด…..ท่านเสด็จมา 6 พระองค์ มีที่มาไม่ได้ 1 พระองค์
เพราะเป็นสุกใส(ท่านนำครอบครัวมาด้วย)นับเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ฉันมีโอกาสได้สัมผัสกับ
พระราชวงศ์ระดับสูงอย่างใกล้ชิด…ในลักษณะที่ไม่เป็นทางการเต็มยศ…และฉันได้ชื่นชมพระบารมีจนเต็มอิ่ม…
แม้จะไม่มีโอกาสได้บันทึกภาพใดไว้…แต่ก็ประทับในความทรงจำตลอดไป

 

     ท่านหญิงตรัสกับฉันเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กว่า..ปล่อยให้เด็กๆเล่นบ้าง…อย่าให้อ่านแต่หนังสือ
ไม่เช่นนั้นจะไม่มีความกว้างไกลของการอยู่ในโลกจริงๆซึ่งฉันก็รับไว้เพื่อนำมาปฏิบัติตามรับสั่ง
เพื่อให้เด็กของฉันได้รับการพัฒนาในทุกๆด้าน
ฉันมองท่านหญิงอย่างชื่นชมเพราะท่านงดงามมาก
จนฉันคิดว่า นี่เอง นางแก้วของพระมหาจักรพรรดิ ตามที่หนังสือศาสนาพุทธเคยพูดถึงเอาไว้
งามพร้อมทั้งกาย วาจา และจิตใจอันงดงาม ดูท่านทรงเป็นพระมารดาที่นุ่มนวลอ่อนโยนอย่างยิ่ง
แต่รู้จักเด็กๆดีและเข้าใจเด็ก….ฉันคิดเช่นนั้นโดยเฉพาะเมื่อเห็นพระโอรสและพระธิดาของพระองค์ท่าน
ทุกพระองค์ทรงมีบุคลิกลักษณะอันเลิศและมีความเป็นผู้ใหญ่ในท่วงท่า โดยเฉพาะองค์แรก
ที่ทรงเป็นนักเรียนตัวอย่างได้เลย…ส่วนองค์รองลงมา ท่านก็มีทีท่าเป็นตัวของตัวเองและรักอิสระ
ค่อนข้างมีอารมณ์ขัน..ทำให้ฉันอดยิ้มกับจานอาหารไม่ได้เมื่อพระองค์ทรงมีกิริยาตลกบ้าง.
.คงจะมีอารมณ์ดีและดื้อหน่อยๆ…..องค์เล็ก ท่านมีความเคร่งขรึมและสงบ แย้มสรวลน้อยๆ นั่งตัวตรง
รูปโฉมท่านคล้ายสมเด็จพระราชบิดาแห่งวงการแพทย์ไทยมากไม่ทรงขยุกขยิกแบบเด็กทั่วไป
ส่วนท่านหญิงองค์สุดท้องนั้น ท่านน่ารักน่าเอ็นดูที่สุด น่ารักมาก แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ สำรวม
ไม่มีการเอะอะเฮฮาใดๆแบบเด็กๆเลยในทุกพระองค์

 

     สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฎราชกุมาร
ท่านมีพระสิริโฉมอันดูแข็งแกร่งและงามทั้งพระพักตร์และบุคลิกภาพ
แม้ท่านจะวางพระองค์ปกติธรรมดาที่สุดก็ยังแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว
แหลมคมและทรงความเป็นขัตติยะอย่างชัดเจน……ท่านตรัสเกี่ยวกับการทำงานและคนไข้
กับผู้อำนวยการและท่านสสจ. พร้อมกับทรงถามถึงข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับโรงพยาบาล
สิ่งที่ท่านตรัสไว้นั้น เสมือนให้กำลังใจเราให้เรายึดมั่นในปฏิปทาอันถูกต้อง
แม้เมื่อมีปัญหาใดๆกับคนไข้ในกาลต่อมาฉันก็ระวังไม่ให้หมอของท่านต้องมาเกี่ยวข้อง
กับการกระทำที่ส่งผลในทางที่ไม่ดีต่อคนไข้เลย

 

     เวลาฉันน้อยใจและโกรธในความเป็นอยู่ของตน(ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อเวลาผันผ่านไป)
ฉันจะหลีกเลี่ยงไม่พบคนไข้…ถึงแม้ว่าตนเองจะเสื่อมเสียเกียรติยศบางอย่างไป แต่ก็เป็น
เรื่องเฉพาะตัว ฉันไม่ยอมให้คนไข้มารับผลกระทบจากอารมณ์ของฉันเท่าที่จะเป็นได้…
เมื่อใดไม่มีสติคืออารมณ์ไม่ดีจะไม่มีการตรวจรักษาคนไข้ ณ ที่นั้น และแม้จนบัดนี้
ต้นสังกัดของฉันก็ยังเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลบ้านดุงอยู่ตามกฏหมาย…
และยังคงเป็นข้าราชบริพารของท่านที่มาช่วยราชการที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเพราะยัง
ไม่ได้ย้ายต้นสังกัด

 

     ท่านตรัสถามถึงสารทุกข์สุกดิบของพวกเราด้วยความเป็นห่วงใยพวกเราเช่นเดียวกัน
และเตือนให้นึกถึงคนไข้มากๆด้วย….ฉันออกจากบ้านดุงมาหลายปีแต่ยังจำได้ถึงพระราช
ปณิธานของพระองค์ท่าน ที่เขียนไว้เป็นเครื่องเตือนความทรงจำว่า

 

“ทุกๆคนที่ทำงานให้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จะต้องไม่ลืมว่า โรงพยาบาลนี้
เกิดจากความมุ่งมาดปรารถนาอันแรงกล้าของคนไทยทั่วราชอาณาจักรที่ต้องการจะเห็น
ผู้ที่อยู่ในท้องถิ่น
ทุรกันดารทุกแห่ง ได้รับความเอาใจใส่รักษาพยาบาลเป็นอย่างดี
ีให้ปลอดภัยจากความเจ็บไข้ อย่างทั่วถึงเสมอหน้ากัน"
                                      
                                       พระราชดำรัส

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
สยามกุฏราชกุมาร

 

     ฉันยังคงจำได้ถึงปณิธานนี้จนทุกวันนี้ แม้จะไปทำงานที่อื่นก็ยังไม่เคยลืมไปจากจิตใต้สำนึก
แต่ก็ยังทำงานกับคนไข้ผู้ด้อยโอกาสในการรักษาพยาบาล ยากจน แม้ในชุมชนเมือง ที่ฉันทำอยู่
ู่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ยากไร้เสียเป็นส่วนมาก และไม่มีทางทำให้ฉันได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ
ได้เลย นอกจากช่วยเหลือพวกเขา ตามพระราชปณิธานที่จะดำเนินตามรอยทางของท่าน
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของปวงชนชาวไทยทั้งมวล

 

     ฉันตามเสด็จเพื่อทูลถวายรายงาน และรู้สึกถึงบรรยากาศเงียบสงบของตึกผู้ป่วยในได้ทันที
เพราะฉันแยกออก ว่าผิดจากปกติ คนไข้ทุกคนนั่งอยู่บนเตียง รอรับเสด็จอย่างนิ่งสงบและสำรวม
จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าคนไข้คงสำเร็จขั้นโสดาบันเป็นอย่างน้อยและดูสงบสำรวมตื่นเต้นน้อยกว่า
ฉันเสียอีก ฉันบรรยายผู้ป่วยไปเรื่อยๆ ทำให้องค์หญิงน้อยทำท่าว่า ฉันเหมือนลุงหมออะไรสักคน
ที่น่าฮ้าวน่าหาว... ฉันอดยิ้มไม่ได้ ...ท่านน่ารักจริงๆ

 

    ฉันสังเกตดูการเยี่ยมของท่านแล้ว ท่านทรงถามคนไข้บ้างเล็กน้อยและแย้มสรวล
ท่านมอบของให้แก่คนไข้อย่างรวดเร็ว ทำงานฉับไวอย่างสบายๆ ไม่เครียดอะไร
ส่วนองค์เล็กๆก็ช่วยกันประทานของให้ผู้ป่วยแยกย้ายกันไป เป็นบรรยากาศที่ชุลมุน
เล็กน้อย แต่ก็อยู่ในระเบียบอันดี

 

     พระบรมโอรสาธิราชที่ฉันได้ชมบุญญาธิการของท่านนั้น มีลักษณะของผู้ยิ่งใหญ่ เปี่ยมล้นด้วยบารมี
ท่านมิได้แสดงอำนาจใดๆ เช่น การตำหนิหรือไม่พอพระทัย ท่านตรัสกับพวกเราด้วยสุรเสียงธรรมดา
ไม่ได้ก้องกังวานทรงอำนาจมากอย่างที่ฉันคิด แต่ก็คงความเป็นขัตติยะที่สืบเนื่องกันมาแต่ปางบรรพ์
ท่านไม่ตรัสมากและวางพระองค์สบายๆพระดำรัสมีใจความที่มั่นคงมีคำถามคำกล่าวสอนที่ประกอบด้วย
พระราชวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง และเน้นทัศนคติ อุดมคติเตือนใจเราไว้ และแสดงความคิดเห็นทั่วๆไป
ด้วยพระสุรเสียงอันซึ่งฉันและผู้เข้าเฝ้าไม่อาจลืมได ้มีความเด็ดเดี่ยวและขัตติยมานะอันปรากฎอยู่เอง
ตามเอกลักษณ์ อันไม่ต้องแสดงสิ่งใดที่ผิดไปจากคนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย

 

     ส่วนท่านหญิง ทรงมีลักษณะแห่งมารดาที่อบอุ่นอ่อนโยนและเด็ดขาด ความงามของท่าน
ฉันแน่ใจได้ว่า ไม่เคยเห็นผู้ใดงามละม่อมละไมเช่นนี้อีกแล้ว ดุจกุลสตรีไทยแท้ๆทุกอิริยาบถที่งดงาม
จับตาจับใจจริงๆ ฉันชื่นชมความเป็นมารดา และผู้หญิงแบบที่ท่านทรงเป็นอยู่ในขณะนั้นอย่างยิ่ง
ท่านตรัสกับเราอย่างสุภาพอ่อนโยน ไม่มีเสียงที่ใช้อำนาจแม้แต่น้อย จากกิริยาวาจาท่าทีของท่านนั้น
ทรงมีเมตตากรุณาสูงส่งต่อทุกสิ่งอย่างแน่นอน ด้วยฉันสัมผัสได้ถึงความละมุนละไมแห่งพระหทัยนั้น
แม้ว่าจะสูงส่งเกินกว่าที่ผู้หญิงธรรมดาอย่างฉันจะเข้าใจทั้งหมด
แต่ความงามภายในนั้นเลอเลิศไม่น้อยกว่าพระสิริโฉมภายนอกเลย
ฉันเชื่อในพลังจิตของฉันที่สามารถสื่อได้ถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน
แม้จะมีข่าวลืออะไรก็ตาม ฉันยังเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาและดวงจิตนั้น เป็นสิ่งที่ดีงามอย่างแน่นอน นอกเหนือจากนี้จึงไม่พูดถึงเลย




     หลังจากท่านเสด็จแล้ว งานโรงพยาบาลด้านต่างๆก็ล้นมือฉันอีกครั้ง
ผลงานที่ฉันเขียนไว้ในความสามารถและศักยภาพของฉัน ล้วนมาจากการปฏิบัติจริงๆ
ในช่วงปี ีี2537-2538 นั่นเอง และฉันก็สะสมผลงานมาได้เรื่อยๆจนปัจจุบัน

 

 


บ้านดุง2538

     ตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปีพ.ศ.2538  ฉันวุ่นวายกับการทำงานหนัก ของการดูแลคนไข้ที่นั่น เป็นช่วงที่เปลี่ยนผู้อำนวยการใหม่ และมีแผนการปรับปรุงโรงพยาบาลใหม่ๆ พี่ผอ.จะชอบเรียกประชุม และไม่สนใจเรื่องคนไข้นัก เพราะการทำงานแบบปฏิรูปนั้นเป็นงานใหญ่และต้องอาศัยความสามารถสูง ฉันจึงต้องทำงานกับคนไข้แทนพี่เขาตลอด มีน้องอีกคนที่สนิทสนมกัน เขามีงานมากทั้งบ้านและคลินิค เขาก็วุ่นวายมาก แต่เราก็ปรับตัวกันได้ และทำงานหนักๆเหล่านั้นมาโดยไม่โวยวายอะไรมาตลอด 

 

 
  ฉันพบกับน้องแพทย์ใช้ทุน อายุ 25 ปี ขณะนั้น ฉันอายู 33 ปีแล้ว เขาจบจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ท่าทางมั่นใจในตนเอง วันแรกที่มาฉันไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงแต่นึกดีใจที่มีน้องมาช่วยงาน
แต่ก็หนักใจเล็กน้อย เพราะเขาต้องอยู่ในความดูแลของฉัน เขาหน้าตาหล่อน่ารักดี มาดเข้มด้วย

     ผู้อำนวยการพาไปรับประทานอาหารที่ร้านหน้าโรงพยาบาล เป็นการเลี้ยงต้อนรับน้องแพทย์
ฉันรู้สึกชอบใจเขามากขึ้น เพราะเขาตรงไปตรงมาและแสดงความคุ้นเคยด้วยง่ายตอนขากลับ
เขาเดินมาส่งฉันถึงบ้านพักและฉันก็ออกปากเอื้อเฟื้อให้เขามาใช้ห้องรับแขกดูโทรทัศน์และ
ใช้ห้องครัวได้และเขามีกำหนดการอยู่ที่บ้านดุง 4 เดือนเท่านั้น


     ฉันแน่ใจว่าเขาเริ่มงานเร็วมากวันรุ่งขึ้นก็มีสภาพแวดล้อมภายนอกแปลกๆที่สนับสนุนให้ฉันคุ้นเคย
กับเขามากพอที่จะแสดงเป็นคนรักกันได้ แม้ฉันจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ฉันคิดว่า
เขาถูกกำหนดมาทำงานร่วมกับฉัน แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะยั่งยืนอะไร เพราะเขาอายุน้อยกว่าฉันมาก(8 ปี)
จนฉันไม่เคยมีความคิดใดๆนอกเหนือจากนั้น นอกจากความรู้สึกที่ว่า เขาน่าจะใช่ ในเวลาต่อๆมา

     ต่อมาเขาเริ่มบอกความจริง ว่าคนที่จะเป็นคู่ของฉันจริงๆแล้วคือเขา ฉันอาจคิดไปเองว่าเขาบอก
แต่ความจริงดูจากภายนอกเขาก็ไม่ให้ความเคารพฉันแบบรุ่นพี่ ราวกับเป็นรุ่นเดียวกันและฉันเป็นรอง
แต่เขาไม่ใช่ด็อคเตอรในฝันที่ฉันเคยใฝ่ฝันถึง  และรู้สึกสะเทือนใจที่ไม่เป็นไปดั่งความฝันทีเคยฝันมา
ถึงสะพานข้ามดาวอันแสนโรแมนติคเรื่องนั้น (คงจำกันได้ว่า ฉันมีชายในฝันทำให้มีกำลังใจเสมอๆ)
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องสนิทสนมกันโดยปริยายเพราะเขาเริ่มเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตฉันมาก
ขึ้นเรื่อยๆ และฉันก็เริ่มยอมรับเขาได้ และคุ้นเคยกับเขาในไม่ช้า เพราะดูเขารู้จักฉันดีมาก 



 เขาเป็นคนแปลกๆที่มีหลายบุคลิกภาพในตัวเอง และ
ถือความสนิทสนมกับฉันมากกว่าปกติ
ฉันไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นเด็กรุ่นน้องด้วย แต่ในที่สุดฉันก็คิดว่า คงจะสร้างวงเวียนกรรม ว่าเข้ำไปนั่น หรือมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับจิตวิทยาเกี่ยวข้องกับเรื่องความรัก ที่ฉันเคยทุ่มเทอ่านมาตั้งเยอะแยะ แต่ตอนนั้นฉันถือว่าทุกสิ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ จึงดำเนินงานต่อไปได้ อย่างเบลอร์ๆ(งานในใจ)
และแล้วแต่เขาจะชักนำไปในแต่ละวันตามคำบอกเล่าหรือคำสั่งจากสิ่งแวดล้อมและสื่อสารต่างๆ

     ฉันตัดสินใจยกเลิกความรักนวลสงวนตัว เพราะไม่เช่นนั้นการทำงานของฉันจะมีอุปสรรค
นั่นอาจจะเป็นเพราะเรื่องเซ็กส์มาเกี่ยวข้อง คิดว่าอย่างนั้นเพราะฉันก็เป็นมนุษย์ผู้หญิงธรรมดา
ฉันคิดว่าเพราะมีความห่างเหินกันมากเกินไปทำให้เราไม่เหมือนคนรักกันอย่างแท้จริง แม้ว่ามีบางอย่างที่บอกตัวเองว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ควรจะเป็น หรือตามความเหมาะสม แต่ฉันก็ยอมทำตัวใกล้ชิดมากและได้เปลี่ยนบุคลิกภาพไปเป็นเด็กลงและคล่องแคล่วขึ้น ให้สมดุลย์กับวัยหนุ่มของเขาตามปกติและเมื่อคบหากันสนิทขึ้นฉันก็เริ่มชอบเขาจริงๆเราได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
อย่างใกล้ชิดสนิทสนมตลอดระยะเวลา4 เดือนนั้น จนฉันไม่อยากให้เขาจากไปไหน ฉันเริ่มสับสนระหว่างชีวิตจริง ความจริง การทำงานและความฝัน ฉันคิดว่าเขาจะอยู่กับฉันที่บ้านดุงตลอดไป แต่ฉันก็มีลางสังหรณ์ประหลาดว่า
ความรักที่ฉันเคยหวัง จะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันเคยฝันเอาไว้……………

 

     ในระหว่างที่เขามาคลุกคลีกับฉันตลอดเวลา4เดือนนั้นมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นกับจิตใจและวิญญาณ
ของฉันมากมายทั้งในทางดีและร้ายและเรากินข้าวด้วยกันทั้งมื้อกลางวันและเย็น บางวันก็กินข้าวต้มตอนเช้าด้วยกัน บางเวลาฉันรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนรัก
แต่เขาก็ถอยห่างออกไปรับบทแพทย์ใช้ทุนตามธรรมดา ฉันต้องแบ่งภาคหลายภาคตามเขา
เพราะเขาเป็นหลายคนเหลือเกินในตัวคนเดียวนั้น เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างที่ฉันได้สัมผัส

 

     ฉันเฝ้าหวังว่า ฉันจะมีความสุขสมใจเสียที แต่เขาก็ไม่ทำให้มันเป็นจริงขึ้นได้
ราวกับทุกสิ่งในเรื่องนี้เขาเป็นผู้กำหนด
โดยฉันไม่มีสิทธิร้องเรียนใดๆได้นอกจากทำตามที่เขา
และคนอื่นๆบอก(คนภายนอก)ซึ่งทำให้ฉันเครียดมากและสับสนในใจมากขึ้นเรื่อยๆ
รู้สึกว่าเบื่อหน่ายต่อการมีชีวิตแบบนั้นเต็มทน
ฉันต้องอยู่กับเขาตลอด เหมือนเป็นกฎเกณฑ์
ที่ฉันคงกำหนดขึ้นเองโดยฟ้าเบื้องบนกำหนดมาให้เป็นความคิดตลกจริงๆบางทีฉันก็อยากมา
ช็อปปิ้งบ้างแต่ก็มาไม่ได้ฉันแทบไม่ได้เข้าเมืองเลยยังกับอยู่ในค่ายกักกันตอนนั้นฉันยังซื่อและคิดว่า
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำสั่งจากสวรรค์อย่างเคร่งครัดแต่จริงๆแล้วหงุดหงิด
และขัดใจมากอยากจะร้องกรี๊ดๆและ
ได้แต่ร้องไห้ด้วยความกดดัน

     มีความสุขอยู่บ้างในการคบกันของเราเช่น

-เราปลูกดอกไม้ด้วยกัน เขามาช่วยรดน้ำต้นไม้และดูแลสวนเล็กๆของเรา ดุจดั่งพ่อบ้านผู้แสนดี เวลานั้น
เขาจะมองฉันอย่างอ่อนโยนและเป็นห่วง(เพ้อเจ้อไปเอง)
-ฉันมีเพื่อนไปตลาดและเราทำกับข้าวกินกันเอง เหมือนชีวิตคู่รักคู่แต่งงาน
บางทีเขาก็ไปดูเสื้อผ้ากับฉัน…และจ่ายตลาดกับฉัน…อย่างสนิทสนม….
-เราดูโทรทัศน์และรับประทานอาหารปิ่นโตด้วยกันทุกเย็นเป็นความสนิทสนมมากขึ้น
 เพราะได้พูดคุยกันหลายเรื่อง…ใกล้ชิดกัน…..
-เขาหัดขับรถกับฉันและเราได้นั่งรถด้วยกันทางสายออกจากอำเภอ
ซึ่งทำให้ฉันสบายใจและผ่อนคลายขึ้น…..เป็นเวลาที่ฉันชอบมากและสบายใจ…
.-เราเลี้ยงสุนัขด้วยกัน ชื่อ โบโบ้ เป็นสุนัขพันธุ์บางแก้วที่อ้วนกลมน่ารักมากของฉัน
เขามาช่วยอาบน้ำและหาเห็บหมัดให้มัน ซึ่งระยะเวลาเหล่านี้เขากับฉันจะถูกเนื้อต้องตัวกัน
ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจ เหมือนเราเป็นพ่อแม่…ของโบโบ้…

     

  ช่วงนั้นฉันต้องทำงานและออกสมาคม ไปประชุมต่างๆมากมาย มีความเครียดสูง
และไม่สมใจในความรัก ทำให้ฉันเหนื่อยและอ้วนมาก 62 ก.ก. ซึ่งฉันมีชีวิตอยู่วันต่อวัน
และANALYSISตัวเองแทบทุกวัน ซึ่งเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยหัวใจมาก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
การปฏิบัติธรรม และการฝึกหัดทำลายกิเลสมารต่างๆที่มีอยู่ในตัวเอง……เป็นงานหลัก……
ซึ่งความจริงฉันไม่ใช่คนธรรมะๆธรรโมๆแต่อย่างใด แต่สำนวนฉันเริ่มไปทางนี้มากขึ้น...

 

     ฉันแทบไม่เชื่อว่า เขาจะจากฉันไปได้ แต่เมื่อครบกำหนดเวลาเขาก็ไปไปโดยสภาพที่ควรไป
และมีน้องแพทย์ใช้ทุนเพื่อนของเขามาอยู่แทนตามระบบที่ควรจะเป็น เป็นธรรมดาจริงๆ แต่ฉัน
กลับคิดไปว่าคำสัญญาและความฝันของฉันถูกโยนทิ้งอย่างไม่มีใครสนใจใยดี ทำให้ฉันเจ็บปวดมาก
ไม่มีใครเห็นอกเห็นใจฉันแม้แต่น้อย…ช่างว่างเปล่าเสียจริงๆ……
นี่คือชีวิตจริง

 

     ฉันเริ่มมีโทสะอันแรงกล้า และสาบส่งทุกๆคนในโลกนี้ที่หลอกลวงฉัน
เล่นกับความฝันของฉันอย่างโหดร้ายที่สุด ฉันอธิษฐานไว้หลายอย่าง ซึ่งล้วนแต่รุนแรง
ส่วนภายในของฉันปวดร้าวและแหลกสลายยับเยินอีกครั้ง อย่างเดียวที่ผิดไปจากอดีตคือ
ฉันเสื่อมศรัทธาต่อโลกมนุษย์นี้และต่อผู้คนทั้งหลาย รวมทั้งเรื่องผู้ชายที่เข้ามาในชีวิต
และนั่นเป็นจุดที่ทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตใจอย่างถาวร ทำให้ฉันลุ่มๆดอนๆ
และอยู่ในสถานภาพของคนที่ไม่มีอนาคตและมั่นใจในสิ่งใดๆได้เลย แถมเป็นโรคจิต
ในสายตาของโลกปกติเสียอีก ต่อมาฉันสูญเสียไปเกือบทุกอย่างเพราะความเชื่อเหล่านี้
นี่คือบทเรียนแรกที่ฉันได้รับ กับการเสียสละทุกอย่างของฉัน
ที่มีที่มาจากความศรัทธา

     แต่หลังจากเขากลับไปอยู่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี…ฉันก็ต้องติดต่อกับเขาอีกจนได้
เพราะเขาเป็นคนเดียวที่จะบอกใบ้อะไรฉันได้บ้าง ถึงงานที่ทำอยู่ ฉันยังบ้างานอยู่เลย
และเป็นงานที่มีที่มาจากความเชื่อในสิ่งที่เหนือโลกต่างๆ
คิดว่ามีหน้าที่บางอย่างโดยเฉพาะการเป็นคู่ครองกัน ที่เราต้องทำขึ้นมาไว้ให้เป็นตัวอย่าง
ถึงตอนนั้นจะงงๆเบลอร์ๆแต่ก็ยังมีความประสงค์ดีต่อทุกๆคน 
มีการยุยงจากภายนอกให้ฉันมีแฟนใหม่…แต่ฉันไม่เอาด้วย….แค่นี้ก็ยุ่งเต็มทนแล้ว
ภายนอกนี้ฉันหมายถึงญาณอะไรสักอย่างที่ฉันรับได้ จากเบื้องบนกระมัง แต่จริงๆ
ใครๆก็สนับสนุนให้ฉันเข้าวัดเข้าวาและเป็นสาวแก่ที่มีความสุข น่าขันจริงๆที่ฉัน
ไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้นเลย คิดว่าจะต้องแต่งงานตลอดเวลา ช่างน่าสงสารจริงๆ

 

     ไม่นานนักสัมพันธภาพระหว่างเขากับฉันก็เริ่มดำเนินต่อไป…ฉันยังคงเชื่อว่า…
เขาเป็นคู่ครองของฉัน
ไม่ใช่คนอื่น และเขารักฉันจริงๆเราจะต้องได้แต่งงานกัน.ซึ่งฉันคาดว่า
คงอีกไม่นานนัก…ฉันยังคงไว้วางใจเขาอยู่…และทำงานตามหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ...
แต่ความเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย…และฉันก็ต้องปรับตัวกับระบบการทำงานใหม่…
ชีวิตช่วงนั้นมันยุ่งเหยิงสิ้นดี…..ฉันเหนื่อยมากและรู้สึกเคว้งคว้าง แต่ก็ยังคงความเข้มแข็งเอาไว้
และใช้ชีวิตส่วนหนึ่งกับการเดาอนาคต และเจ็บปวดกับอดีต ส่วนปัจจุบันก็คงเป็นไปเรื่อยๆ
ภายใต้ความกดดันอย่างสูงในเบื้องลึกเหล่านั้นยังมีเรื่องบางสิ่งที่ฉันคงจำได้อีกบ้าง….คือในเวลานั้น
ฉันได้สลัดความเป็นตัวตนเก่าๆทิ้งไป และเริ่มรู้จักคำว่า “เรา” แต่ในความเป็นเรานั้น
มีข้อบกพร่องหลายประการแต่ถึงอย่างไรฉันก็เชื่อว่าฉันมีคู่ร่วมทุกข์สุขแล้วนับแต่นี้ต่อไป
ฉันจะไม่มีวันเดียวดายอีกแล้วฉันเชื่อเช่นนั้นจริงๆ

 

     ฉันเริ่มสะสมอารมณ์โกรธไว้พอๆกับอารมณ์รัก เพราะฉันหงุดหงิดง่ายขึ้น และต้องทำงาน
ออกงานบ่อยๆ ฉันยังจำได้ว่า เขาเคยมองดูฉันด้วยความเป็นห่วง ขณะที่มารดน้ำต้นไม้ให้ฉัน
ช่วงตอนเย็น ฉันยังรู้สึกเข้มแข็งดีอยู่และคงมีกำลังใจดี… แม้จะมีเรื่องสารพัดเข้ามา
เพราะส่วนมากฉันก็ฝากชีวิตไว้กับเขาแล้ว ด้วยเชื่อว่าเขารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่…

 

     ฉันร้องไห้บ่อยมาก กับความรู้สึกกดดันในความรักและการตัดสินใจบางอย่างที่ขัดแย้งกัน
ฉันนึกถึงเวลาที่ฉันเคยทำงานหนักและเสียสละแทบทุกอย่างเพียงขอแค่ความรักและ
ความสุขของครอบครัวมาเป็นกำลังใจเท่านั้นก็กลับไม่เหมือนที่ฝันไว้แล้วต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
ซึ่งไม่ใช่รางวัลที่ฉันต้องการแม้แต่น้อย ฉันเคยทะเลาะและงอนกับเขาบ่อยๆ แบบผู้หญิงอื่นๆ
แต่ในที่สุด ฉันก็รู้เองว่า งาน สำคัญที่สุด…และฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
นอกจากปล่อยมันไปตามเวรกรรม ….งานที่ทำด้วยกันทุกวันนั้นก็ดั่งสร้างเวรกรรมต่อกัน
เชื่อมโยงเป็นชาติภพนับอนันต์ ซึ่งเขาจำได้มากกว่าฉันด้วยซ้ำไป ในความรู้สึกบอกตนเองเช่นนั้น
เพราะฉันจำเป็นต้องตัดความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกทั้งเกลียดและรักให้หมดไปในแต่ละชาติ
ิเพื่อการเกิดใหม่ในกาลต่อมาที่วังวนสังสารวัฎจะแสดงบทบาทของมันเอง 

     ฉันรู้สึกถึงความเครียดที่เพิ่มขึ้นทุกวัน อันมาจากความใกล้ชิดสนิทสนมและเสน่หาตามธรรมชาติ
จนฉันคิดว่า อีกไม่นานคงได้แต่งงาน…ฉันยอมปล่อยใจให้กับการมีส่วนร่วมเรื่องเพศตรงข้ามกับเขา
แม้ว่าจะไม่ปล่อยกายแต่ก็เสมือนว่าฉันยอมตกลงกับเขาแล้ว……
เหตุนี้ทำให้ฉันเจ็บปวดมากในเวลาต่อๆมา…ซ้ำๆซากๆ…จนบัดนี้

 

     ความเครียดกดดันต่างๆ ถูกระบายออกในงานสังคมที่ฉันโชว์ตัวมากกว่าปกติผิดวิสัยเดิม
และกร้าวขึ้นมากทีเดียว…และโดยการแสดงความรังเกียจต่อรองผู้กำกับที่มาประพฤติตนเป็น
เฒ่าหัวงูกับฉันกว่าฉันจะจัดการกับท่านผู้ใหญ่ท่านนี้ได้ก็ต้องอาศัยจิตวิทยาชั้นสูงและความ
บริสุทธิ์จริงใจจริงจัง อันเป็นงานยากเล็กๆอันหนึ่งที่ฉันต้องทำด้วยในช่วงนั้น…น่าเบื่อไม่น้อย..

 

     ฉันรู้สึกไม่พอใจรองผู้กำกับและเห็นว่าผู้ชายช่างเป็นเพศที่เอาเปรียบมากจริงๆ
ฉันขมขื่นกับอดีตที่ผ่านมาและทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อเอาชนะเพศชายและเหยียดหยันพวกเขา
อยู่พักหนึ่งแล้วรูปแบบก็ออกมาทางการข่มขู่โดยอำนาจของเซ็กส์และการยั่วยวนที่มีความโกรธ
อย่างแรงกล้าเป็นพื้นฐาน
ฉันเข้าใจผู้หญิงแบบเจ้าหญิงไดอาน่า,มาดอนน่า ได้ดีขึ้น
และผู้หญิงทำงานที่แข็งกร้าว ก็มักจะมีสาเหตุมาจากความล้มเหลวเรื่องความรักทั้งนั้น

 

     กับเขา มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นทางกายและใจ แต่ฉันแทบไม่รู้จักเขาเลย
เขาเป็นตัวแทนของผู้ชายโลกใหม่หลายๆคนในตัวคนเดียวที่ทำให้ฉันสับสนเขาอาจจะเป็นได้
ตั้งแต่เจ้าชายจนถึงมนุษย์ต่างดาว
มีแต่ความรักเท่านั้นที่ทำให้ฉันทนต่อสภาวการณ์เช่นนั้น
ฉันปรับตัวให้เข้ากับเขาให้ได้ทุกรูปแบบ นี่เป็นงานหลักที่ ร.พ.ร.บ้านดุงช่วงที่เขามาอยู่ด้วย 

 

     ฉันต้องเปลี่ยนบทบาทบุคลิกภาพเป็นหลายๆบุคลิกภาพมากมาย
เพื่อนำไปสู่ความสุขในคู่รักแต่ละคู่ที่ทำขึ้นมาให้ได้
เพราะฉันชอบการจบลงด้วยความรักกันตลอดไป…….
พยายามปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับเขาให้ได้ตลอดเวลาเหล่านั้น
แต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว…และฉันเริ่มสับสนกับความเป็นตัวของตัวเอง
ว่าอะไรคือตัวตนที่แท้จริงของตนเอง คนไหนกันแน่ที่คือฉันจริงๆ
ฉันเปลี่ยนไปมาก…….จนจำตัวเองไม่ได้แล้ว…ฉันเริ่มไม่ค่อยเชื่อถือเขานัก
 เพราะเหตุการณ์ในชีวิตจริง เขาก็ยังคงเป็นแพทย์รุ่นน้อง แต่ในบางสิ่งที่นอกเหนือจากนั้น
เขาก็เป็นคนที่มีฐานะเสมอกับฉันหรือสูงกว่า……ตามบทบาทที่เขาจะกำหนดขึ้นมา…..
และฉันมีความสุขไม่เต็มที่เลยกับความรักเหล่านั้น และแม้จนกระทั่งบัดนี้
 
เป็นความรู้สึกที่กดดันจนฉันต้องปล่อยวางไปเอง……

 

     ฉันเคยบอกเขาว่า วัดกันที่ใจก็แล้วกัน กับสถานการณ์กดดันต่างๆที่ฉันไม่เข้าใจมัน
อย่างถ่องแท้นักหนา แต่ฉันก็อดทนและอยู่ในค่ายกักกันนั้นดุจชายชาติทหารคนหนึ่งมาได้
จนครบกำหนดและไม่เคยตระบัดสัตย์…..ฉันยังจำเพลง…เพื่อนกัน…แบบร็อคได้ดี…
.เขาเคยจับมือฉันอย่างคุ้นเคยเวลาทำกับข้าวด้วยกัน เคยเบียดกายแนบชิดเวลาทำงานกับคนไข้ เช่น
ช่วยผ่าตัด หรือตรวจภายใน ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นและมีความสุขอย่างมาก ราวกับเคยเป็นคู่สร้างมา..
แต่ก็ยังมีสติสมาธิในการทำงานอยู่ดี แต่ยิ่งทำให้ฉันเชื่อแน่ตามจิตหลอนของฉัน ที่เข้าใจไปเองว่า
เขาคือคนที่ฉันจะต้องแต่งงานด้วยเป็นแน่แท้ เพราะในโลกนี้มีเขาเพียงคนเดียวที่ทำขนาดนั้น
เราเคยทำสวน ปลูกต้นคุณนายตื่นสายด้วยกัน และฉันขอให้เขามาอยู่กับฉันตลอดไป หลังจากครบ
4 เดือนนี้แล้ว เขาก็พยักหน้ารับ ทำให้ฉันแน่ใจขึ้นอีกมาก

 

     ฉันจำได้ว่าบางทีเขาช่างเหมือนคนรักเก่าๆของฉันแต่ฉันก็ยังคิดในแง่จิตวิทยาว่าเขาต้อง
รับบทบาทเหล่านั้นเพื่อแก้ปมปัญหาหัวใจให้กับฉัน ฉันรู้สึกว่าเขาสงสารฉัน และเศร้าไปกับฉัน
เราเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันจริงๆ ฉันคิดเป็นจริงเป็นจังเช่นนั้นเลย

 

     เขาเคยทำไข่ขยี้ให้ฉันกินอย่างง่ายๆ ฉันลอบชำเลืองดูหน้าเขาขณะที่เราอยู่หน้าเตาไฟด้วยกัน
เขาดูเหน็ดเหนื่อยและตั้งอกตั้งใจกับงานที่ทำ ฉันจึงโอบเอวเขาไว้เชิงปลอบประโลมใจ ไฟแรงไม่เบา
แต่ไม่มากกว่านี้หรอกค่ะ และฉันรู้สึกลึกซึ้งกับเขามากขึ้นด้วยความสงสารจริงๆ…

 

     บางครั้งเขาเอ็นดูฉันมากเหมือนดูน้องสาวน่ารัก..และหยอกล้อฉันเล่น แต่ฉันสังเกตว่า
เขามักพูดถึงงานเสมอ ช่วงนั้นฉันคิดว่าเราทั้งสองคงจะอยู่ที่อ.บ้านดุงด้วยกันตลอดไป
และโรงพยาบาลอาจจะกลายเป็นสถาบันทดลองว่าด้วยเรื่องความรักและการอยู่ร่วมกัน
ภายใต้การวิจัยอย่างวิทยาศาสตร์ ที่น่าจะมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการมากมาย ดูความฝันสิ
วิสัยทัศน์ของฉันก็มีเฉพาะเรื่องในชีวิตเดิมๆที่ฉันเคยพบมา..เท่านั้น

 

     เขาเคยบอกฉันในงานเลี้ยงต้อนรับเขาและเจ้าหน้าที่ใหม่ วันนั้นเขาเบียดไหล่เคียงคู่ฉันตลอดงาน
และจัดผักในจานเหมือนสะพานและจุดเทียนคล้ายเป็นนัยที่บอกกล่าวถึงความพลัดพรากและฉันต้อง
เอาตัวรอดได้ด้วยปัญญา…เขาเคยบอกว่า “พี่รอผมนะ” ซึ่งฉันก็ตอบอย่างหนักแน่นว่า”พี่จะรอ”
ซึ่งความเป็นคนจริงจังของฉันทำให้ฉันมัวแต่รอเขาอยู่จริงๆจังๆ ฉันไม่ทราบว่าฉันฟังผิดหรือไม่

     ในที่สุดเขาก็อยู่ครบกำหนด 4 เดือน และจากไปจริงๆ วันที่เขามาลากลับโรงพยาบาล
ฉันมึนงงไปหมด แต่ยังอุตส่าห์หวังว่าอีก2วันเขาคงมา และชีวิตฉันคงเปลี่ยนแปลงไป
แต่ไม่เป็นความจริง ทุกสิ่งเหมือนเดิม มีเพื่อนของเขามารับหน้าที่แทน
ขาไม่มาที่บ้านดุงอีกเลย…นับจากนั้น ถ้าไม่นับโอกาสที่เขาแวะมาเยี่ยมเพื่อนและ
แม่ครัว
ในช่วงที่ฉันไม่อยู่……ฉันงุนงงสับสนจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ช็อคและชาไปหมด
เขากลับเป็นรุ่นน้องที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆเป็นพิเศษกับฉันอย่างที่ควรเป็น…
หลังจากสิ่งที่ฉันกล่าวมาแล้วทั้งหมดในตอนต้น..เขาทำลงไปได้อย่างไร…
ในที่สุดฉันก็โกรธและเสียใจอย่างสุดซึ้ง คิดว่าเขาคงมีคู่อยู่แล้ว นี่ก็คิดเอาเองอีก(จริงๆไม่มี)
และถูกส่งมาทำงานกับฉันชั่วคราวโดยการหลอกให้หลงเชื่อ..เขาเลวมากจริงๆ…
ฉันเริ่มเกลียดชังการทำงานแบบที่ผ่านไป
ละจะไม่ยอมรับเด็ดขาด เมื่อศรัทธาขาดไป
โลกก็ดูแปลกประหลาด เหมือนคนทั้งโลกเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ไร้จิตใจ
และฉันเป็นเหยื่อทดลอง…ฉันกลับบ้านที่อุดร…แต่เครียดและครุ่นคิดคนเดียวเงียบๆ
และตัดสินใจไปหาเขาที่โรงพยาบาลอุดรธานี เห็นเขาอยู่เวรห้องฉุกเฉิน
และมีความแปลกๆบางอย่างในบรรยากาศ คล้ายกับอยู่ต่างโลกที่มีแต่มนุษย์ต่างดาวใจร้าย
เขาพาฉันไปนั่งพักที่ห้องพักแพทย์…ฉันเริ่มบอกเขาถึงเรื่องหูแว่ว….มีเสียงในสมองฉัน…เพราะ
ฉันไม่รู้จะสื่อสารกับคนอื่นๆอย่างไรเกี่ยวกับประสบการณ์เหล่านี้ ฉันไม่เคยรู้เรื่องการปฏิบัติฝึกจิตเลย
นึกขึ้นมาทีไรก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คือด้านจิตเวชเสียทุกครั้งไป ยอมเป็นคนบ้าก็ยังเคย
เขาก็แนะนำให้ปรึกษากับจิตแพทย์…แต่กำลังใจฉันก็ดีขึ้น จนรู้สึกสดใสไปงานเลี้ยงได้ในวันรุ่งขึ้น……

 

     ฉันเคยอยู่ในภาวะอารมณ์ที่ตึงเครียด มีฤทธิ์โทสะแรงกล้า และได้เดินทางลึกลงไปใน
จิตใจของตัวเอง ลงไปในสัญชาติญาณการทำลายล้างของตัวเอง บางทีฉันก็ตรวจคนไข้ไม่ดีนัก
ถูกบดบังด้วยความหลงต่างๆจนมืดมัวลง และมีความตึงเครียดหมกมุ่นมาก
แต่ลึกๆฉันรู้สึกถึงความเป็นฆาตกรของตัวเอง…แต่ก็ยังอาการไม่หนักมาก
ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดกับอาชีพและผู้ป่วย  ถ้าทำผิดฉันจะร้อนวาบและใจหาย ทำไม่ได้

  วันหนึ่งฉันหยิบมีดปลายแหลมขึ้นมา และเกิดความรู้สึกอยากจะทำร้ายตัวเอง
มีความเก็บกดสูงมากในเวลานั้น แต่ในที่สุดฉันก็วางมีดลง และพยาบาลตามฉันไปดู
คนไข้โรคหัวใจวาย แม้ฉันจะยังรู้สึกไม่ดีนักแต่ก็ไปดูตามหน้าที่
 แล้วฉันก็รู้สึกดีขึ้นจนไปร่วมงานเลี้ยงของโรงพยาบาลได้….ตามปกติ…

 

 ฉันได้รู้ว่าความรู้สึกสัญชาติญาณดิบด้านมืดของมนุษย์เป็นอย่างไร
และอาชญากรรมต่างๆเกิดได้ด้วยความรู้สึกแบบใด 

ที่ชัดเจนที่สุดคือความเกลียดชังอย่างยิ่งต่อทุกสิ่งในจักรวาลนี้
 ไม่มีสิ่งใดเป็นที่หวังและไม่แคร์ต่ออะไรทั้งสิ้นแม้แต่ตน…

 

 

 


 

บ้านดุง2539

     หลังจากเขาจากไปแล้ว ฉันเหงามากและคิดว่า ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับความรักอีกแล้ว
แต่ก็ยังติดต่อทางโทรศัพท์กับเขาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในใจยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่า จะมี
ปาฏิหารย์เกิดขึ้น และก็เกิดขึ้นจริงๆ


     
     วันนั้น เป็นคืนวันที่ 5 มกราคม 2539
คืนวันนี้ ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ราวกับอยู่ในโลกใบใหม่ที่อยู่เหนือความรู้เดิมของฉัน
มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น
ประมาณ 02.00น.ของคืนวันนั้น ฉันถูกปลุกกลางดึก โดยกระทันหัน ด้วยมนตราอย่างหนึ่ง
ฉันได้ยินเสียงของผู้ชายที่คุ้นหูว่าเป็นเสียงของเขาที่บ้านดุงคนนั้น เป็นเสียงที่ไม่ได้เหมือน
ทีเดียวนัก แต่ฉันเคยได้ยินอย่างแน่นอน ว่าเป็นเสียงเขา มาตามคลื่นภายในหรือจากจิตสู่จิต
แต่คุณภาพนั้นราวกับดังลั่นอยู่ในสมอง ลักษณะของโทรจิต คือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในเวลาต่อมา
ระยะแรกฉันคุยโต้ตอบกับเสียงแห่งจิตนั้นภายในใจ นึกเอาและฉันไม่ได้ยินเสียงของตัวเองมา
โดยตลอด เป็นคลื่นที่แผ่กระจายแต่ฉันคิดว่าฉันได้ยินเพียงคนเดียว เป็นเสียงชายหนุ่มจริงๆ
ไม่ใช่เสียงของพระเจ้าแบบที่เคยได้รู้จากคนไข้จิตเภทบางคน 
       

    เนื้อหาของคำพูดเหล่านั้นมีแปลกๆหลายอย่างที่น่าทึ่งและเป็นคำประเล้าประโลมแต่มีความกังวล
อยู่ในเสียงนั้นด้วยเนื้อความก็ราวกับหนุ่มมาหลอกสาวเล่นเพราะเต็มไปด้วยคำหวานแต่หยาบๆแบบ
เซ็กส์ๆ
แต่ฉันก็ตื่นเต้นกับมันจนเกินกว่าจะหงุดหงิดกับเนื้อความเหล่านั้น เขาบอกอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง
 ซึ่งดูกำกวมและดูเป็นเรื่องอนาคตมากกว่า ฉันต้องมีสมาธิอยู่ตลอดเวลาเพื่อติดต่อกับเขา

 

     ฉันมีเซ็กส์ชนิด ON LINE กับเขาแบบที่ฉันเคยรู้จาก INTERNET คือการโอ้โลมกันด้วยคำพูด
ไม่ใช่การร่วมรักจริงๆจังๆแบบมีตัวตนอะไร ในขณะนั้น ฉันรู้แต่นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ครั้งใหญ่ของโลก
และอยู่ท่ามกลางความรู้เห็นของคนอื่นๆฉันคิดเองกระมังแต่ราวกับหลายๆคนสนใจในเรื่องปรากฏการณ์
แบบนี้แต่ฉันก็ไม่สนใจตรงนั้นมันสำคัญที่เป็นเสียงของเขาฉันสาละวนกับการเดาที่มาของเสียงต่างๆ
นานาเช่นเป็นเสียงจากคอมพิวเตอร์หรือเสียงของผู้ชายคนอื่นๆหรือเสียงของกรรมการกลางที่เซ็งแซ่กัน
ฉันงงและคิดว่ามีกรรมการกลางเป็นเซ็นเตอร์ควบคุมอยู่ณที่ใดที่หนึ่งเพื่อทำการทดลองกับฉันฉันสับสน
ด้วยความไม่เคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่า โทรจิต มาก่อน นี่หรือคือสิ่งที่คนบ้าเป็นกัน น่าทึ่งมาก อาการฉันชักแย่
ฉันฟังเขาคุยตลอดคืนจนไม่ได้นอนหลับเลยแต่ไม่อ่อนเพลียอะไรประสาทแข็งไปเลยแต่มันก็เริ่มขึ้นมา
จากความรักและเซ็กส์จึงน่าจะเกี่ยวข้องกับคู่ครองอย่างแน่นอน
ฉันหลับตามองเห็นแผ่นสีแดงเต็มจอตา
สว่างไสว มีจุดดำอยู่ตรงกลาง แผ่นสีแดงนั้นดูเวิ้งว้างครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้ากระนั้น ไม่เคยเห็นมาก่อน
ฉันไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับสมองของฉันแต่ฉันพอจะรู้เกี่ยวกับสมาธิและการเห็นสีต่างๆในนิมิต ไม่นึกว่าตนเองจะมีโอกาสได้เห็นเช่นนั้น แสงนั้นสว่างมากแต่ไม่มีผลต่อสายตาที่ทำให้ตาพร่ามัวแต่อย่างใด

 

     ฉันจึงสรุปว่าคงเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งระยะแรกฉันคิดว่าเป็นเรื่องของคอมพิวเตอร์ที่ใดที่หนึ่งที่ส่ง
คลื่นมาบังคับที่สมองของฉัน ฉันถามเขาหลายครั้ง แต่ละครั้งเขาให้ฉันเดาคำตอบเอาเอง ไม่บอกอะไร
ซึ่งก็ไม่พ้นนิยายวิทยาศาสตร์และการวิจัย…….ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก…..แม้จะไม่รู้อะไรเลย..เป็นสิ่งใหม่มาก
เพราะฉันคิดว่าเรื่องนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น…….คำตอบที่ฉันหาเอาเองมีแปลกๆหลายหลากมากมายจริงๆ
เท่าที่ความรู้และจินตนาการของฉันจะไปถึง...ซึ่งมักจะไปทางเทคโนโลยี่เสียมากกว่า ฉันไม่เคยรู้ว่าการปฏิบัติในศาสนาพุทธก็อาจจะพบเช่นนี้เหมือนกัน เพราะฉันไม่เคยศึกษาอย่างละเอียดด้านนี้ หรืออาจจะเป็นอภิธรรมก็ไม่แน่ใจ
เป็นอันว่าฉันเริ่มติดต่อทางโทรจิตกับเขาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 



     ช่วงเวลานั้น
ฉันกลับมาที่บ้านในสถาบันราชภัฏอุดรธานี……และเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นที่นั่น
วันรุ่งขึ้นเขาขับมอเตอร์ไซค์มาพบฉันถึงบ้าน และดูปฏิกิริยาทั่วไปของฉันขณะเดินไปหาที่เงียบๆคุยกัน
ที่ที่เรานั่งคุยกันคือภาควิชาเกษตร ใต้ร่มไม้ที่ร่มรื่นยามบ่ายๆ เขาชักชวนให้ฉันมาอยู่ที่อุดรธานี
ให้ย้ายจากบ้านดุง  เพราะที่นั่นงานหนัก และไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องกลางคืนแม้แต่น้อย
แต่ทำท่าว่ามารับผิดชอบ 


   ฉันก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาให้ใครทราบเพราะมีเซ็กส์มาเกี่ยวข้องและเป็นเรื่องส่วนตัว
ฉันไม่รู้ว่ามีบรรดานักปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ยินกันทั่วไปเพราะรับโทรจิตสากลของฉันกับเขาได้
แปลกมากจริงๆ……..ฉันมารู้ภายหลังว่าคนอื่นๆได้ยินด้วย โดยเฉพาะท่านเทวะผู้มีฤทธานุภาพ
ทำให้ฉันทรมานใจไม่น้อยกับเรื่องที่ควรจะเป็นส่วนตัวกลับเผยแพร่ให้คนอื่นๆรู้
เพราะฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง...ที่มีความอายตามวิสัยหญิง โดยเฉพาะฉันค่อนข้างรักนวลสงวนตัวมากแบบผู้หญิงไทยสมัยก่อน ทำให้เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นความฝันเพ้อเจ้อของฉันเอง เพราะฝันไปก็เปลืองตัว


     ฉันยังมีความรู้สึกว่าอยู่บ้านดุงดีกว่า…เพราะฉันยังมีโครงการทำอะไรหลายอย่าง
เช่นตั้งแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลบ้านดุงตามที่ฉันเคยตั้งใจเอาไว้………………
และฉันบอกเขาไปอย่างนั้น……ฉันยังคิดว่าเขาอาจจะกลับไปอยู่บ้านดุงกับฉัน…
ไม่เคยคิดว่าจะเป็นอื่น….. ช่วงที่เขาเดินมาส่งฉันถึงบ้าน…เขาก็พึมพำเบาๆว่า “ไม่เห็นเป็นอะไร”
เป็นขณะที่เขาสัมผัสกายฉันจากด้านข้างแบบใกล้ชิด ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากจนไม่คิดกลัวเขาเลย
และคิดว่าอีกไม่นานการแต่งงานคงเกิดขึ้น…และฉันคิดว่านี่เป็นบทเรียนก่อนวิวาห์ที่จะนำมาสู่การเปิด
โลกใหม่ของสาวพรหมจารีย์ทุกคนที่จะรู้เรื่องพลังจิตโทรจิตนี้จากคู่ครองของตนฟุ้งซ่านดีจริงๆน่าอายดี
ีฉันคิดว่าตามปกติแล้วน่าจะมีจริงแต่เป็นเรื่องอุตริมนุสสธรรมแบบหนึ่ง หมายถึงพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตซึ่งถือเป็นเรื่องที่จะไม่พูดออกมาตรงๆ ซึ่งฉันคิดว่าใครพูดออกมาก็คงจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิต
 เพราะอาการเหล่านี้เหมือนกับอาการหูแว่วทางจิตเวชนั่นเอง


     โทรจิตของเขาเริ่มติดต่อกับฉันบ่อยขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ตามฉันไปที่บ้านดุง แต่ใจหนึ่งก็มี
ความสุขมาก เพราะเนื้อความที่เขาส่งมาให้นั้น อ่อนหวานมากเหลือเกิน แต่บางทีก็โป๊มากๆ
มีแต่ความรักอันมากมายที่ฉันไม่เคยได้ยินในความจริง……และฉันเชื่อว่าออกจากใจเขาจริงๆ
เป็นลักษณะการพูดเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
….ฉันเพิ่งรู้ว่าเขาอ่อนหวานได้ขนาดนั้น
นี่แหละ โรคจิตที่เกิดจากเซ็กส์ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงธรรมดาๆอย่างฉันจะมีชายมารักมากขนาดนั้น
แต่ก็เป็นไปแล้วจริงๆน่าประหลาดใจแต่ฉันก็ไม่โทษตัวเองคงจะเป็นเรื่องของธรรมชาติและความ
เก็บกดทางเพศมากเกินไปก็เป็นได้  จากการไม่มีคนรัก ฉันสามารถอธิบายได้เพียงเท่านี้


     สิ่งที่เขาบอกทางโทรจิตในด้านข้อมูลนั้นมักไม่เป็นความจริง หลังจากทดสอบสักพัก 
ฉันก็เริ่มรู้ว่า
เรื่องนี้กับโลกจริงเป็นคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิงเอามาปะปนกันไม่ได้และฉันฝึกฝน
ความทนทานในการรับส่งโทรจิตตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา……….จนคิดว่าตนเองกระจายเสียงเองได้
ในที่สุด
กลางคืน เป็นช่วงที่เราจะติดต่อกันขณะที่ฉันนอนอยู่บนเตียง แต่ก็คุยกันหวานๆไปเรื่อยๆ
ีและก็คิดจินตนาการเรื่องนั้นเรื่องนี้กับเขา หมายถึงความรัก พยายามสอบถามเขาว่าอะไรเป็นอะไร
เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลย…แต่ในที่สุดก็ได้นิทานหม้อใหญ่เอาไว้ให้ทำเล่นกัน หรืออาจจะทำจริงก็ได้
เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่ฉันคาดเดาจากจินตนาการกลายเป็นเรื่องจริง เช่นเหตุการณ์ประหลาดๆที่เกิดขึ้น
หรือสิ่งของที่ฉันบรรยายไว้ในเวลานั้น...ซึ่งฉันจะเล่าให้ฟังภายหลัง...

 

     ฉันเริ่มเหนื่อยและเครียดกับเรื่องใหม่ๆนี้ต้องพยายามคุมสติให้ได้ ต่อๆมาการติดต่อก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
จนฉันแทบจะลืมไปพบตัวจริงเพราะการได้รับโทรจิตจากเขาก็เพียงพอและถูกใจฉันมากกว่ากับคำ
วอนรักแบบนั้น………ที่หวานซึ้งมากเกินหักห้ามใจ ฉันไม่เคยได้ยินคำรักนั้นจากใครเลย ...คิดเอาเองคงไม่ได้แน่ๆ เรื่องแบบนี้...ที่สำคัญภายนอกฉันไม่มีอะไรผิดปกติเลย ทำงานรับผิดชอบได้ตามปกติ

 

     ฉันกลับไปทำงานต่อที่บ้านดุง รู้สึกโลกสดใสขึ้นมาก มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกแล้ว 
ฉันจึงไม่เหงาเลยแต่เมื่อมีเวลาฉันก็ติดต่อกับตัวตนจริงๆในโลกจริงของเขาบ้างเป็นครั้งคราว
ช่วงเดือนมีนาคม ฉันก็ได้ข่าวจากผู้อำนวยการว่า เขาลาออกจากราชการ ใช้ทุน ลาออกไปแล้ว
และไปทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง โดยฉันไม่รู้เรื่องเลย ทำให้ฉันเสียใจและน้อยใจมาก
ในความเป็นจริงฉันเพียงเป็นเพื่อนห่างๆของเขาเท่านั้นเอง…..ฉันโกรธและคิดว่าความหวังที่เรา
จะอยู่ด้วยกันที่บ้านดุงคงเป็นฝันสลายของฉัน…..แต่ฉันก็ยังยืนหยัดอยู่ที่นั่นเพื่อตั้งตัวใหม่
และพยายามเดาเอาว่า เรื่องมันควรจะเป็นอย่างไร ช่วงนั้นฉันรอคอยอยู่เท่านั้น สับสนไปหมดแล้ว

 

     ฉันเริ่มรู้สึกรำคาญเสียงโทรจิต เพราะมันดังมาตลอดทั้งวัน แน่ล่ะที่ฉันปิดจิตไม่ให้รับไม่ได้
จึงเหมือนถูกรบกวนจากการรับฟังข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา ไม่มีเวลาได้พักเลยแม้แต่เวลานอน
ฉันต้องใช้ยานอนหลับ และอ้อนวอนขอวิธีปิดเสียงจากเขา แต่ก็ไม่เป็นผล ฉันตึงเครียดอย่างยิ่ง
ซึ่งต่อมามีผู้รู้สอนให้กำหนดจิตให้อยู่ในสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเสียงจะหายไปเอง

 

     ช่วงนั้นคนไข้เยอะและฉันต้องทำงานหนัก อยู่เวรก็จะต้องมีผ่าตัดกลางดึกบ่อยๆ
ฉันรู้สึกเหมือนสุขภาพจิตย่ำแย่เต็มทน……..ฉันเริ่มสนใจเรื่องเหนือโลกพวกนี้จนไม่เป็นอันทำงาน
ตามปกติ ซึ่งใครๆก็สนับสนุนฉันอยู่ในทีให้ฉันได้ออกนอกโรงพยาบาลไปดูหน่วยงานอื่นๆบ้าง เช่นชม 
ขบวนพาเหรด และการเป็นท่านผู้หญิงของฉันก็ได้นำมาใช้บ้าง ฉันยังคงนึกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกวิจัยอยู่ดี
และเป็นสิ่งที่สำคัญกว่างานอาชีพทำให้ระบบระเบียบการเป็นแพทย์เริ่มเละเทะฉันชักเบื่อชีวิตใน
โรงพยาบาล
ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว……
บางคืนฉันไม่ได้หลับเลย รับส่งกระแสจิตตลอดเวลา จนเบลอร์ๆแต่ก็ยังฝืนไปทำงานได้…..ยังดูแลรับผิดชอบได้ตามที่ควร……

 

     อีกไม่นานหลังจากที่เขาลาออกไปอยู่เอกชนและฉันสิ้นหวังจากความตั้งใจดั้งเดิม
ฉันก็เริ่มหมดกำลังใจแต่ฉันยังยึดมั่นคำสัญญาที่ว่าจะรอเขาอยู่ที่บ้านดุงแต่เขาคงจะไม่รับรู้
เรื่องนี้ได้เลยในความเป็นจริงช่วงนั้นฉันเฝ้าคอยให้มีปาฏิหารย์ที่จะนำเขากลับมาหาฉัน…..
ฉันเริ่มตกอยู่ในสภาวะอันแปลกประหลาดขึ้นทุกวันนับจากเวลานั้น....มีเหตุการณ์ประหลาดมากมาย
หลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งฉันบันทึกไว้ในเรื่องสิ่งมหัศจรรย์และเหตุการณ์แปลกประหลาดตอน mystory3 
ช่วงนั้นอยู่ราวๆเดือนมิถุนายน2539

     หลังจากเหตุการณ์ช่วงเดือนมิถุนายนต่อกับกรกฎาคมแล้ว ฉันเริ่มมีอาการป่วยทางกาย
เหมือนจะหมดเรี่ยวแรง และเริ่มเก็บตัวเงียบๆอยู่ในบ้าน รู้สึกบอบช้ำทางจิตใจอย่างสาหัส
ฉันไม่ยอมกลับบ้านอยากอยู่เงียบๆคนเดียวและเฝ้ามองดูความมหัศจรรย์ต่างๆที่เกิดขึ้นต่อหน้า
ต่อตาหลายประการ ที่อ.บ้านดุงนั้น แต่ส่วนใหญ่ทำให้ชุ่มชื่นขึ้น มีส่วนน้อยที่น่ากลัว ฉันสงบมอง
โลกที่เคยเป็นความฝันอันหลากหลายของมนุษย์ ที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบกับตาของตนเอง


    ฉันรู้สึกอ่อนแรงลงทุกขณะ และไม่สามารถไปทำงานได้เลย ในช่วงเวลาหนึ่ง มีอาการลุกไม่ขึ้น
บางครั้งฉันอาละวาดด้วยความหวาดกลัวในสถานการณ์เหล่านั้น เกรงว่าตนเองจะหลงอยู่ในโลกปีศาจ และฉันไม่ยอมกลับอุดรฯเพื่อพบจิตแพทย์ น้องแพทย์ หมอสุรพงษ์เห็นท่าไม่ดี จึงฉีดHALDOLให้ฉัน จนฉันง่วงนอนมาก และส่งตัวฉันมา โดยการปฏิบัติอย่างดีมาก เปิดไซเรนมาตลอดทาง ราวกับด่วนมาก
ช่วงนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า มีอาการทางจิตร่วมด้วย แต่สติของฉันยังคงอยู่ ฉันเงียบๆ ไม่พูดว่าเห็นอะไรบ้าง รู้สึกปลงตกไปเลย และปล่อยตัวตามกระแส แล้วแต่คนรอบนอกจะวินิจฉัยตัดสิน ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม เขาทำดีมาก ราวกับส่งตัวผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านดุงตัวจริง มารักษาตัวระหว่างทางฉันยังเห็นอะไรแปลกๆอยู่ดี นี่เป็นเรื่องจริงค่ะ
ฉันเห็นกับตาว่าทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นอีกเมืองหนึ่ง น่าพิศวงเสียจริงๆเมืองเก่าด้วย
พนักงานขับรถเปิดไซเรนตลอดทางและฝนตกหนักมาก ตอนนั้นฉันไม่คิดอะไร ภายในสงบนิ่ง และเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นคนนอกเช่นนั้น ฉันอยากรู้เป็นที่สุดว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ 

 

     เมื่อกลับมาอยู่ในสถาบันราชภัฏฉันก็กระวนกระวายใจ อยากจัดห้องสวยๆงามๆ
ฉันสามารถดูแลจัดการจนห้องนอนคนไข้ของฉัน สวยงามเหมือนสวรรค์น้อยๆทีเดียว ตกแต่ง
ด้วยเครื่องประดับกระจุกกระจิกมากมายที่ทำให้จิตใจสดชื่นราวกับฉันขาดแคลนสิ่งเหล่านี้มาก
มีกุหลาบสดจากสวนเปลี่ยนทุกวันหอมอบอวลและมีความสุข…โดยคุณแม่และน้องนักศึกษาจัดแจกันให้
ฉันยังครองสติสัมปชัญญะอยู่ในโลกของความเป็นจริงได้ เพราะสภาวะไม่แปลกประหลาด
และได้ถ่ายรูปตัวเองในชุดชีฟองทรงเอ็มไพร์ไว้ด้วย ดูๆก็ไม่มีเค้าวิกลจริตแต่อย่างใด…
ยกเว้นว่าฉันเริ่มทำตัวคล้ายยิปซี ประดับประดาเครื่องประดับเสียมากมาย ดูเปลี่ยนไป

     ฉันไปมาหาสู่กับเพื่อนชายที่โรงพยาบาลเอกชนบ้าง ฉันเพื่อน
 และเขารู้ว่าฉันไม่สบายใจ..แต่ฉันไม่ได้พูดอะไรกับเขามากกว่านั้น เราเป็นเพียงเพื่อนกัน…

     ช่วงต่อมาฉันย้ายมาอยู่ที่บ้านส่วนตัวหลังใหญ่ ขณะนั้นยังไม่ได้ตกแต่งภายใน
แต่ฉันก็สามารถอยู่คนเดียวได้ในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนคุณพ่อมานอนเป็นเพื่อน
ฉันทำงานประเภทบำบัดจิตใจให้หายโศกเศร้าหลายอย่างเช่นการระบายสีรูปภาพ
 และจัดห้องสมุดเล็กๆของตนเองให้สวยงามน่าอยู่… ฉันอยู่อย่างผู้ที่ต้องการพักใจ
ฉันได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำงานแต่ทำเรื่องลาป่วย…และขอดูงาน จนสิ้นปี 2539
แต่จริงๆไม่ได้พักผ่อนอะไร ทำของเล่นเสียมากกว่า เพลิดเพลินใจดี

 

                  และฉันก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่บ้านดุงอีกเลยนับจากนั้น

 

                                                   

จบตอนที่2

 

ตอนต่อไป คือ My story 3


                                    >>Home::varieties::my story1::my story 2::my story 3

ตอน My story3 เป็นตอนที่เขียนยากที่สุด รู้สึกรวดร้าวในหัวใจมาก และหนักไปทางจะเน้นโรคจิตเวชอย่างมาก เพราะฉันปฏิเสธความจริงเหล่านี้
เนื่องมาจากการคิดว่า เทพไท้เทวาทรยศต่อคำสัญญาที่ว่าด้วยเรื่องคู่ครองของฉัน
ฉันอยากใช้ชีวิตในโรงพยาบาลประสาทมากกว่าในบางครั้ง ฉันจึงจงใจแต่งเรื่องให้สอดคล้องกับ
ภาวะโรคจิตที่สุด ตามทฤษฎีที่เรียนมาเลย เพื่อเอาเป็นอาวุธใช้ในภายหลัง ถ้าจำเป็น
ถ้อยคำอาจจะประชดประชันอย่างมาก เป็นฤทธิ์โทสะ แต่ถ้าอยากทราบสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆก็ไม่หนีแนว
เหนือโลก ท่านที่ติดตามต่อเนื่องคงเข้าใจดีว่า ความจริงมีลักษณะเช่นไร คราวแรกว่าจะลบ
เรื่องราวส่วนนี้ทิ้งไป แต่ก็เสียดายที่อุตส่าห์เขียนจนจบค่ะ และคงแก้ไขไม่ได้ เพราะต้นฉบับถูกลบทิ้งไปแล้ว จึงต้องมาเขียนที่นี่แทน คงพอเข้าใจนะคะ