กษัตริย์ไทยกับพระพิฆเณศวร์
ภารตวิทยามาแพร่หลายอย่างจริงจังในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่หก
ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ได้ศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
และทรงสนใจภารตวิทยาอยู่มาก
ดังนั้นพระองค์จึงทรงมีความเข้าใจถ่องแท้ในพิธีกรรมต่าง
ๆของฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดูเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้นำรูปเคารพของพิฆเณศวร์มาใช้ในรัชสมัยของพระองค์
ตามอย่างที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณพระองค์ท่านได้กำหนดให้พระคเณศเป็นดวงตราเครื่องหมายวรรณคดีสโมสร
โดยดวงพระราชลัญจกรรูปกลมองค์นี้ตามตำแหน่งคือ
ดวงพระราชลัญจกรรูปกลม
ศูนย์กลางกว้าง 3 นิ้ว 3
อนุกระเบียด (7
เซนติเมตร)
ลายเป็นรูปพระคเณศนั่งแท่น
แวดล้อมด้วยลายกนกสวมสังวาลย์นาคหัตถ์ขวาเบื้องบนถือวัชระเบื้องล่างถืองาหัตถ์ซ้ายเบื้องบนถือบ่วงบาศ
เบื้องล่างถือครอบน้ำ (ขันน้ำมนต์หรือ
หม้อน้ำ)
เมื่อปี
2480
พระพิฆเณศวร์ได้กลายเป็นดวงตราประจำกรมศิลปากรโดยลายกลางเป็นพระคเณศรอบวงกลมมีลวดลายเป็นดวงแก้ว
7 ดวง อันมีความหมายถึง
ศิลป์วิทยาทั้ง 7
แขนงคือ ช่างปั้น,
จิตรกรรม,
ดุริยางค์ศิลป์,
นาฏศิลป์, วาทศิลป์,
สถาปัตยกรรม,
อักษรศาสตร์
ฉะนั้นชนทั้งหลายจึงนับถือพระคเณศเป็นบรมครูทางศิลปะ
ในสมัยอยุธยานั้น
ลัทธิพราหมณ์
ฮินดูยิ่งชัดเจนขึ้น
เพราะไม่ว่าจะเป็นชื่อราชธานี
(อยุธยา)
หรือพระนามของกษัตริย์ที่ขึ้นต้นด้วย
สมเด็จพระรามาธิบดี
ก็คืออิทธิพลที่ได้มาจากมหากาพย์รามเกียรติ์นั่นเอง
สมัยพระเจ้าปราสาททองในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพระราชหัตถเลขา
มีเรื่องเกี่ยวกับการรื้อย้ายเทวสถานพระอิศวรและพิธีลบศักราช
ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีการจัดพิธีตรียัมปวายและมีบันทึกว่า
เคยจัดข้าวของจากอยุธยาไปทำพิธีที่เทวสถานเมืองนครศรีธรรมราช
และทรงโปรดให้มีการหล่อรูปพระพิฆเณศวร์
และทรงนับถือเป็นบรมครูช้าง
นอกจากนี้ยังได้เกิดวิทยาการแขนงต่างๆ
อันมีพื้นฐานจากแขนงวิชาอุปเวทและอาถรรพเวท
|