ลักษณะทางประติมากรรมของพระพิฆเณศวร์
พระคเณศนั้นมีหลายปาง
และมีให้เลือกสรรการบูชาตามความเหมาะสม
แต่ภาพโดยสรุป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศียรก็ดี
สัตว์พาหนะ
ตลอดจนถึงเครื่องประดับและอิริยบทต่างก็ดี
พอจะแยกได้ดังนี้
เศียร
พระคเณศมีตั้งแต่ 1
เศียรหรือพระพักตร์เดียว
ไปจนถึง 2-5 เศียร
ซึ่งปาง 5
เศียรนี้นิยมใช้ในปางเหรัมภะซึ่งแพร่หลายในอินเดียและเนปาล
ส่วนพระคเณศในแบบของคนไทยนั้นจะมีเพียงเศียรเดียวเท่านั้นส่วนใหญ่แล้วพระคเณศจะมีเพียงสองตาเท่านั้น
ส่วนตาที่ 3
บริเวณหน้าผาก (บ้างใช้เปลวไฟเป็นสัญลักษณ์แทน
)
นิยมใช้ในลัทธิตันตระที่ชัดเจนมากเห็นจะเป็นพระพิฆเณศวร์ในศิลปะแบบธิเบต
นอกจากนี้บริเวณหน้าผากทั่วไป
อาจจะเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
หรือเส้น 3
เส้นตามลักษณะของไศวะนิกาย
หรือพระเศียรอาจจะสวมมงกุฎชนิดแบบราบ(กรัณฑมุกุฎ)
หรือสวมชฎาทรงสูงก็ได้
ส่วนงานั้น
จะมีเพียงงาเดียวข้างขวาเท่านั้นส่วนงาข้างซ้ายนิยมทำหักไว้
งวง
มีลักษณะที่ห้อยตรงแต่ส่ายปลายไปทางซ้ายหรือขวาแต่ที่นิยมคือหันงวงไปทางซ้าย
และหยิบขนม
บตะสะ (โมทกะ)จากถ้วยขนมที่ถืออยู่ในซ้ายมือหรือบางทีก็เป็นพวกผลไม้ป่า
กร
มีจำนวนกรตั้งแต่ 2-4
เรื่อยขึ้นไปถึง 10
กว่ากรหรือมากกว่านั้น
สัญลักษณ์ที่ถือตามพระกรต่าง
ๆเช่น งาหัก,ผลมะนาว,
ผลไม้ป่า,มะขวิด,ลูกหว้า,หัวผักกาด,ขนมโมทกะ,ผลทับทิม,ส่วนอาวุธนั้นมีมากมายอาทิ
ขวาน,บ่วงบาศ,ดาบ,ตรีศูล
ฯลฯ สิ่งอันเป็นมงคล
เช่น สังข์,แก้วจินดามณี,ครอบน้ำ
ฯลฯ
ท่าทาง
พระคเณศในยุคแรกนั้นจะเป็นพระคเณศในรูปแบบของการยืนเสียเป็นส่วนใหญ่
จากนั้นจึงได้พัฒนาเป็นการนั่ง
ซึ่งมีการนั่งถึง 4
ลักษณะด้วยกันคือ
1.
ท่ามหาราชลีลา
หรือเข่าข้างหนึ่งยกขึ้น
อีกข้างหนึ่งงอพับบนอาสนะ
(ซึ่งมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
12)
2.
นั่งขาไขว้กัน
3.
นั่งห้อยพระบาทข้างใดข้างหนึ่งส่วนอีกข้างวางพับอยู่บนอาสนะ
4.
นั่งโดยขาทั้งสองพับอยู่ทางด้านหน้า
ฝ่าเท้าทั้งสองอยู่ชิดกัน
(ศิลปชวา,บาหลี)
เครื่องประดับ
ในยุคแรกไม่นิยมการทรงเครื่องประดับต่อมาจึงเริ่มมีเครื่องทรงมากขึ้น
เริ่มจากสายยัชโญปวีต (สายศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาพราหมณ์
บางทีก็เป็นงูธรรมดา
ส่วนผ้าที่นุ่งนั้น
จะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นที่สร้างรูปเคารพส่วนเครื่องทรงนั้นมีการเพิ่มเติมมากขึ้นเช่น
มงกุฏ ,สร้อยคอ,สร้อยข้อมือ,สร้อยข้อเท้า,สร้อยกระดิ่ง
พาหนะ
เท่าที่พบในปัจจุบันมีเพียง
หนู
นกยูงและสิงโตเท่านั้น
|