|
บุญฤทธิ์แห่งเมตตาธรรมของหลวงปู่
ดร. พรนพ พุกกะพันธ์ ผมรู้สึกว่าเครื่องบินของผมถูกโยนลอยขึ้นเหมือนของเล่น ผู้โดยสารหวีดร้องด้วยความตกใจ คุณป้าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ผมเธอลอยขึ้นไปจรดหลังคาเครื่องบินเพราะยังไม่ได้คาดเข็มขัด ผมพยายามดึงมือเธอไว้จนหล่นมาบนเก้าอี้ ชั้นเก็บสิ่งของสัมภาระเปิดออกมาโดยไม่มีใครสนใจต่างพยายามยึดเกาะสิ่งที่ใกล้ตัวเองมากที่สุด แล้วเครื่องบินก็ถูกเหวี่ยงกลับมาอย่างแรงอีกครั้ง ผู้โดยสารก็หวีดร้องด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเครื่องบินทั้งลำก็ไฟดับ ผมมองเห็นประกายไฟปรากฎขึ้นเหนือช่องเก็บของและช่องหน้าต่างเสียงดังโครมใหญ่ เครื่องบินของเราคงถูกฟ้าผ่า ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดัง ผมรู้สึกเสมือนหนึ่งผมนั่งรถเหาะที่สวนสนุกดีสนีย์แลนด์ ที่ แอล.เอ. ตอนช่วงขาลงมันเสียวเข้าไปในท้องเหมือนเราตกจากที่สูง วาบหวิวแทบอาเจียน เครื่องบินของเรากำลังตก
คุณนิภา ส่วนบุญเจริญ ดิฉันคิดว่าถ้าเครื่องบินตกวูบเป็นครั้งที่ ๓ ไม่รอดแน่ ในช่วงเวลาวิกฤตนั้นมีคนบอกว่า หลวงพ่อไม่ได้นั่งแบบนั่งสมาธิอย่างที่เราคิด แต่หลวงพ่อนั่งแบมือทั้งสองข้าง เหมือนจะรองรับอะไรสักอย่าง
คุณสุจิตรา พานทอง ชั่วแว๊บเดียว จิตก็ไปจับที่หลวงปู่ ทันใดนั้นดิฉันก็เห็นมือของหลวงปู่รองรับเครื่องบินเอาไว้ เป็นมือใหญ่เท่าบ้าน เห็นชั่วพริบตาเดียว เครื่องบินที่กำลังตกก็หยุดกระทันหัน เมื่อเครื่องบินลงที่ดอนเมือง นักบินและแอร์โฮสเตสต่างก็มากราบหลวงปู่ทั้งชุด
คุณโอภาส สุทธิวโรตมะกุล ข้าพเจ้าได้ประคองหลวงพ่อเพื่อมารอขึ้นเครื่อง ขณะที่ประคองหลวงพ่ออยู่นั้นท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า โอภาส กล้าสร้างปรมัตถบารมีไหม ข้าพเจ้าจึงเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อพูดเล่นกลับลูกหรือเปล่าครับ? ในระหว่างที่เครื่องบินวูบจะตกนั้น คนในเครื่องบินร้องกันเสียงดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์จึงรู้ว่าคนเราเวลาจะตายมีอาการอย่างไร ดังนั้น ทาน ศีล ภาวนา นี้ควรมีไว้และปฏิบัติเสมอ
(จาก อัปปมาโณ สังโฆ ในหนังสือพระชัยวงศานุสสติ)
ประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้น เป็นประสบการณ์เฉพาะกลุ่มบุคคลจำนวน ๔๐๐ คน ซึ่งเป็นผู้โดยสารของสายการบินแอร์อินเดีย ที่เดินทางจากอินเดียมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ได้ประสบมาด้วยตัวเอง ทั้งนี้ผู้อ่านในยุคโลกาภิวัตน์ไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยเสมอไป