บันทึกการเดินทาง
28-31 ธันวาคม 2545
วันที่สามของการเดินทาง
30 ธันวาคม 2545
ตื่นนอนตอนตี
3 ทะยอยเข้าห้องน้ำจนครบทุกคนประมาณตี
4 ชวนกันนอนต่อตื่นตอนตีห้ากว่า
ๆ เนื่องจากนัดกันตอนตี 5
เพื่อเดินไปพร้อมกัน ชมดวงอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น
กลเม็ดเคล็ดลับของพวกเราที่ตื่นก่อนใคร
ๆ แล้วนอนต่อ
พวกเรามักนำมาใช้เสมอหากต้องพักรวมกับเพื่อนนักท่องเที่ยวจำนวนมากและมีห้องน้ำไว้บริการไม่มาก
เพื่อป้องกันปัญหามิให้เพื่อนร่วมทริปต้องรอคอยนานที่จุดนัดหมายค่ะ
ออกเดินท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกด้วยอาการหนาวสั่น
ระยะทาง 2 กิโลเมตร
ถึงจุดชมวิวผานกแอ่นประมาณ
6 โมง
ผู้คนมากมายจับจองมุมมองด้านหน้าจนไม่มีพื้นที่เหลือ
พวกเราค่อย ๆ
แทรกตัวเดินลัดเลาะฝูงคนจนเข้าไปเกือบจะใกล้ชิดหน้าผา
นั่งรอดวงตะวันจนวินาทีระทึกใจมาถึง
แสงสีทองค่อย ๆ
ทาบขอบฟ้าเบื้องหน้าเจิดจ้าขึ้นเรื่อย
ๆ แต่ยังไม่เห็นดวงตะวัน
เมฆหมอกหนาเริ่มบดบังแสงอาทิตย์
นักท่องเที่ยวเริ่มหมดหวังกับการยลความงามอันร่ำลือของดวงตะวันยามเช้า
เหลือนักท่องเที่ยวไม่มากนัก
พอที่เราจะหามุมเก็บภาพงามยามเช้า
ณ
ต้นสนต้นเดียวที่สวยที่สุด
ณ จุดนั้น
หลังเก็บภาพจนหนำใจก็เริ่มชักชวนกันหันหลังเดินกลับ
แต่เพียงเราย่างเท้าไปไม่ถึง
10 ก้าว
เพื่อนนักท่องเที่ยวที่ยังคงยืนหยัดบริเวณหน้าผาก็ตะโกนบอกว่าดวงอาทิตย์เริ่มโผล่จากก้อนเมฆแล้ว
ตัวเรากะโอมรีบวิ่งไปยังหน้าผาอีกครั้งครานี้นักท่องเที่ยวที่เหลืออยู่ไม่มากนัก
ได้เลือกมุมเก็บภาพถูกใจ
ความงดงามของดวงอาทิตย์ยามเช้าที่ไม่ร้อนแรง มีเส้นคาดสีส้มสดสลับกับสีส้มอ่อนสวยงามเกินคำบรรยาย
ไม่มีแสงแสบจ้าให้ระคายเคืองสายตา
นับเป็นบุญตาที่ได้มาเห็นเพราะไม่เคยเห็นดวงตะวันที่ไหนไหนจะงดงามเช่นนี้มาก่อน
คิดว่านี่คือสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มายลได้อย่างหนึ่งอย่างแน่นอน
หลังเก็บภาพจนหนำใจก็จากลาผานกแอ่นด้วยความปิติ
ขากลับเดินช้า ๆ
ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางไปเรื่อย
ได้เก็บภาพต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง
ดอกกระดุมเงินที่เริ่มเหี่ยวเฉามีสีดำแต่ยังคงความสวยแก่สายตาผู้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ปล่อยให้ 4
คนในกลุ่มเดินล่วงหน้าไปก่อน
เราถึงจุดนัดหมายคนสุดท้ายของกลุ่มด้วยพะวงกับการเก็บภาพพันธุ์ไม้ต่าง
ๆ ระหว่างทาง
หลังทานอาหารเช้าด้วยข้าวต้มหมูร้อน
ๆ
เดินกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางบนเส้นทางอันยาวนานตลอดทั้งวันกว่า
20 กิโลเมตร
09.00 น.
เริ่มออกจากที่พักลัดเลาะไปตามแนวสนตามเส้นทางลัดหลังบ้านพัก
แวะไหว้พระพุทธเมตตา
ที่นั่นมีต้นกล้วยไม้และดอกกุหลาบขาวมากมายแต่ยังไม่มีดอกให้เห็น
แวะชมใบเมเปิลสีแดงสดต้นใหญ่ที่น้ำตกถ้ำใหญ่
น่าเสียดายที่ต้นเมเปิลสูงใหญ่มากจนไม่มีโอกาสชื่นชมใกล้
ๆ ได้
ส่วนบริเวณน้ำตกก็อยู่ลึกลงเบื้องล่างยากแก่การปีนป่ายลงไปเนื่องจากมีตะไคร่น้ำจับตามก้อนหิน
ช่วงระหว่างทางเดินขึ้นจากน้ำตกรู้สึกเหนื่อยมากจนหอบ
ต้องนั่งพักอยู่นานมากกว่าจะเดินต่อไปได้
จุดหมายต่อไปคือสระอโนดาด
ชมแอ่งน้ำใสที่มีแนวต้นสนรายล้อมและทานอาหารกลางวัน
ข้าวหมูทอด ธรรมดาแต่มีความรู้สึกว่าอร่อยมากที่สุด
เหตุเนื่องมาจากตัวเองลืมห่อข้าวของตัวเองไว้ที่องค์พระ
ก็เลยต้องแบ่งข้าวคนอื่นทานแทน.........ที่นั่น
นั่งพักท่ามกลางสายลมเย็น
ๆ กำลังสบายอยู่นานโข
และออกเดินทางต่อไปยังผาหล่มสัก
สัญลักษณ์ของภูกระดึง
ผ่านน้ำลำธารน้ำตกเล็ก ๆ
บางช่วงต้องเดินลุยน้ำแฉะ+หญ้าจนเท้าเปียกชุ่ม
ณ ผาหล่มสักมีร้านอาหารหลายร้าน
มีห้องน้ำไว้บริการ
และเป็นที่ชุมนุมนักท่องเที่ยวมากมายต้องต่อคิวเก็บภาพกับหน้าผา
เป็นที่สังเกตุว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรักษามารยาทกันดีมาก
จุดไหนที่โดดเด่นสวยงามพวกเขาจะต่อแถวกันโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่มีใครมากำกับสั่งการ
ไม่ก่อให้เกิดการขัดแย้งระหว่างการท่องเที่ยว
จากนั้นก็เดินต่อไปยังจุดหมายสุดท้ายคือผาหมากดูก
เพื่อชมดวงอาทิตย์ตก เหตุที่ไม่รอชมดวงอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักเพราะเส้นทางจากผาหล่มสักไปยังสูญบริการนักท่องเที่ยววังกวางไกลมากไม่สะดวกที่จะเดินกลับยามมืดค่ำ
คณะทัวร์จึงเลือกชมที่ผาหมากดูกแทน
ระยะทางถึงที่ทำการเพียง
2 กม. เท่านั้น
ระหว่างทางไปผาหมากดูกผ่านหน้าผาและทิวทัศน์สวยงามหลายจุด
แวะเก็บภาพไปเรื่อย ๆ ถึง "ผาหมากดูก"
เกือบ 6
โมงเย็น
รอชมดวงอาทิตย์ลับฟ้า
ที่นั่นมีนักท่องเที่ยวมากมายเช่นเดียวกับที่ผาหล่มสัก
หลังดวงตะวันลับฟ้าต่างพากันเดินกลับที่พักเป็นทิวแถว
ถึงที่ทำการวังกวางแทบก้าวขาไม่ออก
อาการปวดเมื่อยขาเริ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ
แม้ว่าจะทาถูด้วยยาทาแก้ปวดเมื่อยก็ยังไม่ทุเลา
เราจึงจำเป็นต้องซื้อยาคลายกล้ามเนื้อที่มีขายตามร้านค้าในบริเวณนั้นมาทานคนละ
1 เม็ด ราคาเม็ดละ 5.- บาท
สำหรับยาทานคลายกล้ามเนื้อถ้าไม่จำเป็นจริง
ๆ
ไม่อยากแนะนำให้ซื้อหามารับประทาน
นอกจากจะนำติดตัวมาเอง
ไก๊ด์เล่าว่ามีนักท่องเที่ยวเคยซื้อยานี้มาทานแล้วเกิดอาการแพ้ยาถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
แต่สำหรับพวกเรายอมเสี่ยงเพราะรู้ตัวว่าไม่มีใครมีประวัติแพ้ยามาก่อน
ซึ่งยาขนานนี้ต้องทานหลังอาหารทันที
เนื่องจากจะออกฤทธิ์กัดกระเพราะอาหารด้วย
คืนนั้นรู้สึกว่าอาการปวดขาเริ่มทุเลา
( อาจจะเป็นเพราะความเจ๋งของยาคลายกล้ามเนื้อก็เป็นได้
)
>>>>>>>>>>>>>>
อ่านต่อ 
|