![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||||||||||||
เอส.เอส. (SS.) | ||||||||||||||||||||||||||||
SS หรือ SchutzStaffel ซึ่งมีความหมายว่ากองกำลังป้องกัน (Protection Squad) อยู่ภายใต้การนำของ ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler) อันเป็นบุคคลที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีมีความไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง หน่วยเอส.เอส. ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1923 ในขณะนั้นมีสมาชิกเพียง 280 คน ต่อมาขยายเพิ่มเป็น 1,000 คน พอในปี ค.ศ. 1932 หน่วยเอส.เอส. ก็มีกำลังพลอยู่ถึง 10,000 คน พอถึงช่วงกลางของสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยเอส เอส ก็ขยายกำลังพลออกไปถึง 38 กองพล โดยแต่ละกองพลต่างก็มีกรมย่อยๆ ออกไปอีกเป็นจำนวนมาก ในปี 1939 มีทหารเอส เอส กว่า 35,000 คน ปี 1941 เพิ่มเป็นกว่า 150,000 คน ปี 1943 มีจำนวนกว่า 450,000 ปี 1944 มีกว่า 600,000 คน และปีสุดท้ายของสงคราม คือ ปี 1945 มีกว่า 830,000 คน รวมทั้งหมด มีทหารเอส เอส กว่า 1,000,000 คนในสงครามครั้งนี้ และมีทหารเอส เอส เสียชีวิตและสูญหายตลอดสงครามกว่า 250,000 คน บาดเจ็บอีกกว่า 400,000 คน กองพลที่มีชื่อเสียงของเอส เอส ก็เช่น 1. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด 2. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ 3. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ 4. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง 5. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟน 6. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกน เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||||||||||||
สาเหตุที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จัดตั้งหน่วยอารักขาในชุดสีดำ เอส.เอส. นี้ขึ้นมา ก็เนื่องจากเขาไม่ไว้วางใจกองทัพเยอรมันว่า จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่หรือไม่ ในช่วงแรกๆของการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ หรือ ฟือเรอร์ (Fuhrer) กองกำลังเอส.เอส. จึงถูกจัดตั้งขึ้น เสมือนเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของฮิตเลอร์ กำลังพลของเอส.เอส.จะได้รับการอบรม ฝึกฝนให้จงรักภักดีต่อผู้นำของเขาอย่างจงรักภักดี และปราศจากคำถามใดๆทั้งสิ้นของคำสั่ง จากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ | ||||||||||||||||||||||||||||
(ภาพขวา) ทหาร เอส.เอส. จะคัดเฉพาะเด็กหนุ่มอายุ 17-22 ปีสูง 180 ซ.ม. เชื้อชาติอารยัน ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ในภาพ เป็นทหารเอส.เอส.ที่สมรภูมิบาสตองก์ในเบลเยี่ยม ในช่วงฟโูหนาวของปี 1944 ซึ่งเยอรมันระดมกำลังพลจากหน่วย เอส เอส เป็นจำนวนมากเข้าทำการรบ แต่ก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด | ||||||||||||||||||||||||||||
หน่วยทหารเอส.เอส. จะได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก และถูกปลูกฝังอุดมการณ์ของนาซี (NAZI - Nazional Sozialistisch Deutche Arbeiter Partei) ถูกปลูกฝังแนวความคิดเรื่องความเป็นเลิศของชนชาติอารยัน เครื่องแบบของหน่วยนี้ จะเป็นเครื่องแบบสีดำ มีสัญญลักษณ์กระโหลกไขว้ (Totenkopf - Death's Head) อยู่ที่หน้าหมวกและปกเสื้อ แม้ว่าในช่วงแรกๆของการจัดตั้งหน่วย จะมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกไว้สูงมาก เช่น ควรจะศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หรือสูงถึง 180 ซ.ม. แต่เมื่อความต้องการกำลังพลมีมากขึ้น คุณสมบัติก็ได้ถูกลดลง เช่นส่วนสูงลดลงเหลือเพียง 171 ซ.ม. อายุก็เพิ่มขึ้นเป็น 17 - 26 ปี การศึกษาระดับมัธยมปลาย เชื้อชาติอื่นก็รับ เช่นอิตาลี เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น จากการฝึกที่เข้มงวด ทำให้หน่วยเอส.เอส. มีวินัยดีเยี่ยม มีมาตรฐานที่สูงมาก แต่เมื่อยังไม่เกิดสงคราม กองทัพเยอรมัน ก็มองหน่วยเอส.เอส.นี้ว่า มีแต่ภาพลักษณ์ มากกว่าคุณภาพในสนามรบ ความเคลือบแคลงระหว่างกองทัพและหน่วยเอส.เอส. มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทหารของกองทัพมองว่า หน่วยเอส.เอส. มักจะได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีกว่าและทันสมัยกว่า การตอบโต้จากกองทัพก็คือ หน่วยเอส.เอส.ซึ่งขึ้นสายการบังคับบัญชากับกองทัพ จะถูกจัดไว้เป็นหน่วยสนับสนุน หรือไม่ก็เป็นกำลังหนุน ในการรบในช่วงแรกๆ เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ หรือเนเธอร์แลนด์ ทำให้หน่วยเอส.เอส.ไม่มีโอกาสได้เข้าทำการรบอย่างจริงจัง และเมื่อต้องเข้าทำการรบ ภารกิจที่หน่วยเอส.เอส.ได้รับมอบหมาย ก็จะเป็นภารกิจที่ยากต่อการปฏิบัติ ทำให้สูญเสียกำลังไปเป็นจำนวนมาก |
||||||||||||||||||||||||||||
ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |||||||||||||||||||||||||||
หน้าหลัก หน่วย เอส เอส หน้า 1 หน้า 2 หน้า 3 หน้า 4 หน้า 5 หน้า 6 หน้า 7 หน้า 8 หน้า 9 หน้า 10 กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 เส้นทางสู่สงคราม สงครามเหนือเกาะอังกฤษ ประวัติฮิตเลอร์ ขุนศึกนาซี แสนยานุภาพเยอรมัน แนวรบด้านตะวันออก บันทึกจากติมอร์ บันทึกจากภาคใต้ |