| อภิปรายและสรุปผลการทดลอง
อภิปรายผลการทดลอง
- สารที่ไม่มีขั้วจะละลายในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว ส่วนสารที่มีขั้วจะละลายในตัวทำละลายที่มีขั้ว ดังนั้นสารที่ได้จากการทดลองตอนที่ 1 จึงเป็นสารที่ไม่มีขั้ว
- สารแต่ละชนิดมีความสามารถในการละลายและการถูกดูดซับที่ต่างกัน ในการทดลองตอนที่ 2 ใช้เมทานอลเป็นตัวทำละลายและใช้ Sephadex เป็นตัวดูดซับ ดังนั้นสารที่ออกมาก่อนจะเป็นสารที่มีขั้วต่ำ
- จากสเปกตรัมของสารในการทดลองที่ 3 vial ที่ 3,4,8,9,21 สามารถนำมาวิเคราะห์โ ครงสร้างทางเคมีของสารได้ดังแสดงในสเปกตรัมหน้าต่อไป
จากสเปกตรัมสามารถสรุปการวิเคราะห์สูตร โครงสร้างทางเคมีของสารในvialที่ 21
จาก 1H-NMR สเปกตรัม สรุปได้ว่า
ที่ chemical shift 2.34 ppm มีสัญญาณของหมู่เมทิลโปรตอน 1 โปรตอน
ที่ chemical shift 6.72-7.27 ppm มีสัญญาณของโปรตอน 3 โปรตอน
ที่ chemical shift 12.05-12.79 ppm มีสัญญาณของ OH ( phenolic) โปรตอน 2 โปรตอน
จาก 13C-NMR สเปกตรัม มี 15 สัญญาณของ C ในช่วง chemical shiet ที่ 21.45- 189.43 ppm
จากเทคนิค HMQC ทำให้สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของโปรตอนที่อยู่บนคาร์บอนได้ เช่น H-3 (d
=6.72)อยู่บนC-3,H-6(d
=7.09)อยู่บนC-5ดังตาราง
ตารางที่ 7 แสดงค่าchemical shift ของโปรตอนที่อยู่บนคาร์บอน
คาร์บอนที่ |
ค่าd
(ppm) |
ค่าd
(ppm)ของHที่อยู่บนคาร์บอน |
3
6
8
11 |
107.1
123.5
120.3
21.4
|
6.72
7.09
7.27
2.34
|
จากเทคนิค HMBC จะให้สัญญาณ correlation จาก
H-3กับC-1,C-2,C-4และC-4a
H-6กับ C-8 C-11 และC-5a
H-8กับ C-6,C-9 C-11 และC-5a ดังตาราง
ตารางที่ 8 แสดงค่า chemical shift ของโปรตอนข้างเคียง
คาร์บอนที่ |
ค่าd
(ppm) |
ค่าd
(ppm)ของHข้างเคียง |
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
1a
4a
5a
8a |
108.8
160.9
107.1
164.6*
164.3*
123.5
148.0
120.3
182.0
189.4
21.4
133.2
123.6
113.1
131.2 |
6.72 12.79
12.79
- 12.79
-
7.27 2.34 12.05
-
7.09
7.27
-
7.09 7.27
-
6.72
7.27 7.09 12.05
-
|
หมายเหตุ * ค่า d
(ppm) นี้สามารถสลับกันได้
จากการวิเคราะห์ดังกล่าวสามารถนำมาเขียนเป็นสูตรโครงสร้างของสารในvialที่ 21 ได้ดังนี้
จากสูตรโครงสร้างสารนี้คือ skrin
สารในvialที่ 8,9
จาก 1H-NMR สเปกตรัม สรุปได้ว่า
ที่ chemical shift 2.44 ppm มีสัญญาณของหมู่เมทิลโปรตอน 1 โปรตอน
ที่ chemical shift 2.51 ppm มีสัญญาณของหมู่อะซีโตน
ที่ chemical shift 2.80-7.46 ppm มีสัญญาณของโปรตอน 5 โปรตอน
ที่ chemical shift 5.49 ppm มีสัญญาณของ OH (hydroxyl) โปรตอน 1 โปรตอน
ที่ chemical shift 11.65 ppm มีสัญญาณของ OH ( phenolic) โปรตอน 2 โปรตอน
จาก 13C-NMR มีสัญญาณของ C ในช่วง chemical shift ที่ 21.4-193.9 ppm 15 สัญญาณ
จากเทคนิค HMQC สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของโปรตอนที่อยู่บนคาร์บอนได้ดัง ตาราง
ตารางที่ 9 แสดงค่าchemical shift ของโปรตอนที่อยู่บนคาร์บอน
คาร์บอนที่ |
ค่าd
(ppm) |
ค่าd
(ppm)ของHที่อยู่บนคาร์บอน |
1
2
3
6
8
11 |
47.7
68.4
58.2
124.0
120.5
21.4 |
3.36
4.40
2.80*
7.20
7.46
2.44 |
หมายเหตุ * จากพีกจะเห็นเป็นdoublet peakแต่ถือว่าเป็นพีกเดียว เกิดจากโปรตอนข้างเคียง
จากเทคนิค HMBC จะให้สัญญาณ coorrelation จาก
H-1 กับ C-3,C-1aและ C-4a
H-2 กับ C-9และ C-1a
H-3 กับ C-1,C-9,C-10และ C-4a
H-6 กับ C-8,C-11,C-4aและ C-5a
H-8 กับ C-6,C-10,C-11, C-5aและ C-4a
H-11 กับ C-7และ C-8 ดังตาราง
ตารางที่ 10 แสดงค่าchemical shift ของโปรตอนข้างเคียง
คาร์บอนที่ |
ค่าd
(ppm) |
ค่าd
(ppm)ของโปรตอนข้างเคียง |
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
1a
4a
5a
8a
|
47.7
68.4
58.2
180.6
160.1
124.0
147.5
120.5
185.9
193.9
21.4
55.5
106.1
114.1
131.9 |
2.80
-
3.36
-
-
7.46 , 2.44
2.44
7.20 , 2.44
2.80
2.80
7.46 , 7.20
4.4 , 3.36
3.36 , 2.80
7.46 , 7.20
- |
จากการวิเคราะห์ดังกล่าวสามารถนำมาเขียนเป็นสูตรโครงสร้างทางเคมีของสารในvialที่8,9ได้ ดังนี้
จากสูตรโครงสร้างสารนี้คือ rugulosin
หมายเหตุ สารในvialที่ 3,4 นั้นคือสาร zeorin ซึ่งเป็นสารที่พบทั่วไปในราชนิดนี้พบเป็นสารสุดท้ายจึงทำไม่สามารถทำการตรวจสอบโครงสร้างทางเคมีของสารด้วยเทคนิคHMQC และ HMBC ได้ทัน หากผู้ใดสนใจสามารถอ่านรายละเอียดของสารนี้ได้ที่ภาคผนวก
สรุปผลการทดลอง
ได้สารบริสุทธิ์ 3 ชนิดคือ skyrin เป็นของแข็งสีส้มอมน้ำตาล, rugulosin เป็นของแข็งสีเหลืองส้มและ zeorin เป็นของแข็งสีน้ำตาลและเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ พบว่า rugulosin มีความเป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของผีเสื้อ,เซลล์ไตของหนูและเซลล์หนู ส่วน skyrin มีความเป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของผีเสื้อและเซลล์ตับของคน
ซึ่งสารทั้ง 3 มีสูตรโครงสร้างทางเคมีดังนี้
รูปที่ 26 แสดงโครงสร้างทางเคมีและลักษณะของสาร skyrin
รูปที่ 27 แสดงโครงสร้างทางเคมีและลักษณะของสาร Rugulosin
รูปที่ 28 แสดงโครงสร้างทางเคมีและลักษณะของสาร zeorin
;
ประโยชน์ที่ได้รับ
1.ได้สารบริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ
2.ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
3.รู้จักการทำงานและมองเห็นภาพพจน์ของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจนขึ้น
4.ปลูกจิตสำนึกของการเป็นนักวิทยาศาสตร์
|