Home

ไวย์แอท เอิร์บ มือปืนผู้คงกระพัน
คาวบอยบนจอหนัง
ไวย์แอท เอิร์บ

ในครั้งก่อนผมได้เกริ่นถึงมือปืนที่ผมเชื่อว่าน่าจะได้รับตำแหน่งพระเอกยอดนิยมตลอดกาลสำหรับวงการนักเลง
หนังคาวบอยและลูกทุ่งตะวันตก เป็นผู้ที่มีตัวตนจริงๆและมีชีวิตบู๊โลดโผนผ่านการดวลแบบหูดับตับไหม้มา
หลายครั้งแต่ไม่เคยต้องบาดเจ็บสักครั้งเดียว แถมอายุยืนที่สุดในบรรดามือปืนยุคเดียวกันเสียด้วยโดยแก่ตาย
ไปเองเมื่อตอนอายุ 81 มีคนนำประวัติไปสร้างเป็นหนังหลายเรื่อง ทั้งจริงบ้างโม้บ้าง (ส่วนใหญ่ก็คงจะโม้นั่น
แหละครับ มากบ้างน้อยบ้างเท่านั้นเอง แต่ก็หลอกเอาตังค์ฝรั่งด้วยกันเองไปได้โข รวมทั้งคนไทยอย่างผมและ
อีกหลายๆท่านแถมไปด้วย) นอกจากหนังแล้วยังมีหนังสือและบทความต่างๆทั้งในเชิงสาระและบันเทิงอีก
มากมาย (ทั้งในภาคภาษาฝรั่งและภาษาไทยด้วยอีกเช่นกัน) คงไม่ต้องชักแม่น้ำให้ยืดยาวเกินไปนะครับ ขอ
แนะนำให้ท่านรู้จักกับ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป กันอีกครั้งนึง

ว่ากันตามจริงแล้วประวัติชีวิตทั้งหมดของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป สามารถดูจากหนังเรื่องล่าสุดที่ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน
สร้างเมื่อปี 1994 มี เควิน คอสท์เนอร์ เล่นเป็น วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เคยลงโรงแล้วในบ้านเราและมีฉบับวิดีโอด้วย
ทุกวันนี้ยังพอหาเช่าดูได้ หนังทำได้ละเอียดดีครับถึงจะมีหลายประเด็นที่ไม่ตรงหลักฐานจริงบ้าง แต่โดยรวม
ก็ถือว่าเป็นหนัง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่บรรยายประวัติได้ครบถ้วนที่สุดตั้งแต่มีการสร้างกันมา

พูดถึงเรื่องจริงไม่จริง ตรงไม่ตรงแล้วนี่ คงไม่มีใครรู้จริงทุกอย่างหรอกนะครับ ผมว่าต่อให้ลองเรียกวิญญาณ
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มาเข้าทรง หรือเล่นผีถ้วยแก้วเชิญแกมาสัมภาษณ์ แกก็จำเรื่องราวในชีวิตของแกทั้งหมดไม่
ได้หรอก หรือถึงบอกว่าจำได้ได้เราก็ไม่รู้ว่าแกโม้อีกหรือเปล่าอยู่ดี ต่อให้ลงทุนไปหอสมุดค้นคว้าหนังสือพิมพ์
หรือจดหมายเหตุต่างๆมาดู ก็ยังขึ้นอยู่กับว่าคนเขียนบันทึกได้แม่นแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นหนังสือพิมพ็แล้วละก็เราๆ
ท่านๆก็พอรู้กันอยู่นะครับ แม้แต่นักเขียนชีวประวัติของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป คนแรกที่ชื่อ สจ๊วต เล้ค ในหนังสือเรื่อง
Wyatt Earp : Frontier Marshal ที่เคยขายดิบขายดีเมื่อพิมพ์ครั้งแรกในปี 1931 นั้น ก็ยังยอมรับทีหลังว่า เมื่อ
แกไปสัมภาษณ์ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่เวลานั้นอยู่ในวัย 70 กว่าแล้ว แกก็ดำน้ำ และใช้วิธี Put words in a mouth of
the aging lawman หรือแปลเป็นไทยว่า ยัดคำพูดใส่ปากมือปราบแก่ๆ หลายครั้งเหมือนกัน ดังนั้นที่ผมจะคุย
ต่อไปนี้ก็คงจะมีทั้งจริงโม้บ้างเช่นเดียวกัน แล้วแต่ว่าได้ข้อมูลมาจากแหล่งใด  คงไม่ถือสากันนะครับ เพราะ
ตั้งใจจะให้เป็นเรื่องบันเทิงคดีที่เกี่ยวข้องกับปืนมากกว่าการชำระประวัติศาสตร์ บางตอนฟังดูแล้วก็จะปรากฏ
อิทธิฤทธิปาฏิหารย์ค่อนข้างเหลือเชื่อเอาการอยู่

วายแอ็ท เอิ๊ร์ป นั้นตอนเกิดมีชื่อเต็มๆว่า วายแอ็ท เบอร์รี่ สแต๊ป เอิ๊ร์ป (Wyatt Berry Stapp Earp) มีเชื้อสายเป็น
ชาวสก๊อต ปู่และพ่อเป็นนักกฎหมายที่แต่เดิมตั้งรกรากอยู่ในรัฐ เคนตั๊คกี้ แต่ นิโคลัส เอิ๊ร์ป ผู้เป็นพ่อหันมาบุก
เบิกเรื่องเกษตรกรรมในภายหลังและได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ หลังจากนั้นได้เข้าร่วมรบในสงคราม
แม็กซิกัน เมื่อสงครามเลิกกลับมาบ้านก็ตั้งชื่อลูกชายคนใหม่ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1848 ตามชื่อผู้บังคับการ
ของตัวเองเมื่อครั้งไปรบนั้นด้วยความภูมิใจอย่างที่สุดว่า วายแอ็ท เบอร์รี่ สแต๊ป ส่วนลูกชายจะภูมิใจด้วยหรือ
เปล่านั้นก็น่าสงสัยอยู่

วายแอ็ท มีพี่ชาย3คนได้แก่ นิวตั้น, เจมส์ และ เวอร์จิล มีน้องชาย 2 คนได้แก่ มอร์แกน และ วอร์เรน น้องสาว
อีก 1 คนชื่อ แอดีเลีย พี่ชายคนหนึ่งคือ เวอร์จิล และน้องชายที่ชื่อ มอร์แกน นั้น เมื่อโตแล้วก็ยังใกล้ชิดกันและ
ใช้ชีวิตผจญภัยดวลปืนกับเหล่าร้ายอย่างดุเดือดร่วมกันอีกด้วย โดยได้เข้าร่วมแจมกับวายแอ็ท ในการดวล
ครั้งประวัติศาสตร์ที่คอกสัตว์ชื่อว่าโอเค คระราล (OK Corral) เมืองทูมบ์สโตนในรัฐอริโซนา เมื่อปี 1881 อัน
จะได้กล่าวถึงในภายหลังอีกทีนึง

พ่อของวายแอ็ทได้ย้ายนิวาสถานอีกหลายหน เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในปี 1861 นั้น พี่ชายทั้ง 3 ได้
ออกรบ ส่วน วายแอ็ท ถึงจะไม่ได้ไปเนื่องจากเพิ่ง12 ขวบ (คงเพราะสมัยนั้นยังไม่มีกองกำลังก๊อดอาร์มี่กระมัง
ครับ) แต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉย ตอนเย็นเมื่อเสร็จงานในไร่แล้วก็จะนำทั้งปืนสั้นและยาวของพ่อมาฝึกฝนจนแม่นยำ
โดยใช้อีแร้งกับกระต่ายป่าเป็นเป้า พออายุ 17 ก็ไปรับจ้างขับรถม้าโดยสารระหว่างเมือง ลอส แองเจลีส กับ
ซาน เบอร์นาร์ดิโน ความที่ฝีมือดีและขยันขันแข็งก็ได้รับความไว้วางใจให้ไปขับรถสายอริโซนา ที่ต้องเสี่ยงกับ
โจรและอินเดียนแดงเผ่าอปาชี อีก ปรากฏว่าวายแอ็ทใช้ฝีมือแม่นปืนทั้งสั้นและยาวคุ้มครองรถม้าให้อยู่รอด
ปลอดภัยมาได้ตลอด หลังจากนั้นก็ก้าวหน้าในอาชีพไปเรื่อยๆ จนเมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ก็ได้เป็นถึงหัวหน้า
กองสอดแนมในการรบกับอินเดียนแดงให้กับกองทหารม้าประจำเขตตะวันตกเฉียงใต้

หลังจากย้ายกลับไปอยู่มิสซูรี่ และโชคร้ายต้องสูญเสียภรรยาสาวไปเพราะโรคไทฟอยด์ วายแอ็ทก็ตัดสินใจ
ออกผจญภัยในทุ่งกว้างอีกครั้ง สมัครเข้าเป็นอาสาล่าควายเดินทางไปกับคณะสำรวจของรัฐบาลที่กำลังทำ
แผนที่ในแถบรัฐ แคนซัส ค่าจ้างในขณะนั้นคือปี 1870 ว่ากันว่าตกวันละ 35 เหรียญ บวกด้วย 10 เซ็นต์ต่อ
ปอนด์สำหรับเนื้อควาย นับว่าไม่เบาทีเดียวเลยนะครับ หลังจากโปรเจ็คท์ทำแผนที่จบลง วายแอ็ทก็พบว่าตัว
เองติดใจอาชีพล่าควายเสียแล้ว และได้เพื่อนสนิทจากการล่าควายมาด้วยคนหนึ่ง เพื่อนสนิทคนที่ว่านี้ชื่อ
แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน (Bat Masterson) ทั้ง 2 ยังไม่หายมันตกลงจับมือกันเป็นฟรีแลนซ์ออกล่าควายกันแค่ 2
คนต่อไป

ไวย์แอท เอิร์บ เมื่ออายุ 21 ปี

การล่าควายในสมัยนั้นปกติจะทำเป็นทีมกันอย่างน้อย 8 คน เพื่อแบ่งกันทำหน้าที่ออกตามรอย ยิง ถลกหนัง
แล่เนื้อ ตากแห้ง และบรรทุกเกวียนขับรถไปส่งตลาด วายแอ็ทกับแบ๊ทตัดสินใจแบบ out of the box คือนอก
คอกทำทุกอย่างกันเองแค่ 2 คน ตอนแรกก็มีแต่คนหัวเราะเยาะว่าจะไปได้สักกี่น้ำ แต่ในที่สุดก็หยุดหัวเราะ
เมื่อพบว่านอกจากทั้งคู่จะทำสำเร็จแล้ว ยังส่งเนื้อควายเข้าตลาดได้มากกว่าทีมอื่นถึง 3 เท่า ร่ำรวยขึ้นแทบจะ
ข้ามคืน

วายแอ็ทไม่ได้เพียงคิดแบบนอกคอกแต่เพียงอย่างเดียว ยังได้กระทำสิ่งที่ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องใช้คำว่า รีเอนจิเนียริ่ง
ด้วย ปกติทีมล่าควายจะขี่ม้าไล่ตามฝูงควายซึ่งทำให้แตกตื่นหนีไปหมดได้ง่าย นักล่าส่วนใหญ่จะใช้แต่ปืน ไรเฟิล
ช้าร์ป ซึ่งหนักและถีบมาก วายแอ็ทกับ แบ๊ทเปลี่ยนเป็นใช้วิธีย่องเท้าเข้าหาให้ได้ระยะยิงใกล้ที่สุด และใช้ปืน
ลูกซองซึ่งเบาและยิงได้คล่องตัวกว่า สามารถส่องตูมๆล้มได้หลายตัวกว่าควายที่ยังไม่ถูกยิงจะเริ่มได้กลิ่นเลือด
แล้วหนีไป อธิบายเพิ่มนิดนึงว่าควายอเมริกันไม่ตกใจเสียงปืนนะครับ จะตกใจต่อเมื่อมีอะไรมาวิ่งไล่หรือได้กลิ่น
เลือดเท่านั้น ส่วนควายบ้านเรานั้นสงสัยต้องไปถามนายฮ้อยเคนดูก่อน

เมื่อล่าควายด้วยกันจนรวยแล้ว ทั้งคู่ก็บอกลากัน ตอนนั้นเป็นปี 1873 วายแอ็ทอายุย่างเข้า 25 ชักคิดอยาก
จะทำอย่างอื่นบ้าง จึงออกเตร็ดเตร่ไปตามเมืองต่างๆในแถบแคนซัส และมิสซูรี่ ระหว่างที่วายแอ็ทพักอยู่ที่
เมืองแคนซัสซิตี้ ก็ได้แรงบันดาลใจที่จะฝึกฝนฝีมือในการใช้ปืนสั้น โดยได้ครูดีอย่าง เจมส์ บั๊ทเลอร์ หรือ ไวลด์
บิล ฮิกค็อก (Wild Bill Hickok) ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดแห่งวิทยายุทธ์สำหรับปืนลูกโม่บรรจุ 6 นัดในเวลานั้นเป็น
ผู้ฝึกฝน วายแอ็ทลงแข่งได้รางวัลหลายหน เป็นที่ชื่นชมของครูมาก แต่เมื่อวายแอ็ทจะออกเดินทางต่อ กลับไม่
ยักหาปืนไว้พกติดตัว ทั้งๆที่ก็เริ่มปิ๊งปืนโค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ขนาด .45 หรือที่รู้จักกันแพร่หลายในนาม
ว่าพี้ซเมคเก้อร์เข้าแล้ว แต่ไม่ยอมซื้อ มิไยครู ไวลด์ บิล จะเตือนว่า ออกจากที่นี่ไปแล้วจะพบแต่บ้านป่าเมือง
เถื่อนทั้งนั้น ควรจะต้องมีปืนติดตัว ก็ไม่เชื่อ บอกว่าจะไปหางานประเภทโลว์โพรไฟล์ ที่เรียบๆสงบๆทำเท่านั้น
แต่แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดตั้งแต่ย่างแรกที่มาถึงเมืองเอลสเวิร์ธ (Ellsworth)

ปืนโคลท์ ซิงเกิล แอ็คชั่น อาร์มี รุ่นมาตรฐาน
พบได้ในหนังคาวบอย ฮอลลีวู้ดทุกเรื่อง

ยุคนั้นเป็นยุคที่ธุรกิจปศุสัตว์กำลังเฟื่อง ตลาดรับซื้อส่วนใหญ่อยู่ตามเมืองต่างๆหลายเมืองในรัฐแคนซัส เมื่อ
เงินเดินสะพัด ธุรกิจต่อเนื่องก็เริ่มตามมา โดยเฉพาะสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับคาวบอยอกสามศอกทั้ง
หลาย มีบาร์ บ่อน เป็นหลัก (ที่จริงก็มีอย่างอื่นด้วยแหละครับไม่ได้ต่างจากสมัยนี้สักเท่าไหร่หรอก จะขาดก็
คงแค่ตลกคาเฟ่เท่านั้น) บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ดังๆประจำรัฐ แคนซัส เวลานั้นก็ได้แก่เมือง แอ๊บบิลีน (Abiliene),
 วิชิต้า (Wichita), ด๊อดจ์ ซิตี้ (Dodge City) แล้วก็เอลสเวิร์ธ นี่แหละครับ

เมืองนี้มีนายอำเภอชื่อ ชอนซี่ บี วิธนี่ กับผู้ช่วย 2 คนทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย อยู่มาวันหนึ่งมีนักเลงโตจาก
เท็กซัส ชื่อว่า เบ็น ธอมป์สัน กับน้องชายชื่อบิล ทั้งคู่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในทางแม่นปืนและดุร้ายโหดเหี้ยม
ยิงคนตายไปแล้วกว่า 20 คน เข้ามาเล่นไพ่ในซาลูนสักพัก เกิดมีปากเสียงเอะอะทะเลาะกันอย่างดุเดือดกับ
คู่เล่น เนื่องจากมีการจับได้ว่าโกงกัน พอนายอำเภอวิธนี่ จะเข้ามาจับแยก บิลก็ชักปืนลูกซองแฝดออกมาจาก
ใต้โต๊ะจ่อหน้าอกนายอำเภอ แล้วก็ลั่นไกยิงนายอำเภอคว่ำลงไปทันที ผู้คนพากันแตกตื่น รวมทั้งผู้ช่วยนาย
อำเภอทั้งสองด้วยที่วิ่งหนีไปซ่อนอยู่หลังประตูไม่มีใครกล้าเข้าไปตอแย จากนั้นบิลก็เดินทอดน่องออกไปจาก
ซาลูน  ขึ้นม้าขี่ออกนอกเมืองไปหน้าตาเฉย ส่วนเบ็นนั้นยังไม่ไป อยู่สั่งเหล้ากินต่อแถมยังกวักมือเรียกผู้ช่วย
นายอำเภอทั้งสอง ซึ่งยังอยู่ในอาการอุจจาระหดผายลมหาย และบรรดาคาวบอยมุงที่ยังเหลืออยู่นั้นว่า ใคร
แน่ก็ออกมาจับซิ

ปรากฏว่ามีไอ้หนุ่มแปลกหน้าแปลกตาคนหนึ่งก้าวเท้าออกมา ติดดาวนายอำเภอหรา มีปืนเหน็บติดเอว
เตรียมพร้อมโดยขอยืมมาจากนายกเทศมนตรีซึ่งเผอิญอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แน่นอนครับไอ้หนุ่มแปลกหน้า
นี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น เชื่อไหมครับว่า วายแอ็ท แค่เดินเข้าไปจ้องตากับเบ็น (นึกภาพฉากจ้องตากันที่ชอบใช้
บ่อยๆในหนังคาวบอยสปาเก๊ตตี้ที่ คลิ้นท์ อี๊สท์วู้ด เล่นด้วยนะครับ) แล้วก็ถามว่าจะยิงกันหรือจะยอมแพ้ให้จับ
เท่านั้นเองนักเลงโตที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายโหดเหี้ยมนักหนาฆ่าคนมาเยอะแยะนาม เบ็น ธอมป์สัน ก็ยอมให้จับเข้า
คุกไปโดยดีเสียเฉยๆ ไม่มีการยวนยี ยอกย้อน หรือยึกยักแต่อย่างใดทั้งสิ้น นี่เป็นการแสดงอภินิหารครั้งแรกครับ

อภินิหารฉากต่อไปเกิดขึ้นในปีต่อมาที่เมืองวิชิต้า ที่ผมเอ่ยถึงไปแล้วว่าในเวลานั้นจัดอันดับเป็นเมืองเถื่อน
อีกเหมือนกัน วายแอ็ทเข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอ ท่ามกลางความหมั่นไส้ของบรรดานักเลงโตประจำ
ท้องถิ่นทั้งหลายหลังจากได้ยินเรื่องราวที่เมืองเอลสเวิร์ธ ต่างก็ฮึ่มฮั่มยากจะลองของกันทั้งนั้น ในบรรดานักเลง
โตที่ว่ากันว่าร้ายนักก็มี จ๊อร์จ เปชอร์ คนหนึ่ง กับเพื่อนซี้อีก 2 คนชื่อ เอ๊ด มอริสัน และ เซี่ยงไฮ้ เพี้ยร์ซ ทั้ง 3
ผลัดกันพยายามคอยหาเรื่องด่าทอยั่วยุวายแอ็ทให้มาดวลกันอยู่เสมอ ฝ่ายวายแอ็ทซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษา
ความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มตัวแล้วพกปืนพี้ซเม้คเก้อร์ ติดตัวตลอดก็พยายามอดกลั้นและระวังตัวอยู่

จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่วายแอ็ทกำลังเดินสายตรวจประจำวันอยู่ดีๆ ก็เห็นนักเลงโตทั้ง 3 พร้อมลูกสมุนอีก
ไม่ต่ำกว่า 1 โหล ยืนปิดถนนอยู่ข้างหน้า สีหน้าท่าทางบอกว่าคราวนี้อย่าหนีไปไหนไม่รอดแน่ วายแอ็ทแกล้ง
เดินเลี้ยวเข้าอีกซอยหนึ่ง ล่อให้ฝูงเหล่าร้ายเดินตามมา พอเดินถึงร้านโชว์ห่วย General Store ก็หลบเข้าร้าน
คว้าปืนลูกซองแฝดได้กระบอกนึง บรรจุกระสุนง้างนก เปิดประตูกลับออกมาจากร้านก็ได้จังหวะที่เหล่าร้าย
ทั้งฝูงเดินตามมาทันพอดี คนที่ไม่นึกว่าตัวเองจะเจอแจ๊คพอทเข้าก็คือ เอ๊ด มอริสัน ที่ดันผ่าเดินกร่างนำหน้า
คนอื่นไปก่อนจนถึงหน้าประตูร้าน ฝ่ายวายแอ็ทไม่ยอมให้เสียเวลา เอาลูกซองแฝดจิ้มเข้าที่ครึ่งปากครึ่งจมูก
ของเอ๊ด นิ้วอยู่ในโกร่งไกรตะโกนว่า สนุกกันมากพอแล้วไอ้หนู! เท่านั้นเองที่เหลือก็โยนปืนทิ้งลงพื้นกันหมด
ปล่อยให้วายแอ็ท ต้อนเข้าคุกแต่โดยดี นับทั้งหมดได้ 21 คนไม่ขาดไม่เกิน

ถึงตอนนี้ชื่อเสียงก็เริ่มโด่งดังยิ่งขึ้น ในปี 1876 ปศุสัตว์ย้ายไปค้าขายกันที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ มากขึ้นเรื่อยๆจน
เลื่อนลำดับขึ้นนำหน้าเมืองอื่นๆในเรื่องความไร้ระเบียบและอาชญากรรม นายกเทศมนตรีจึงว่าจ้างวายแอ็ท
มาทำงานร่วมเป็นทีมมือปราบโดยให้เงินเดือน 250 เหรียญ เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ วายแอ็ทก็เลยต้องชวน
ผู้ที่ฝีมือดีและไว้วางใจได้มาช่วยกันหลายคน หนึ่งในนั้นคือ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน บั๊ดดี้เก่าที่เคยล่าควายด้วยกัน
กลับมาเจอกันหนนี้ทั้งคู่เริ่มคิดใหม่ว่าจะดูแลเมืองที่เต็มไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรด ทั้งขาจรและขาประจำอย่าง
ไรดี ว่าแล้วก็ตัดสินใจลงมือทำใหม่จริงๆโดยไม่ต้องอาศัยทั้งเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นเก่าหรือรอฟังประชามติ
ประกาศ 'เขตปลอดอาวุธ' บังคับคาวบอยทั้งหลายให้ฝากปืนทิ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อนจึงจะเข้าไปทำธุระหรือเที่ยว
เตร่ในเมืองได้โดยไม่มีข้อยกเว้น และไม่เลือกว่าเป็นกุ๊ยหรือไม่กุ๊ยทั้งสิ้น

แน่นอนครับว่าเกิดความหมั่นไส้และฮึดฮัดกันขึ้นมาทันทีทั้งในหมู่นักเลงโตและนักเลงกระจอกทั้งรุ่นใหม่และ
รุ่นเก่า จึงมีการลงขันกันว่าจ้างมือปืนอาชีพมาจัดการกับวายแอ็ท เสีย มือปืนที่จ้างมานี้ชื่อ เคลย์ อัลลิสัน มี
พื้นเพเดิมมาจากเท็กซัส เคยเป็นทหารฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมือง มีชื่อเสียงในทางแม่นปืนและดุร้าย
ชอบเมาสุราอาละวาดหาเรื่องยิงคน ที่สำคัญที่สุดคือชอบลบหลู่อำนาจรัฐเป็นงานอดิเรก ตอนที่ตกลงรับว่า
จ้างนั้น เคลย์ เพิ่งยิงนายอำเภอของเมือง ลาส แอนิมัส ใน นิว แม็กซิโก ตายไปหยกๆ แต่สามารถข่มขู่ลูกขุน
ทั้งคณะจนรอดจากคดีออกมาได้ทั้งๆที่พยานหลักฐานมัดเหนียวแน่น เกิดความฮึกเหิมเหมือนลูกใครไม่รู้
เป็นอันมาก

ก่อนจะลงมือก็ต้องมีการหยั่งเชิงกัน เคลย์ อัลลิสัน  ส่งเพื่อนที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า จ๊อร์จ ฮ็อย เข้าไปก่อน
เพื่อนคนนี้ใช้วิธีขี่ม้าลุยฝ่าด่านเก็บปืนเข้าไปในเมืองโดยไม่ยอมปลดอาวุธ ก่อความไม่สงบยิงทุกอย่างที่ขวาง
หน้าจนถึงกลางเมืองเจอเข้ากับวายแอ็ท ซึ่งยืนคอยดูอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน พอได้ระยะวายแอ็ทก็ยิงโป้ง
สวนเข้าให้นัดเดียวโดน จ๊อร์จ ฮ็อย ตกลงจากหลังม้าตายไปในที่สุด ส่วนวายแอ็ทนั้นเหมือนอภินิหารอีกเช่น
เคยคือแคล้วคลาดไม่โดนกระสุนขีดข่วนหรือเฉียดฉิวแต่อย่างใด

เคลย์ อัลลิสัน จึงต้องตามมาคิดบัญชีให้เพื่อน และก็ได้เผชิญหน้าจะๆกับวายแอ็ทที่หน้า ลอง แบร๊นช์ ซาลูน
 (Long Branch Saloon) มีผู้คนมามุงดูมากมาย แต่ก็ผิดหวังเพราะไม่มีการจ้องตากันให้ลุ้นและไม่มีการ
ดวลกันให้ต่อรอง มีเพียงการพูดจาอะไรสักอย่างที่ไม่มีใครได้ยิน หลังจากนั้นมือปืนผู้ดุร้ายและชอบลบหลู่
อำนาจรัฐนาม เคลย์ อัลลิสัน ก็ถอยกลับขึ้นม้าขี่ออกนอกเมืองไปเสียเฉยๆ หนนี้ไม่ได้เป็นเพราะอภินิหาร
อะไรหรอกครับ เป็นเพียงเพราะว่าเคลย์มองเห็น แบ๊ท  ม้าสเตอร์สัน ยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ในมือถือปืนลูกซอง
จ้องใส่ตัวอยู่เท่านั้น

และที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ นี่เองที่วายแอ็ทได้เพื่อนใหม่อีกคนซึ่งจะร่วมเป็นร่วมตายกันอีกหลายหนในวันข้างหน้า
เป็นอีกคนที่จะได้เข้าร่วมแจมกับวายแอ็ท ในการดวลที่ คอกสัตว์โอเค คระราล (OK Corral) ด้วย ใช่แล้วครับ
เขาคือ จอห์น เฮนรี่ หรือ 'ด๊อค' ฮอลลิเดย์  (Doc Holliday) อดีตหมอฟันชาวจอร์เจีย ผู้ป่วยเป็นวัณโรคไม่รู้ว่า
จะตายวันตายพรุ่ง เลยออกตระเวณใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดหมายและหันมาเอาดีทางการพนัน ด๊อคเป็นนักเลงปืน
ที่ทั้งไวและแม่น แถมยังถนัดมีดสั้นอีกด้วย มีชื่อเสียงโด่งดังว่าฆ่าคู่ต่อสู้ตายไปแล้วหลายคนกลางวงไพ่ทุกครั้ง
ที่มีการกล่าวหาท้าทายกันเรื่องโกง

เหตุการณ์ที่นำมาสู่มิตรภาพเกิดขึ้นเมื่อ เอ๊ด มอริสัน คู่ปรับเก่าจากเมืองวิชิต้า ตามมาเพื่อจะแก้มือกับวายแอ็ท
หลังจากได้ข่าวว่ากำลังรุ่งอยู่ที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ เอ๊ดพาลูกสมุนมาด้วย 50 คน ลุยด่านเก็บปืนเข้ามาส่งเสียงดัง
ยิงปืนขู่ขวัญพังร้านรวงมาตลอดทาง พอถึงหน้า ลอง แบร๊นช์ ซาลูน ก็ลงจากหลังม้าพากันบุกเข้าไปข้างใน พัง
ข้าวของแล้วก็ข่มขู่ลูกค้าไปด้วย วายแอ็ทไม่ทันได้ตั้งตัววิ่งตามเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอผลักบานประตูเข้าไป
ก็เจอปากกระบอกปืนเป็นตับจ้องรออยู่ ตัวเองพกปืนอยู่ก็จริงแต่ขืนแค่เพียงทำท่าว่าจะสู้ก็คงเละอยู่ตรงนั้นแน่
ได้แต่ยืนคุมเชิงกันอยู่ไม่ยอมถอยเหมือนกัน ในใจก็คิดว่าถ้าต้องตายละก็จะพาพวกนี้ไปร่มทัวร์เมืองผีด้วย
อย่างน้อยซักสี่ห้าคน

ท่ามกลางลูกค้าอื่นๆในร้านมากมายที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนนั้น เอ๊ด มอริสัน ซึ่งนั่งกินเหล้ารออยู่ลุกขึ้นเดิน
ออกมา ท่าทางมั่นใจเกินร้อยบอกกับวายแอ็ทอย่างเย้ยหยันว่า นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วซะ แล้วรีบชัก(ปืน)ออกมา

แต่แล้วแทนที่ฝันจะกลายเป็นจริงเสียที กลับมีเสียงใครไม่รู้พูดมาจากข้างหลังว่า ม่ายช่ายหรอกเพื่อน แกนั่น
แหละที่ต้องชัก(ก็ปืนอีกนั่นแหละครับ) หรือม่ายงั้นก็ยกมือขึ้นซะ แล้วนักเลงโตผู้ฝันอยากจะเก็บนายอำเภอชื่อ
ดัง ก็รู้สึกว่ามีปืนอีกกระบอกมาจ่ออยู่ตรงขมับตัวเองพอดี

ถูกแล้วครับ ด๊อค ฮอลลิเดย์  คือเจ้าของเสียงนั้น ด๊อคกำลังเล่นไพ่อยู่ในอีกห้องหนึ่ง ถูกรบกวนสมาธิจากเสียง
เอะอะโครมครามก็เลยออกมาดู เห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็ย่องเข้ามาข้างหลังตอนที่เอ๊ดกับลูกสมุนกำลังมัว
แต่สนใจอยู่กับ วายแอ็ท จากนั้นด๊อคก็ตะโกนบอกบรรดาลูกสมุนของเอ๊ดที่ยังคงจ้องปืนอยู่ที่วายแอ็ทว่า หน้า
ไหนเหนี่ยวไกละก็ รับรองลูกพี่มันหัวเป็นรูแน่ และแล้วปืนกว่า 50 กระบอกก็ลงไปกองอยู่กับพื้น

เหตุการณ์นี้ทำให้วายแอ็ท ระลึกถึงบุญคุณของด๊อคไปนาน ส่วนด๊อคเองนั้นก็ชอบในความกล้าหาญและ
ความเป็นนักเลงจริงของวายแอ็ท และติดสอยห้อยตามสนับสนุนวายแอ็ทไปทุกที่เช่นกัน บรรดาผู้คนที่ไม่
ทราบถึงที่มาก็ค่อนข้างจะงงๆอยู่ว่า ทำไมนายอำเภอของตัวถึงได้ลดตัวลงมาคบหาสมาคมกับนักเลงการ
พนันผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกร ที่ทั้งขี้โรคแล้วก็ขี้เหล้า (เป็นที่รู้กันว่าทั้งๆที่ไอโขลกๆ ตลอดเวลาเพราะวัณโรค
พี่แกยังสามารถดื่มได้ถึงวันละเกือบ 4 ลิตร เริ่มตั้งแต่อาหารเช้าไปจนก่อนนอนโดยไม่มีอาการเมา) แต่วายแอ็ท
คงจะเห็นรูปทองของด๊อคซ่อนอยู่ภายใน เข้าใจลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของปรัชญาชีวิตและหลักจิตวิทยาว่า ที่จริง
แล้วด๊อคเป็นผู้มีการศึกษา รักความยุติธรรม และไม่ได้มีสันดานเป็นโจรผู้ร้าย แต่เพราะความที่รู้ตัวว่าจะต้อง
ตายไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้อยู่แล้วก็เลยไม่แคร์กับอะไรทั้งสิ้น ขอใช้ชีวิตโลดโผนดุเดือดให้สะใจไปวันๆ ในขณะที่ฝีมือ
และไหวพริบนั้นไม่เบาทีเดียว เอาเป็นว่าไม่จัดอยู่ในพวกยี้ก็แล้วกันนะครับ

ในช่วงเวลา 2 ปีที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ วายแอ็ทไม่ได้เป็นแต่ผู้รักษากฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้ริเริ่มเป็น
นักพนันกับเขาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ซึ่งเป็นนักพนันตัวฉกาจอยู่แล้วมาเป็นเพื่อน
แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน คู่หูเดิมก็เข้าร่วมวงด้วย ทั้งวายแอ็ท และแบ๊ทจะใช้เวลานอกราชการอยู่ที่ อัลฮัมบร้า
ซาลูน (Alhambra Saloon) เป็นส่วนใหญ่เพลิดเพลินกับการเป็นเจ้ามือและรายได้เสริมจากไพ่ฟาโร ผู้คนทั่ว
ไปก็ชอบให้ทั้งสองมานั่งเล่นด้วยเพราะช่วยไล่กุ๊ยไปในตัว ส่วนด๊อคก็ให้ความนับถือวายแอ็ท ไม่สร้างปัญหา
ให้ใคร ในที่สุดที่นี่ก็เป็นที่ชุมนุมของบรรดาคนดัง พ่อค้าวาณิชและนักการเมืองที่เดินทางผ่านไปมามากมาย
เขาว่ากันว่าในสมัยนั้นการพนันถือเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติอาชีพหนึ่ง และการโกงไพ่แต่พองามอย่างมีศิลปะม
ีชั้นเชิงไม่โจ๋งครึ่มจนน่าเกลียดก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย ฟังดูแล้วก็น่าสนใจดีนะครับว่าเมื่อ 120 ปีมาก่อน
เขาคิดกันอย่างไร ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องหมายถึงการเมืองกับการเลือกตั้งในประเทศไหนสักแห่งนึงแน่ๆเลย

เมือง Dodge City ถ่ายโดยผู้เขียนเมื่อปี 1980 ส่วนนี้ทำขึ้นมาใหม่
เพื่อจำลองสถานที่และบรรยากาศสมัยยุคเคาบอย

ที่ ด๊อดจ์ ซิตี้ นี่อีกเหมือนกันครับ ที่ว่ากันว่านักเขียนนิยายเล่มละ10 ตังค์ หรือ Dime Novel ชื่อดังในยุคนั้น
นามปากกาว่า เน็ด บั๊นท์ไลน์ ได้มอบปืนโค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ รุ่นพิเศษลำกล้องยาว 12 นิ้ว สั่งทำโดย
ตรงจากโรงงานโค้ลท์ เรียกกันว่ารุ่น บั๊นท์ไลน์ สเปเชี่ยล ให้กับวายแอ็ทและผู้ช่วยทั้งหลายโดยเฉพาะ เรื่องนี้ใน
ปัจจุบันยังถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าจริงหรือไม่ ต่างฝ่ายต่างก็มีหลักฐานมาอ้างอิงกันทั้งนั้น ซึ่งผมจะไม่
ฝักใฝ่ฝ่ายใดละนะครับ แต่ถ้าหาปืนรุ่นนี้ได้หรือท่านใดมีอยู่จะนำมาโชว์หรือทดสอบกันก็จะได้ทั้งสาระและ
ความสนุกสนานยิ่งขึ้น

ปืนโคลท์ ซิงเกิล แอ็คชั่น อาร์มี รุ่นพิเศษ "บันท์ไลน์ สเปเชี่ยล"
ลำกล้องยาว 16นิ้ว ต่อพานท้ายแบบโครงเหล็ก เพื่อยิงในลักษณะ
ปืนยาวคาร์ไบน์ได้

เมื่อ ถึงปี 1879 ด๊อดจ์ ซิตี้ เริ่มเข้าสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย วายแอ็ทจึงบอกลาไปผจญภัยต่อ ตามคำ
ชวนของเวอร์จิลพี่ชาย ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่ผู้ช่วยนายอำเภอ และเป็นหัวหน้าตำรวจอยู่ที่เมืองทูมบ์สโตน
(Tombstone) ในอริโซนา หลังจากที่น้องชายคือมอร์แกน ได้รับคำชวนเช่นกันและล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ทูมบ์สโตนขณะนั้นเป็นเมืองที่กำลังบูมสุดขีด เพราะนอกจากรอบๆเมืองจะมีปศุสัตว์เป็นจำนวนมากแล้ว
ยังมีการขุดพบแร่เงินอีกด้วย วายแอ็ทเข้าลงทุนร่วมกับพี่ๆน้องๆเป็นหุ้นส่วนใน โอเรียนเต็ล ซาลูน แล้วก็
รับงานเป็นผู้คุ้มกันรถม้าของบริษัท เวลส์ ฟาร์โก ด้วย และจากงานผู้คุ้มกันรถม้านี่เองที่ทำให้วายแอ็ทต้อง
เหยียบเท้ากลุ่มอิทธิพลประจำท้องถิ่นเข้าอีก

กลุ่มอิทธิพลที่ว่านี้คือพวกตระกูลแคลนตั้น (Clanton) เป็นผู้กว้างขวางทำอาชีพปศุสัตว์ในเขตนี้อยู่ก่อนแล้ว
หลายปี เป็นแก๊งใหญ่มากนำโดย นิวแมน เฮนส์ ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า เฒ่าแคลนตั้น กับลูกชาย 3 คนได้
แก่ ไอ๊ค์, ฟิเนียส และ บิลลี่ แถมด้วยลูกสมุนนักเลงปืนฝีมือดีอีกมากมายได้แก่ จอห์นนี่ ริงโก้ อีกคนได้แก่ บิล
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า บิลผมลอน โบรเชียส จากนั้นก็มีสองพี่น้อง แฟร้งค์ กับ ทอม แม็คลอรี่ ตามด้วย ฟลอเรน
ทีโน่ ครุซ ที่ชาวบ้านเรียกว่า อินเดียน ชาร์ลี แล้วยังมี พีท สเป๊นซ์ อีกทั้ง แฟร้งค์ สติลเวลล์ เป็นอาทิ คาวบอย
แก๊งนี้ไม่ได้ค้าขายปศุสัตว์ด้วยวิธีสุจริต แต่ใช้วิธีทั้งขโมยและปล้นเอามาจากฝั่งเม็กซิโก อาศัยที่พื้นที่อยู่ติดกับ
รอยต่อพรมแดน ทำให้ติดตามหาหลักฐานได้ยาก นอกจากนั้นยังปล้นรีดไถรถม้าด้วย ที่สามารถทำธุรกิจนอก
ระบบอยู่ได้ก็เพราะมีเชอร์ริฟที่ชื่อ จอห์น บีแฮน เป็นพวก

เหตุที่ทำให้วายแอ็ทต้องเหยียบเท้าพวกนี้เริ่มต้นด้วยอยู่ดีๆม้าของตัวเองหายไป หลังจากเพิ่งมาถึงทูมบ์สโตน
ได้ไม่กี่วัน พอมีคนมากระซิบบอกว่าลองไปหาแถวๆไร่ของพวกแคลนตั้น ดูซิ วายแอ็ทก็ตามไปดูและพบว่าม้า
ของตัวอยู่กับบิลลี่ แคลนตั้น หลังจากมีปากเสียงกันอยู่พักใหญ่ บิลลี่ก็ยอมให้วายแอ็ทเอาม้าคืนไปอย่างไม่
ค่อยสบอารมณ์

จากนั้นก็มีฬ่อตัวหนึ่งของกองทหารม้าหายไปอีก ทางทหารได้ขอแรงให้ฝ่ายสืบสวนของบริษัท เวลส์ ฟาร์โก
ร่วมมือกับทางตำรวจของเมืองทูมบ์สโตนช่วยค้นหาร่องรอย วายแอ็ทจึงได้ติดตามเวอร์จิลพี่ชายออกแกะรอย
ตามไปจนถึงบ้านของพวกแม็คลอรี่ ก็พบฬ่อตัวนั้น แถมพบอีกว่าที่บ้านดังกล่าวมีอุปกรณ์สำหรับตีตราเปลี่ยน
ตราเดิมที่ตีไว้แล้วด้วย ทางทหารมานำฬ่อคืนไป แล้วลงประกาศหนังสือพิมพ์ให้รางวัลใครก็ตามที่สามารถหา
หลักฐานมาจับพวกแม็คลอรี่เข้าคุกได้ ทำให้พวกแม็คลอรี่ โมโหและเจ็บแค้นว่าพวกเอิ๊ร์ปเป็นตัวการทำให้เสีย
ชื่อเสียง

ไวย์แอท เอิร์บ (ซ้าย) และน้องพี่ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันที่เมืองทูมบ์สโตนใน ระหว่างปี 1879-1882
ได้แก่ มอร์แกน (กลาง) และเวอร์จิล (ขวา)

แล้วก็เกิดมีคดี บิลผมลอน โบรเชียส เมาสุราอาละวาดแล้วฆ่านายอำเภอ เฟร้ด ไว้ท์ ตาย ขณะที่นายอำเภอไว้ท
์ พยายามจะจับปลดอาวุธ เรื่องของเรื่องก็คือ บิลผมลอน ทำทีเป็นส่งปืนในมือทั้งซ้ายและขวาให้ โดยกำปืนตรง
ลูกโม่ คว่ำตัวปืนหันด้ามปืนออกจากตัวยื่นไปข้างหน้า แต่พอนายอำเภอยื่นมือทั้งสองมาจะรับ บิลผมลอน ก็
เล่นกลด้วยวิธีที่นักเลงปืนสมัยนั้นเรียกกันว่า โร้ด เอเย่นท์ส สปิน  (Road Agent's Spin) คืองอนิ้วชี้ให้เป็นตะขอ
สอดเข้าโกร่งไกจากด้านใน ปล่อยปืนที่กำไว้ให้หงายตกลงมาแขวนอยู่กับข้อนิ้ว แล้วตวัดควงปืนหมุนด้ามกลับ
มากำไว้ ปากกระบอกหันกลับไปอยู่ด้านหน้า ง้างไกด้วยนิ้วโป้งแต่ไม่ถอนนิ้วชี้ออกจากโกร่งไก นายอำเภอเลย
คว้าเอาปากกระบอกปืนดึงเข้าหาตัวแทน ผลก็คือแน่นอนครับว่าลั่นตูมทั้ง 2 กระบอกเข้าที่พุงของนายอำเภอ
ทรุดลงไปนอนเลือดท่วมอยู่บนพื้น วายแอ็ทได้ยินเสียงปืนและเห็นเหตุการณ์ก็วิ่งเข้าไปคว้าปืนตีบิลผมลอน
เข้าที่หัว แล้วส่งให้เวอร์จิลพาเข้าคุกไป แต่ในที่สุดศาลสั่งปล่อย เพราะก่อนที่นายอำเภอไว้ท์จะสิ้นลมดันละเมอ
ออกมาให้ผู้คนที่อยู่รอบๆได้ยินว่า ไม่น่าดึงปืนให้ลั่นเลย หลังจากถูกปล่อยแล้ว บิลผมลอนก็คุยโขมงไปทั่วว่า
ตัวเองหลอกยิงนายอำเภอได้

ระหว่างนั้นด๊อค  ซึ่งติดตามวายแอ็ทมาอยู่ทูมบ์สโตนด้วยก็มีเรื่องเขม่นกับ จอห์นนี่ ริงโก้ ซึ่งตามประวัติกล่าวว่า
 เดิมเป็นชาวมิสซูรี่ที่เรียนหนังสือมาสูงเหมือนกัน แต่มีปัญหาทางจิตเป็นพวกเก็บกดโมโหร้ายทำอะไรไม่ยั้งคิด
ความที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้ชื่อว่าเป็นเสือปืนไวชื่อดัง (แถมโรคจิตพอๆกัน) จึงยียวนเข้าใส่กันเต็มที่เกือบจะปะทะ
กันหลายหน เหล่านายอำเภอและผู้ช่วยทั้งหลายต้องคอยจับแยกออกเป็นประจำ

แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นอีก เมื่อรถม้าคันหนึ่งถูกปล้น คนขับถูกยิงตาย มีการ
กล่าวหาและสร้างพยานเท็จว่าด๊อคเป็นตัวการ โดยพวกแคลนตั้นกับเชอร์ริฟบีแฮนร่วมมือกันออกอุบาย ชวน
แฟนของด๊อคทีเพิ่งเสร็จจากการทะเลาะถึงขั้นตบตีกันกับด๊อคไปเลี้ยงเหล้า ทำทีเป็นว่าเห็นใจ แต่แล้วกลับ
ยุยงให้ไปให้การปรักปรำด๊อคกับศาล จนด๊อคเกือบจะถูกตัดสินแขวนคออยู่แล้ว เกิดเปลี่ยนใจสงสารกลับคำ
ให้การทีหลัง ด๊อคถึงรอดออกมาได้ พอหลังจากนั้นไม่นานมีการปล้นรถม้าอีก แต่คราวนี้คนขับรอดแล้วให้การ
ซัดทอดว่าเป็นฝีมือของ พีท สเป๊นซ์ กับ แฟร้งค์ สติลเวลล์ พอเวอร์จิลและวายแอ็ทตามไปจับทั้งคู่มาขึ้นศาลได้
ทั้งพีทและแฟร้งค์ กับลูกสมุนทั้งหลายก็ประกาศก้องว่า แค้นนี้ต้องชำระแน่

นับเป็นเวลารวมกันเกือบ 2 ปีแล้ว ที่วายแอ็ทกับพี่น้องแถมด้วยด๊อค ย้ายมาทำมาหากินที่ทูมบ์สโตน และมี
เรื่องเขม่นกันกับแก๊งแคลนตั้น เจ้าพ่อดั้งเดิมที่มีเชอร์ริฟบีแฮนคอยคุ้มครอง เกือบจะตั้งแต่วันแรกอย่างไม่
หยุดหย่อน ย่างเข้าหน้าร้อนของปี 1881 เฒ่าแคลนตั้นเกิดโชคร้ายถูกพวกตำรวจแม็กซิกันยิงตายขณะที่เข้า
ไปปล้นม้าในเขตของเม็กซิโก ลูกชายคนโตคือ ไอ๊ค์ ขึ้นมาเป็นผู้นำแทน สิ่งที่ไอ๊ค์ทำเป็นอย่างแรกก็คือประกาศ
สงครามกับพวกเอิ๊ร์ปอย่างเปิดเผย โดยตัวเองและพรรคพวกพากันเที่ยวพูดจาไปทั่ว โดยเฉพาะในซาลูนที่มี
คนแยะๆว่า จะจัดการส่งพวกพี่น้องเอิ๊ร์ปกับ ด๊อค ฮอลลิเดย์  ไปบู๊ตฮิลล์ (Boot Hill - สุสานที่ใช้ฝังศพพวก
คาวบอยที่มีอันต้องจบชีวิตลงแบบ died with his boots on คือถูกยิงตายจากการดวล นำไปฝังโดยไม่ทันได้
ถอดรองเท้าบู๊ตออกจากศพเสียก่อนนั่นแหละครับ) ลงหลุมเสียในเร็วๆนี้

คืนวันที่ 25 ตุลาคม 1881 ไอ๊ค์เมาสุราอยู่ในอ๊อกซิเดนทัล ซาลูน (Occidental Saloon) หลังจากตะโกนด่า
ท้าทายพวกเอิ๊ร์ปและด๊อค ฮอลลิเดย์ อย่างรุนแรงแล้ว ก็จ๊ะเอ๋เข้ากับด๊อคพอดี ด๊อคกะเอาเรื่องเต็มที่ ถามว่า
เมื่อไรจะลงมือเสียทีล่ะ เดี๋ยวนี้เลยมั้ย เกือบจะลงไม้ลงมือกันก็พอดีเวอร์จิลและมอร์แกนรีบมาจับแยกออก
จากกันได้ทัน แต่ไอ๊ค์ก็ไม่ยอมลดละ กลับออกไปจากซาลูนเห็นวายแอ็ทเดินอยู่ข้างนอก ก็รี่เข้าไปตะคอก
ใส่วายแอ็ทว่า บอกไอ้เพื่อนปอดเน่าตัวแสบของแกว่าพรุ่งนี้มันต้องไปแน่ รวมทั้งตัวแกด้วย เตรียมตัวให้ดีเถอะ

และแล้วก็มาถึงวันที่มีการดวลปืนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโคบาลตะวันตก คือ 26 ตุลาคม 1881
พวก เอิ๊ร์ปเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่เช้า ส่วนพวกแคลนตั้นก็ทยอยกันขี่ม้าเข้าเมืองกันมาแต่เช้าเช่นกัน
ก่อนจะเริ่มยิงกันจริงๆก็ต้องมีการลองของกันเล็กน้อยเพื่อหยั่งเชิงตามธรรมเนียมครับ โดย ไอ๊ค์ แคลนตั้น
ถือปืนลูกซองเดินมาตามถนนร้องด่าท้าทายมาก่อน แต่แล้วก็ถูกเวอร์จิลในฐานะนายอำเภอจับข้อหาก่อความ
ไม่สงบ ส่งศาลปรับทันที 25 เหรียญ ยึดปืนไว้ด้วย ระหว่างที่ยังอยู่ในศาลยังไม่กลับออกมานั้น วายแอ็ท และ
 ทอม แม็คลอรี่ ต่างคนต่างตามไปดูเหตุการณ์ เจอะกันที่หน้าศาลก็มีการปะทะคารมกันอีก ไม่มีใครได้ยินว่า
พูดอะไรกันบ้าง แต่ตอนท้ายวายแอ็ทชักปืนออกมาเอาด้ามตีกบาลของทอม โดยไม่มีการยิงกัน (คงยังพอ
เกรงใจศาลกันอยู่บ้างกระมังครับ ไม่เหมือนสมัยนี้) ทอมก็ล่าถอยกลับไป

ไอ๊ค์และทอมกลับไปสมทบกับพรรคพวก อันประกอบด้วย บิลลี่น้องชายของไอ๊ค์, แฟร้งค์น้องชายของทอม
แถมด้วย บิลลี่ เคลย์บอร์น อีกคนหนึ่ง รวมเป็น 5 คน ไอ๊ค์แวะซื้อปืนสั้นกระบอกหนึ่งมาใช้แทนลูกซองที่ถูก
ศาลยึดไป (น่าจะเฉลียวใจนะครับว่าฤกษ์ไม่ดี) ทั้งหมดมาชุมนุมกันอยู่ในซอยแยกจากถนนฟรีม้องท์ไปทาง
ทิศใต้ ฝั่งหนึ่งของซอยเป็นคอกม้าชื่อ เจอร์ซี่ย์ ลิฟเวอรี่ สเตเบิ้ล ฝั่งตรงกันข้ามเป็นร้านถ่ายรูปชื่อ ฟลายส์
แกลเลอรี่ ท้ายซอยอยู่ไม่ไกลจาก คอกสัตว์โอเค คระราล (OK Corral) นัก ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาได้ยิน
เสียงพวกนี้คุยว่าจะทำอะไรกันแล้ว ก็เดาได้ว่าเดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ต่างพากันไปชุมนุมกันอยู่ที่หัว
มุมถนนตรงปากซอยคอยดูเหตุการณ์ คนหนึ่งรีบคาบข่าวไปบอกกับเวอร์จิล ว่า เห็นพวกคาวบอย 5 คนอาวุธ
ครบมือ พูดว่ามันจะเด็ดหัวพวกเอิ๊ร์ปกันแล้วหละ

แผนที่เมืองทูมบ์สโตน แสดงที่ตั้งของสถานที่สำคัญ
ต่างๆ รวมทั้งโอเค คระราล (OK Corral) และสถานที่
เกิดการดวล (ตรงลูกศรชี้เขียนว่า Actual Site of Gunfight)

เวอร์จิลได้ยินดังนั้นก็ชวนเชอร์ริฟบีแฮน ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นผู้สนับสนุนแคลนตั้น ให้ไปช่วยปลดอาวุธกันเสีย
จะได้ไม่มีเรื่อง คงเดาได้นะครับว่าถูกปฏิเสธอยู่แล้ว ในที่สุดสามพี่น้องเอิ๊ร์ป กับ ด๊อค ฮอลลิเดย์ รวมเป็น
4 คน จึงออกเดินไปตามถนนแอเล็น เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 4 เลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าถนนฟรีม้องท์ ตามเข้าไป
ถึงในซอยที่ ไอ๊ค์ แคลนตั้น กับพรรคพวกชุมนุมอยู่ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่คอยลุ้นว่าจะลงเอยกันอย่างไร
(สงสัยคงมีพวกนักพนันอยู่ไม่น้อยทีเดียวแหละครับ) เมื่อได้ระยะเผชิญหน้ากันแล้ว เวอร์จิลในฐานะเจ้าหน้าที่
อาวุโสสูงสุดก็ก้าวออกไปข้างหน้า ถือไม้เท้าไว้ในมือซ้าย ตะโกนออกไปว่า ทิ้งปืนและยอมให้จับเสียดีๆ 

ภาพเขียนแสดงการดวลครั้งประวัติศาสตร์ที่คอกสัตว์ โอเค คระราล เมื่องทูมบ์สโตน รัฐอริโซน่า
ชายในชุดเสื้อโคทดำสี่คนทางซ้ายมือคือพี่น้องเอิร์บและด๊อก ฮอลิเดย์ (คนไกลสุดคือมอร์แกนถัด
เข้ามาคือเวอร์จิล และไวย์แอท คนใกล้ที่สุดที่ผูกผ้าผันคอือด็อก) ขวามือที่เหลือคือพวกแคลนตั้นกับ
แม็คลอรี่ ภาพนี้เขียนโดย ลีแม็คคาร์ธี ตามคำบอกเล่าของไวย์แอท เอิร์บผ่านเพื่อนที่เคยทำงานร่วมกัน

มีเสียงกระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ทั้งจากแก๊งแคลนตั้น และจากข้างหลังของเวอร์จิลเอง แต่แล้วทุกคนก็ได้ยิน
เสียง "กริ๊ก!" ดังขึ้น ทุกวันนี้ยังถกเถียงกันอยู่ว่าใครกระซิบอะไร และเสียง "กริ๊ก!" ที่ตามมานั้นดังมาจากไหน
แต่ที่ไม่เถียงกันเลยก็คือ ทุกคนเล่าตรงกันว่า พอเวอร์จิลได้ยินเสียง "กริ๊ก!" ก็อุทานออกมาดังๆว่า Hold it! I
don't mean that! แปลแบบไทยๆก็คงหมายถึงอะไรที่เกี่ยวกับการจากไปด้วยอหิวาตกโรคนั่นแหละครับ

30 วินาทีต่อจากนั้น ต่างฝ่ายต่างยิงกันอุตลุดโดยไม่รู้ฝ่ายไหนเริ่มยิงก่อน รายละเอียดผมขออนุญาตไม่
บรรยายละนะครับ ขอแนะนำว่าให้หาหนังเรื่อง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป หรือทูมบ์สโตน ที่ผมกล่าวถึงไปแล้วเมื่อครั้ง
ก่อนมาดูกันดีกว่า จะได้อรรถรสที่สุดครับ ยังไงๆ สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น หนังทั้ง 2 เรื่องเดินเรื่องและทำ
ฉากแสดงภาพการดวลอย่างทุกแง่ทุกมุม ชนิดที่เรียกว่าต่อให้สถานีโทรทัศน์ CNN ส่งทีมข่าวย้อนยุคกลับ
ไปก็ไม่สามารถได้รายละเอียดขนาดนี้

ผลของการดวลก็คือ ฝ่ายแคลนตั้นถูกยิงตาย 3 คน ได้แก่ ทอมกับแฟร้งค์ แม็คลอรี่ และ บิลลี่ แคลนตั้น
ส่วนอีก 2 คน บิลลี่ เคลย์บอร์น วิ่งหนีหายตัวไปเสียก่อนหลังจากเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น ไอ๊ค์ แคลนตั้น วิ่ง
เข้าไปหาวายแอ็ทขอสงบศึก แต่วายแอ็ทไม่ยอม ยันกลับออกไปบอกว่า การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว ถ้าไม่สู้ก็วิ่งหนี
ไปซะ ไอ๊ค์จึงวิ่งหนีเข้าไปใน ฟลายส์ แกลเลอรี่ ออกประตูหลังหายไปอีกคน ฝ่ายเอิ๊ร์ปบาดเจ็บ 2 ได้แก่ เวอร์จิล
โดนยิงที่ขา, มอร์แกน โดนที่สีข้าง ขณะที่ ด๊อค โดนกระสุนถากที่ตะโพกหน่อยนึง ส่วนวายแอ็ทนั้น กระสุน
แค่วิ่งทะลุชายเสื้อโค้ตไปนัดนึง ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย

ก่อนจะว่าต่อไปขอแถมเกร็ดเล็กน้อยนะครับว่า บริเวณที่เกิดการยิงกันนี้ ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
สำคัญของเมืองทูมบ์สโตนไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หนังชื่อเดียวกันออกฉายเมื่อ 6-7 ปีก่อน แถม
มีคำขวัญประจำเมืองว่า A town too tough to die หรือ เมืองอึดไม่ยอมตาย เสียด้วย (ส่วนสมัยนั้นจะใช้คำ
ขวัญอื่นหรือเปล่านักประวัติศาสตร์ไม่ได้กล่าวไว้ แต่คงไม่ใช่ประเภทเมืองขนมหม้อแกงแหล่งธรรมะ หรืออะไร
แบบนั้นแน่) ตัวผมเองนั้นเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว มีโอกาสไปเยี่ยมชมสถานที่จริง จำได้ว่าชื่อถนนหนทางต่างๆ
ยังคงอยู่ มีการจำลองสถานที่ต่างๆที่เอ่ยชื่อไปแล้วไว้ให้ดู แถมมีหุ่นปูนปั้นเท่าตัวจริงของมือปืนทั้ง 9 คน ตั้ง
ไว้ในตำแหน่งก่อนที่จะเริ่มยิงกันด้วย หากกลับไปดูตอนนี้ก็คงมีการพัฒนามากขึ้นไปอีก ใครจะไปรู้สักวันหนึ่ง
อาจจะกลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ไปก็ได้นะครับ

ภาพปั้นจำลองการดวล ณ สถานที่จริงที่โอเค คระราล (มีป้ายบอกกำกับชื่อไว้ทุกคน) ถ่ายจาก
ด้านหลังของพวกแคลนตั้นกับแม็คลอรี่ มองเห็นพวกเอิร์บเดินมาจากระยะไกล ที่เห็นเป็นร้าน
ทางขวามือมีป้ายชื่อยื่นออกมานั้นคือ ฟลายส์ แกลเลอรี่ ที่ ไอ๊ค์ แคลนตั้นวิ่งหนีเข้าไปหลังจาก
เปลี่ยนใจไม่ยอมสู้

รูปปั้นจำลองไวย์แอท เอิร์บ (ซ้าย) และด็อก ฮอลลิเดย์ (ขวา) ที่โอเค คระราล ในตำแหน่งจริง
ขณะที่เผชิญหน้ากับพวกแคลนตั้นและแม็คลอรี่ ตามหลักฐานที่มีการบันทึกไว้ (ส่วนคนกลาง
ไม่รู้เหมือนกันครับว่าใคร ไม่ยักกลัวลูกหลงแฮะ)

ส่วนปืนที่วายแอ็ทใช้ในการดวลนั้น เมื่อก่อนเชื่อกันว่าเป็นปืนโค้ลท์ รุ่น บั๊นท์ไลน์ สเปเชี่ยล ที่เล่ากันว่าวายแอ็ท
ได้รับมาเมื่อสมัยที่เป็นนายอำเภออยู่ที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ กล่าวกันถึงขนาดว่า วายแอ็ทลงทุนให้ตัดเสื้อโค้ตที่มี
กระเป๋าด้านในออกแบบไว้เป็นพิเศษให้สามารถพกพาและชักออกมาได้อย่างสะดวก พวกเราๆท่านๆก็พอจะนึก
ออกนะครับว่าปืนรีวอลเวอร์ลำกล้องยาวตั้ง 12 นิ้วเนี่ย จะชักให้สะดวกได้ซักแค่ไหน แค่พกติดตัวนี่ก็น่าจะรุ่มร่าม
เอาการอยู่ ภายหลังมีการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มขึ้นแล้วก็พบหลักฐานบอกว่า ปืนที่วายแอ็ทใช้ดวลไม่ใช่ปืนโค้ลท์
แต่เป็นปืน สมิธ แอนด์ เว้สสัน รุ่นหมายเลข 3 ขนาด .44 ลำกล้อง 8 นิ้ว ซึ่งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ทูมบ์สโตน
เอพิแทฟ เป็นผู้มอบให้เป็นของขวัญ ข้างเวอร์จิลพี่ชายก็ใช้ สมิธ แอนด์ เว้สสัน รุ่นหมายเลข 3 ขนาด .44 เหมือน
กัน แต่เป็นแบบใหม่ (New Model) ลำกล้อง 6.5 นิ้ว ชุบนิคเกิ้ล ด้ามงาเสียด้วย ส่วนฝ่ายตรงข้ามทั้ง แฟร้งค์ แม็ค
ลอรี่ และ บิลลี่ แคลนตั้น สองในสามที่ถูกยิงตายนั้นใช้ ปืนโค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ขนาด .44-40 ก็ไม่ทราบ
เหมือนกันนะครับว่าใครเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนการค้นคว้าที่ว่านี้ แต่ต้องไม่ใช่บริษัทโค้ลท์ แน่

ปืนสมิท แอนด์ เวสสัน รุ่นหมายเลข 3 ที่ไวย์แอท และเวอร์จิล เอิร์บใช้ในการดวลที่โอเค คระราล
หนังเคาบอยฮอลลี่วู้ดไม่ค่อยโชว์ปืนรุ่นนี้นักทั้งๆที่ตามหลักฐานบอกว่าเป็นรุ้นยอดนิยมของบรรดา
มือปืนดังๆหลายคน

เสร็จจากการดวลเพียงอาทิตย์กว่าๆ  วายแอ็ทกับพวกถูก ไอ๊ค์ แคลนตั้น ฟ้องศาลแจ้งข้อหาเจตนาฆ่าโดยผู้
อื่นที่ไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้ แต่หลังจากเรียกสอบพยานและพิจารณาหลักฐานต่างๆแล้วศาลตัดก็สินยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาคดีนั้น ด๊อคให้การแบบเหน็บแนมว่า ถ้าพวกแคลนตั้นไม่มีอาวุธและไม่คิดจะต่อสู้จริง
ละก็ แปลว่าทั้งเวอร์จิล และมอร์แกนยิงตัวเองยังงั้นซิ นอกจากนี้แล้วปรากฏว่ามีประชาชนทั้งของเมืองวิชิต้า
และ ด๊อดจ์ ซิตี้ ที่วายแอ็ทเคยเป็นนายอำเภออยู่ ทำจดหมายลงชื่อร่วมกัน (ไม่รู้ว่าถึง 5 หมื่นคนหรือเปล่านะ
ครับ) ส่งมาถึงผู้พิพากษายืนยันว่า วายแอ็ท เป็นผู้รักษากฎหมายที่เคร่งครัด และไม่เคยใช้ความรุนแรงโดย
ไม่มีเหตุอันควร

หลังจากนั้นพอถึงวันที่ 28 ธันวาคม เวอร์จิลถูกลอบยิงบาดเจ็บสาหัสจนแขนซ้ายพิการไปตลอดชีวิต ขึ้นปี
ใหม่ถึงวันที่ 18 มีนาคม มอร์แกนกับวายแอ็ทถูกลอบยิงขณะกำลังเล่นบิลเลียดด้วยกัน มอร์แกนโชคร้ายโดน
เข้าข้างหลังจังๆถึงตาย ส่วนวายแอ็ทนั้นแคล้วคลาดเช่นเคยกระสุนพลาดเข้าข้างฝาแทน เมื่อเล่นกันถึงขั้น
นี้แล้ว วายแอ็ทก็ตัดสินใจว่าได้เวลาที่จะแสดงความเป็นผู้นำเสียที จัดชุดไล่ล่าประกอบด้วยด๊อคคนหนึ่ง
วอร์เรนน้องชายอีกคนที่ยังเหลือ กับผู้ช่วยที่ไว้ใจได้อีกสองสามคน ออกตระเวณเก็บกวาดสมุนแคลนตั้น
ที่วายแอ็ทเชื่อว่าเป็นคนลอบยิงพี่น้องของตัวทั้งหมดเสียเกลี้ยง ไล่ไปตั้งแต่ แฟร้งค์ สติลเวลล์, อินเดียน
ชาร์ลี, บิลผมลอน โบรเชียส แล้วก็ จอห์นนี่ ริงโก้ (รายละเอียดขออนุญาตแนะนำว่าให้ดูจากหนัง 2 เรื่องที่
กล่าวถึงไปแล้วอีกเหมือนกันครับ) เหลือเพียง พีท สเป๊นซ์ กับ ไอ๊ค์ แคลนตั้น หัวโจกที่รอดมือวายแอ็ทไป
ได้และไปถูกคนอื่นยิงตายในภายหลัง

จบรายการเก็บกวาดแล้ว วายแอ็ทกับด๊อคก็ย้ายออกจากทูมบ์สโตน ไปอยู่ที่เมืองกันนิสันในโคโลราโด้ ที่
นั่นได้อาศัยเพื่อนเก่าคือ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน ซึ่งเป็นมาร์แชลอยู่ที่เมืองทรินิแดด ช่วยเหลือไม่ให้ต้องถูกส่ง
ตัวกลับไปอริโซนาหลังจากที่เชอร์ริฟบีแฮน ผู้เป็นพวกของแคลนตั้น แจ้งข้อหาจับทั้งวายแอ็ทและด๊อค ขอ
ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปให้ หลังจากนั้นด๊อคจึงบอกลาวายแอ็ท แยกตัวไปผจญภัยตามลำพังต่อ ขณะ
ที่วายแอ็ทกับแบ๊ทได้รับข่าวจากเพื่อนเก่าชื่อ ลุค ช้อร์ท ผู้เคยเป็นหุ้นส่วนลงทุนทำซาลูนร่วมกัน ทั้งคู่กลับ
ไปเยือน ด๊อดจ์ ซิตี้ อีกครั้งหนึ่งในปี 1883 เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยคดีความที่ ลุค ช้อร์ท เกิดไปมีเข้ากับตำรวจ
คนหนึ่งจนตกลงกันได้ จากนั้น วายแอ็ทได้ใช้บารมีของตนช่วยจัดตั้งคณะกรรมการรักษาความสงบเรียบ
ร้อยแห่งเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ ขึ้นดูแลความสงบเรียบร้อยและควบคุมการใช้อำนาจของบรรดาเจ้าหน้าที่เสีย
พร้อมๆกันด้วย

จบผลงานนี้ วายแอ็ทเพิ่งจะอายุได้ 35 แต่ก็ตัดสินใจเกษียณอายุตัวเองออกจากวงการ และย้ายไปปักหลัก
อยู่ใน แคลิฟอร์เนีย ผันตัวเองเข้าสู่วงการกีฬาควบคู่ไปกับอาชีพนักพนันที่ตนถนัดอยู่แล้ว ในช่วงหลังถึงแม้
จะไม่มีการดวลปืนหรือบู๊ล้างผลาญอย่างที่ผ่านมาเนื่องจากไกลจากแดนเถื่อนมาอยู่ในพื้นที่ที่ศิวิไลซ์กว่า แต่
ก็มีวีรกรรมเชิงอภินิหารแสดงให้ปรากฏอีกครับ เป็นข่าวใหญ่พาดหัวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ดังไม่แพ้เรื่อง
การยิงกันที่ทูมบ์สโตนเลย เรื่องนี้ผมเชื่อว่าแม้แต่แฟนพันธุ์แท้ของวายแอ็ท เอิ๊ร์ป หลายท่านก็ยังไม่เคยได้ยิน
แน่ ลองฟังดูนะครับ

ถึงปี 1896 วายแอ็ทเริ่มเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการกีฬา วันที่ 2 ธันวาคม มีการแข่งขัน
ชกมวยครั้งสำคัญที่เมือง ซาน ฟรานซิสโก เป็นการพบกันระหว่าง ชาร์กี้ และ ฟิตซ์ซิมม่อนส์ ผู้จัดการแข่งขัน
ขอร้องให้วายแอ็ทขึ้นเวทีเป็นกรรมการตัดสินในนาทีสุดท้ายก่อนจะเริ่มชก โดยให้เหตุผลว่าเป็นผู้เดียวที่
นักมวยทั้ง 2 ยอมรับ พอวายแอ็ทขึ้นเวทีและถอดเสื้อโค้ตออกเตรียมทำหน้าที่ ผู้ชมทั้งสนามก็ฮือฮากันใหญ่
เมื่อเห็นว่ากรรมการพกปืนมาด้วย ตำรวจประจำสนามเลยต้องจัดการปลดอาวุธเสียก่อนและเปรียบเทียบ
ปรับไป 50 เหรียญ การชกจึงเริ่มต้นได้

มวยคู่นี้มีเดิมพันสูงมากโดยมีฟิตซ์ซิมม่อนส์เป็นต่อ หลังจากชกกันไปได้ระยะหนึ่งฟิตซ์ซิมม่อนส์ก็ปล่อย
หมัดเด็ดน็อค ชาร์กี้ลงไปนอนวัดพื้น แต่กลับถูกวายแอ็ทจับแพ้ฟาวล์ฐานชกใต้เข็มขัด เกิดเป็นเรื่องราว
ขึ้นมาทันทีเพราะมีทั้งคนดูที่เห็นว่าฟาวล์จริงเท่าๆกับคนที่ไม่เห็น หลังจบการชก  ฟิตซ์ซิมม่อนส์กับพวก
(คงจะเสียพนันไปแยะ) ก็แจ้งความจับวายแอ็ท ข้อหาตัดสินไม่ถูกต้องทำให้เสียหาย ปรากฏว่าศาลไม่รับ
ฟ้อง ไม่ใช่เพราะหลักฐานอ่อนแต่เป็นเพราะศาลเห็นว่าตนไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามวยชกถูกต้องหรือไม่ถูก
ต้องอย่างไร

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฟิตซ์ซิมม่อนส์เข้าไปกินเหล้าในซาลูน แห่งหนึ่ง พอเดินเข้าร้านมาก็คุยส่งเสียงดังไป
ทั่วร้านว่า วันนั้นถูกวายแอ็ทปล้นชัยชนะ ถ้าเจอหน้ากันอีกจะๆละก็จะสั่งสอนและแสดงให้ทุกคนในร้านดูว่า
กำปั้นนั้นสามารถวิ่งได้เร็วกว่าชักปืนมากนัก พูดจบก็เข้าไปยืนสั่งเหล้าที่บาร์โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีใคร
คนหนึ่งยืนอยู่ก่อน แต่คนอื่นๆทั้งหมดในร้านเห็น และรู้จักด้วยว่าเป็นใครก็เลยเงียบกริบกันไปหมดทั้งร้าน

วายแอ็ทเพิ่งจะเข้ามาในร้านก่อนหน้าไม่นาน ได้ยินคำพูดของฟิตซ์ซิมม่อนส์โดยตลอด พอเสียงในร้าน
เงียบลงไปเฉยๆ ฟิตซ์ซิมม่อนส์หันไปดูว่ามีอะไรหรือ ถึงได้รู้ตัวว่ากำลังยืนกระทบไหล่วายแอ็ท โดยมีสายตา
ของทุกคนในร้านมองดูอยู่ วายแอ็ทยกแก้วเหล้าด้วยมือซ้ายค้างไว้ที่ระดับริมฝีปาก มือขวาอยู่ไม่ไกลจาก
ด้ามปืนนัก หันมาจ้องตาฟิตซ์ซิมม่อนส์ โดยไม่พูดอะไรซักคำ ฟิตซ์ซิมม่อนส์พอเห็นหน้าวายแอ็ทจะๆแล้ว
แทนที่จะแสดงการปล่อยหมัดให้ชาวบ้านดูตามที่เพิ่งคุยไว้ กลับเซถอยไป 2-3 ก้าวเหมือนถูกใครชก พอ
ตั้งหลักได้ก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากร้านหายไปเลย

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงเรื่องราวเฉพาะในส่วนที่ตื่นเต้น สนุกสนานและน่าติดตามเท่านั้นครับ ช่วงหลัง
จากนี้วายแอ็ทอายุย่างเข้า 50 ปีแล้ว คงจะรู้ตัวเองว่าไม่ควรที่จะเล่นบทบู๊อีกต่อไป ในขณะที่บ้านเมืองก็เริ่ม
เจริญเริ่มมีขื่อมีแปมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างไรก็ตามความที่เป็นคนที่ไม่ยอมอยู่เฉยๆ วายแอ็ทก็ยังคงใช้
ชีวิต 30 ปีที่เหลือตระเวณไปอีกหลายแห่งทั้งในแคลิฟอร์เนีย, เนวาด้า และไปจนถึงอล้าสก้าเชียวครับ ส่วน
ใหญ่ยังคงประกอบอาชีพการพนันเป็นหลัก แถมด้วยการลงทุนในที่ดิน เหมืองแร่ และการขุดน้ำมันในยุคแรกๆ
ในตอนท้ายๆของชีวิตจึงได้กลับมาปักหลักอยู่ที่ลอส แองเจลีส ขณะนั้นฮอลลีวู้ดเริ่มมีการสร้างภาพยนต์แล้ว
และได้จ้างวายแอ็ทให้เป็นที่ปรึกษาในการสร้างหนังคาวบอยยุคที่ยังไม่มีเสียงด้วย

ไวย์แอท เอิร์บ ในช่วงท้ายๆของชีวิต
ภาพนี้ถ่ายเมื่ออายุ 78ปี มาดยังเข้มอยู่เลยนะครับ

วายแอ็ท เอิ๊ร์ป อำลาจากโลกนี้ไปในที่สุดเมื่ออายุเกือบจะเต็ม 81 ในวันที่ 13 มกราคม 1929 ด้วยโรคชรา
โดยไม่เคยรู้และไม่เคยคาดคิดเลยว่า เมื่อตายไปแล้วชื่อเสียงของตนจะโด่งดังข้ามโลก เป็นที่รู้จักของ
ชาวบ้านมากกว่าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ หลายคน มีผู้คนเขียนหนังสือ สร้างหนัง รวมทั้งวิเคราะห์ประวัต
ิชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับตนมากมายติดต่อกันจนถึงทุกวันนี้ นับได้ว่าเป็นแบบฉบับของตำนาน
มือปืนตะวันตกผู้ไม่เคยกลัวใครและอยู่ในระดับไร้เทียมทานอย่างแท้จริง สมควรได้รับสมญานามว่าเป็น
มือปืนผู้คงกระพัน

ในตอนต่อๆไปของคาวบอยกับปืนคู่ใจ ผมจะเล่าถึงเรื่องของขุนพลคู่บารมีของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่ได้เอ่ยถึง
ไปแล้วในครั้งนี้ให้ฟังกันบ้างนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน และ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ผู้ต่างมีชีวิต
ที่โลดโผนผจญภัยในแบบฉบับของตัวเองที่แตกกันต่างออกไปอย่างน่าสนใจและไม่ธรรมดาเช่นกัน แล้วพบ
กันใหม่นะครับ

มาร์แชลต่อศักดิ์

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารกันส์เวิล์ด ไทยแลนด์
ฉบับที่ 44 เมษายน 2544

คุยกันรอบกองไฟ

เซ็นสมุดเยี่ยม

 

สมัครสมาชิก Thailand Outdoor ฟรี

กรุณาใส่ email และคลิ๊ก submit
Powered by YourMailinglistProvider.com