เชิญแสดงความคิดเห็นใน

กฤตย์ดิศร  กรเกศกมล

ผลงานของคุณ "กฤตย์ดิศร  กรเกศกมล"

อ่าน     ความคิดเห็น

กฤตย์ดิศร  กรเกศกมล
น้องจากบุรีรัมย์-ยุวกวีดีเด่นแห่งประเทศไทยประจำปี ๒๕๔๒ ผลงานไม่ธรรมดา..

กฤตย์ดิศร  กรเกศกมล

"ผมเคยเห็นผลงานของตนเองลงตีพิมพ์ในนิตยาสารต่างๆก็รู้สึกดีใจและประทับใจมากแล้วครั้งนี้เพิ่งมีโอกาสได้มาเปิดดู ได้เห็นผลงานของตนลงในอินเตอร์เน็ตยิ่งประทับใจมากขึ้น"

ตระกองขวัญ

สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19

                         ด้าวสมบูรณ์และจรูญประเล่ห์ภพสวรรค์
         หัตถ์ใครนะรังสรรค์                                      ฉมา
                         ทรงสืบสานพระมหาชนกสิริธรา
         เลิศล้ำพระธรรมา                                           ฉะนี้
                       คราขัดแย้งจะอุบัติสะพัดระอุทวี
        ทรงเอื้อมพระหัตถ์พลี                                   สมาน
                       แผ่นดินเดือดทุรยุค ธ ดุจพิรุณธาร
        รื่นรมย์ชโลมบาน                                           อร่าม
                       ถึงแสนแสนอุปสรรคคระแลงระดะสยาม
        ราชาจะฝ่าหนาม                                             สกัด
                       หกรอบวาระพระชันษาพระบริพัตร
        ชนเทิดพระขวัญรัฐ                                        ละลาน
                       อัญเชิญคุณพระคเณศพิเศษศิลปการ
        ดลกลอนสะท้อนมาน                                    ถวาย
                       อัญเชิญพระอภิรักษ์พิทักษ์สถิรหมาย
        ดุจสูรย์เถกิงฉาย                                             นิรันดร์
                       สรวมไตรรัตน์พระสวัสดิ์พระพฤฒพระหฤหรรษ์
        แซ่ซ้องตระกองขวัญ                                     พระเทอญ

                                                  ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
                                                  ข้าพระพุทธเจ้า นายกฤตย์ดิศร กรเกศกมล
                                                  นักเรียนชั้น ม. 4/1 โรงเรียนนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์

ชโยมหาราชา

สยามมณีฉันท์

                   ชโยสยามอร่ามประเทศ                     และวายเทวษพิเชฐอดุลย์
         สยามรัฐพิพัฒน์เพราะบุญ                           พระเดชพระคุณพระภูมิพล
         อิสานระส่ำสิอัมพาต                                    พระยูรยาตรประสาทประดล
         สุระก็ร้อนก็กร่อนพิกล                                พระองค์ก็ทนพระวรกาย
         อุดรตระอก ธ ปกสมาน                               ธ ดลและดาลสราญบ่วาย
         ยะเยือกมรุตจะผุดจะพราย                          มิพอจะกรายพระทัย ธ เลือน
         ณ ทักษิณานภาก็คลั่ง                                   ชลาประดังธราสะเทือน
         พระดำริไท้อะไรเสมือน                             อุทกจะเยือนก็ยั้งมลาน
         จะถิ่นระทมระบมไฉน                                ก็ส่งพระทัยชโลมประสาน
         สรรวงก็ซึ้งมหิทธิบาล                                  ถวายสุมาลย์ประทานพระพร
         เชลงกวีวลีวิลาศ                                            อเศียรวาทพระบาทบวร
         พระเกียรติ ธ จุ่งขจายขจร                           มิลบมิรอนเพราะบารมี
         พระทศญาณสมานสมัคร                            จะบริรักษ์มหาบดี
         สกลจะก้องจะซ้องวจี                                  พระแก้วฤดีและมิ่งฉมา
         สรมสวัสดิ์ประทับพระขวัญ                       เถลิงถวัลย์พระชันษา
         ประดับสยามประจำประชา                        พระปรีชญา ธ จงเจริญ

                                                  ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
                                                  ข้าพระพุทธเจ้า นายกฤตย์ดิศร กรเกศกมล
                                                  นักเรียนชั้น ม. 4/1 โรงเรียนนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์

ในหลวงของเรา

กลอนสุภาพ

                      ภาพร้อนเริงเพลิงพร่างถิ่นร้างป่า           จะมีน้ำก็น้ำตาคราหิวโหย
          มองเศษข้าวเน่านาอาดูรโดย                                 เหมือนถูกโบยหัวใจให้ร้าวราน
          แล้วพระบาทก็ยาตรมาเสริมป่าสวย                     รายล้อมด้วยดินลุ่มชุ่มละหาน
          รวงเรืองเหลืองลู่อยู่ตระการ                                 เย็นหัวใจในวิมานแห่งบ้านเฮา
                      ภาพสายธารไหลหลามยามบ้าคลั่ง          เข้าประดังที่ทางอ้างว้างเศร้า
          ท่วมพืชพันธุ์ถิ่นสถานบ้านเคยเนา                     เหลือเพียงรอยโศกเศร้าเคล้าน้ำตา
          แล้วพระหัตถ์ก็เอื้อมมารักษาจิต                           ฉุดชีวิตจากเปลือกตมบ่มคุณค่า
          ผักขจีฟ้าสีครามคามโสภา                                      ทุกชีวารื่นรมย์สมฤทัย
                      ละภาพละภาพช่างซาบซึ้ง                        บ่งบอกถึงความจริงอันยิ่งใหญ่
          ว่าวันนั้นและวันนี้มีดวงไฟ                                  คอยส่องทางสว่างไสวให้แผ่นดิน
          รู้ว่าทรงเหนื่อยล้ามาแค่ไหน                                 แต่กระนั้นน้ำพระทัยก็ไม่สิ้น
          เพราะพ่อเป็นยิ่งกว่าพ่อหล่อชีวิน                        เพราะพ่อเป็นพ่อธานินทร์และดินฟ้า
                      หากถอดใจไทยประชาออกมาได้             มาลัยใจจะสะพัดคล้องหัตถา
          และวันนี้ร้อยคำนำศรัทธา                                    น้อมถวายพระราชามหาบดี
          หกรอบพระชันษามหาบพิตร                               เทพไท้ในทุกทิศลิขิตวิถี
          ขอพระองค์ยงยืนนับหมื่นปี                                 องค์จักรีปรากฏมั่นอนันตกาล

                                             ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
                                             ข้าพระพุทธเจ้า นายกฤตย์ดิศร กรเกศกมล
                                             นักเรียนชั้น ม. 4/1 โรงเรียนนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์

ถอดคำจากรวงคำ            มนัสนำประจงจาร
ถอดมานจากดวงมาน      เสลากานท์สลักกลอน
เป็นพรที่พราวเพริศ          เข้าชูเชิดให้กระฉ่อน
คู่ฟ้าสถาพร                    ชนสะท้อนกลอนสะเทือน

              กฤตย์ดิศร  กรเกศกมล

งามคิดงามคำงามภาษา
เสน่หาโหมกมลจนหลับใหล
จะตราตรึงแนบสนิทถึงจิตใจ
เฉลิมชัยเฉลิมชนด้วยกลกลอน

    กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล

ขอขอบคุณน้ำใจไมตรีจิต
ที่ประสิทธิ์ภาษามาประสาน
พราวถ้อยคำอำพนทุกผลงาน
ดับไฟลาญโลกหล้าด้วยกวี

   กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล

โอยโอยป่วนอกโอ้     แอบครวญ
หวานช่างหวานคำหวล  ห่อห้อม
อิ่มแล้วอิ่มอกอวล    อาบสุข   แล้วแม่
พราวพจน์เพียงเพียบพร้อม   เพริศแพร้วโศภิณ
ธานินทร์แนบนพเก้า   กวีกานท์
เพราะพิฆเนศอวตาล  ตากรุ้ง
คุณก็หนึ่งเทพพิมาน  ถ้อยมุก   มาศแม่
ราวสุหร่ายกำจายฟุ้ง   ชุ่มฟ้าโลกากวี
กลั่นฤดีกลั่นชีพน้อม    กลั่นมโน
รวมบริสุทธิ์รวมพุทธโธ   ร่วมถ้อย
พร้อมพรักพรอักโข   เจริญยิ่ง   เจริญเทอญ
คำหยาดหยาดแย้มย้อย   หยาดให้เฌอมนินทร์
         กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล
     ละคำ ละคำคล้อง   จากห้องหัวใจ
         หมายใจมาสืบสร้าง      ศิลป์สยาม
หวังรุ่งระบือนาม                   แนบฟ้า
คือทิพย์หยาดความงาม          สองบท
รินรดหนึ่งอกอ้า                     แอบซึ้งโคลงสาร
         ขอกานกวีเจิดจ้า           นิทราสมัย
ทอทิพย์แห่งแดนไทย           ทั่วด้าว
ขอบคุณมิ่งมาลัย                   หอมตรลบ
ขอร่วมครวญคำอะคร้าว        อะเคื้อรมณีย์
           กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล
      
แต่งให้ "เฌอมนินทร์ วรนาฏ "
                                    รอยร้างบนทางฝัน
       ดวงตาระย้าแววความแกล้วกล้า       เสพหวังไว้ในอุราอย่างเริงรื่น
มือและเท้าก้าวบุกลุกขึ้นยืน       เฝ้าฝืนหาความฝันสรรแสงไฟ
เริ่มก้าวแต่ละก้าวสั้นยาวสลับ       ก้าวหนี่งสองรับเริ่มนับไม่ไหว
ยิ้มปริ่มริมปากผากแห้งไป           ส่อนิสัยสันดานในม่านกมล
ตามเขาก้าวย่างอย่างเนิบเนิบ         จิตเอิบแสงทองไม่หมองหม่น
เคยเห็นเขามีค่าว่าเป็นคน            ใยหมดความอดทนเพียงต้นทาง
ประทับเท้าพราวทางอย่างไม่ท้อ        หลอมหล่อความฝันอันสล้าง
บุกบั่นดั้นด้นจนถึงกลาง              ร่วมล้าเท้าย่าง๖อย่าง(อย่างทระนง)
ความเพียรเขียนหมดลดระย่อ           ความท้อที่เพิ่มยิ่งเสริมส่ง
บังคับกายใจให้นั่งลง                      เพราะคงไม่เป็นไรใกล้ถึงแล้ว

     นี่ล้วนรอยร้างบนทางฝัน           เมื่อจิตมั่นผันแปรอย่างแน่แน่ว
จึงทรุดหยุดคิดทำผิดแนว             หมดแววความหวังเคยหลั่งราย
ตื่นเถอะมนุษย์                          แม้เจ้าทรุดเส้นทางยังไม่สาย
แต่หากใจไร้ฝันจะอันตราย               ฤาจะขายชีพงามให้ความท้อ.
                                กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล
                                      ความหมายแห่งสายฝน
         เมื่อเกิดความผันแปรแก่ผืนฟ้า           จึงนภาบ้าคลั่งถั่งเสียงโถม
วารีดุริยางค์ต่างประโคม                              ก่อนโพยมพรมเม็ดเก็จนภันต์
หอมกลิ่นชุ่มฉ่ำของธรรมชาติ                     อิ่มความงามความสะอาดของหยาดฝัน
คว้างอยู่ในความสดชื่นอย่างตื้นตัน             แล้วพินิจในสามัญการผันแปร
ก่อนหยดทิพย์หยิบความฉ่ำพรำชีวิต           สารทิศหวั่นไหวเกินใครแก้
จึงเกิดน้ำฉ่ำพริ้มอิ่มดวงแด                         นี่หรือคือแก่นแท้ของชีวิต
ส่งดวงใจไหวหวามตามหยาดฝน              ร่วงรินหล่นลงพื้นดินถิ่นวิจิตร
แตกเป็นดอกออกสะอิ้งพริ้งโสภิต              ซาบสถิตเป็นศิลป์บนดินดาน
ละดอกละดอกออกดาษดื่น                         ส่งพื้นเป็นแพรแลสะอ้าน
ด้วยทุ่งหญ้าสดใสดอกไม้บาน                    สะกดทุ่งสีน้ำตาลและลานใจ
ครูหนึ่งแผ่นดินศิลป์ก็เปรอะ                       ตกจนเลอะจนหมดความสดใส
ตามกฎตามเกณฑ์การเป็นไป                     เป็นครรไลครรลองของชีวิต
เป็นลรรไลลรรลองของวัฏจกัร                   ที่ร้อยถักความงามความชุ่มฉ่ำ
ที่คอยปลูกไม้ดอกความชอกช้ำ                    ลงโน้มนำทุกชีวาตามสามัญ

      "สามัญ" มีความหมายอย่างไรหนอ      จึงหลอมหล่อได้ทั้งทุกข์และสุขสันต์
จึงถักทอสายใยสายสัมพันธ์                       และลบสิ่งที่รังสรรค์นั้นลงไป
แน่แล้วคือความหมายชองสายฝน               ที่ดาลดลทั้งสลดและสดใส
ที่บ่งบอกพวกเราให้เข้าใจ                           เกิดดับได้พึงเห็นเช่นนั้นเเอง

                                    กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล
                                         สิงหาคม 2542
            กรุงสยาม
หอมกลิ่นกรุ่นเก่าก่อนเข้าใกล้
เป็นกลิ่นไอไทยแท้ไม่แปรผัน
สราญรมย์ร่มรื่นและตื้นตัน
พบสวรรค์บนดิน ณ ถิ่นไทย
ดั่งแสงทองผ่องประภัสสร์คลายขัดสน
อุ่นอุราประชาชนพ้นร่ำไห้
เลื้ยงความดีเลี้ยงชีวิตเลี้ยงจิตใจ
เลี้ยงคนไทยทั้งชาติไม่คลาดคลา
กี่ครั้งแล้วแก้วสยามอันวามวับ
ต้องหรี่ลับร่วงโรยให้โหยหา
เพราะศึกนอกศึกในไล่บีฑา
และไทยไม่หันมาสามัคคี
มาปรุงจิตชีวิตไทยให้อร่าม
กู้ความงามกู้ความรักกู้ศักดิ์ศรี
ตั้งสติตริตรองผ่องโสภี
เพื่อวันนี้วันหน้าภราดร

กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล
                       สืบเท้าเถอะกวี
สืบกาลนานเวลา                     อักษราล้วนรุ่งเรือง
วูบวับประดับเมือง                  ประเทืองจินต์คู่ถิ่นไทย
แสงน้อยเริ่มม่อยแรง              มิสำแดงแสงสดใส
หากใจไม่เป็นใจ                    โลกคงไร้ในกวี
แสงดาวพราวระยับ                  ค่อยร่วงลับจนอับสี
สุขเกษมและเปรมปรีดิ์            ร่วงริบหรี่จนร่อยหรอ
ลุกได้ใยไม่ลุก                         จนคนปลุกเบ้าตาคลอ
แสงสันติ์รอวันทอ                    อย่าเพิ่งท้อแม้ทารุณ
ยิ่งยุคอัปยศ                              ไม่ละลดความวายวุ่น
กำลังใจใกล้เป็นจุณ                  เพิ่มแรงหนุ่นอุ่นชีวัน
ลุกเริ่มขึ้นเสริมก้าว                   ทอความวาวพราวความฝัน
ร่วมด้วยเราช่วยกัน                    มาคืนขวัญความเป็นไทย
ฉันก็เป็นหนึ่งกวี                       ซึ่งชีวีระรัวไฟ
ปลุกชั่วดีที่หัวใจ                        ให้ลุกไหม้ให้เป็นกวี!
                      กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล
        คืนค่ำ ย่ำรุ่ง ทุ่งหญ้าและจินตนาการ
        หญ้านุ่มเป็นพุ่มข้าง        ความฝัน
จึ่งนั่งนิ่งผิงจันทร์                    จิตคว้าง
ปล่อยใจเฉิดฉายฉัน                ชมมิ่ง   ไม้เฮย
ปล่อยหัตถ์กระหวัดสร้าง         สาดถ้อยร้อยศิลป์
        หยิบหญ้าน้อยหนึ่งนี้      แนบทรวง
อันเปล่าเปลี่ยวเดี่ยวดวง           ค่าด้อย
หมายใจไม่หลุดรวง                ความรัก
หญ้าซับดับละห้อย                  ห่อห้อมกล่อมกมล
         แสงใดไขแสงสู้              สรวงมณี
วะวับวะวามสี                           สร่างเศร้า
หิ่งห้อยค่อยโจมตี                    ความทุกข์ สุขนอ
เฉิดฉ่ำค่ำยันเช้า                       เชิดไว้ไป่เลือน
       เสียงใดไล้โลมหล้า          ลอยลม
ดุจผจงลงอาคม                        จิตคล้อย
ทิพย์ภาษาเห่อารมณ์                เริงลิ่ว
เสียงร่ายหายเศร้าสร้อย          เสกฟ้าน่าชม
       กลิ่นใดกรุ่นกลิ่นก้อง        กังวาน
บ่งช่อกอตระการ                      กิ่งแก้ว
เด็ดดมบ่มดวงมาน                   บริสุทธิ์
ใส่กระเป๋าเก่าแล้ว                   เหลือบเร้นเห็นหนาม
       เย็นใดเย็นเท่าถ้อย           พาที
เย็นเฉียบเย็นชามี                   มิได้
ปากขาดซึ่งวจี                          เจิดแจ่ม
ชีวิตมีแต่ไร้                             เพื่อนพ้องผองชน
       อุ่นใดอุ่นอกเอื้อ              อาทร
เทียมเท่าอกมารดร                  เด่นด้าว
หากไร้ฤทัยถอน                     ทุกขณะ   จิตนอ
โคลงค่าคงอะคร้าว                  คู่ค่ำฉ่ำทรวง
       สุขใครไหนจะสู้            สุขเรา
สุขที่ใจไม่เศร้า                      สุขแท้
สุขศานติ์สุขนานเนา              สะอาดสว่าง   สงบเฮย
เสพสุขจนอิ่มแปล้                 เปลี่ยนเศร้าสถาพร
       ตะวันพลันพุ่งแต้ม         เติมหาว
ปรับเปลี่ยนเมฆาพราว          พร่างฟ้า
บทเรียนแห่งคืนหนาว          โหมจิต
จำใส่กมลล้นค่า                     เคลือบไว้ไป่สูญ
       ลาเดือนลาเพื่อนพ้อง      สรรพางค์
ลากลิ่นหญ้าสะอาง                อบพื้น
ใยเยื่อไป่เจือจาง                   เจิมติด
ลาสวรรค์อันชุ่มชื้น                เชิดหล้าเลอสรวง
             กฤตย์ดิศร    กรเกศกมล

1. 60  พระชันษา จอมราชันย์
คือจันทร์ฉายวายเทวษประเทศสยาม
โชนความงามความสุขทุกข์กษัย
โชนแสงขาวพราวผ่องส่องฤทัย
โชนดอกไม้ในแก้วตาประชาชน
คือสุหร่ายโรยอุราคราร้อนเร่า
บ่งบันเทาไทยผองไม่หมองหม่น
เสโทรินล้างหล้าอ่าพน
ธ ดั้นด้นแดนกันดารสมานแผ่นดิน
คือกวีศรีลักษณ์แห่งอักษร
เป็นแดดรอนเบิกสวรรค์วรรณศิลป์
เป็นเทพย์ทิพย์แห่งฟ้าแห่งธานินทร์
ประพันธ์เพลงบรรเลงพิณระบิลนาม
ใช้ไทยใช้ธรรมชี้นำชาติ
ใช้ทั้งศิลป์และศาสตร์ประกาศสยาม
โครงการหลวงสร้างสุขทุกเขตคาม
จึงพระนามและพระยศปรากฏไกล
หกรอบแล้วแก้วมณีศรีประเทศ
เป็นร่มเกศยืนยงอสงไขย
ประสิทธิ์ลักษณ์ประจักษ์คำประจำใจ
เป็นมาลัยโรยประทิ่นห้อมปิ่นทรวง
ขอพระองค์ทรงจำรัสพิพัฒน์เถิด
แก้วจักรีที่ประเสริฐบรรเจิดสรวง
ทุกสรรพางค์เพียบพร้อมน้อมบำบวง
ทรงโชติช่วงเฉิดฉันนิรันดร์เทอญ
  กฤตย์ดิศร   กรเกศกมล
(สรรพางค์- สรรพสิ่ง, สุหร่าย- ฝักบัว , อสงไขย - นานมาก , กษัย - สิ้นไป , บำบวง - บวงสรวง)

 

3. เพลงใบไม้
รวมความดีความงามความยิ่งใหญ่
มามอบให้แด่เธอเสมอมั่น
รู้ว่าเธอทรมาณทุกวารวัน
และอาจจะอาสัญในวันนี้
ฉันเคยห่มร่มเงายามเข้าหลบ
เธอมอบความอุ่นอบสบสุขศรี
เธอกล่อมเกลาทุกชีวาอย่างอารี
แต่เธอคือเทพีที่สูญพันธุ์
เธอยืนต้นท้าทายที่ปลายเขา
เธอย่อยยับอับเฉาถูกเขาบั่น
คนเมืองที่มุ่งมาฆ่าเธอนั้น
เพราะโลโภโมหันต์เคยบั่นทอน
สู้กับภัยหลายอย่างช่างเหนื่อยนัก
หลับตาเถิดที่รักจงพักผ่อน
จะบรรเลงเพลงใบไม้ให้เธอนอน
และนี่คือเพลงพรก่อนลาไกล
เธอคือตอไม้ที่ตายแล้ว
มิเพริศแพร้วดังแก้วกานจญ์ซึ่งหวานไหว
แต่คุณค่าเธอมีที่หัวใจ
จักงามงดสดใสไปยาวนาน
ลาก่อนขอนไม้ในวันนี้
ก่อนจะมีชีวิตใหม่กลายเป็นบ้าน
ให้มนุษย์อยู่อาศัยคุ้มภัยพาล
กับเถ้าถ่านเศษซากหากจะมี
  กฤตย์ดิศร กรเกศกมล

2. กลอนวันแม่
พระคุณแม่กว้างกว่ามหาสมุทร
พระคุณแม่สูงสุดกว่าสิ่งไหน
แม้แผ่นดินแผ่นฟ้ามารวมไว้
ก็ยังไม่เท่าความดีที่แม่ทำ
ร้อยมะลิมาลัยหมายสำนึก
น้อมรำลึกเชิดชูคู่เช้าค่ำ
จะเชื่อแม่ฟังแม่แลจดจำ
ลูกจะทำความดีแต่นี้เอย.
   กฤตย์ดิศร    กรเกศกมล

 

 

4. ชาวนา
สักวารอยไถในวันนี้
ดวงฤดีถูกโฉลกความโศกศัลย์
ข้าวก็ตายควายก็ท้อทางก็ตัน
ไม่รู้ว่าความฝันเป็นฉันใด
หลังที่กร้านมานที่หม่นใครคนนั้น
ถูกลงทัณฑ์ตามเผ่าพงษ์อสงไขย
อนาคตต้นกล้าชาวนาไทย
คอยความหวังจากน้ำใจใครช่วยเอย.
   กฤตย์ดิศร  กรเกศกมล

                             นาฏกรรมแห่งชีวิต

                       ในฝั่งฝันบรรเลงบทเพลงฝัน                    ละอองฝันบรรเลงเพลงความฝัน

               ก่อนอรุณเฉิดฉันในวันพรุ่ง                ก่อนจะดับลับพลันในวันพรุ่ง

               ดนตรีทิพย์หยิบความรักมถักรุ้ง          มีฝุ่นควันจรรโลงแทนโค้งรุ้ง

               ลงห่มทุ่งท้องนาในหน้าร้อน               กับฝุ่นฟุ้งฟ่องมาในหน้าร้อน

                    เมื่อแสงใสไก่ขันประชันหล้า                    เมื่อหมาเห่าหมาหอนกระฉ่อนหล้า

               ลมวู่วกนกกาถลาร่อน                          ลมกระชากนกกาถลาร่อน

               จักจั่นลั่นเสียงจำเรียงพร                    เสียงไห้โหยโปรยเสียงจำเรียงพร

               ก่อนจะต้อนฝูงควายเข้าไร่นา              ก่อนจะต้อนความเฒ่าเข้าไร่นา

                   หอมกลิ่นข้าวพราวผ่องส่องความหวัง           หอมกลิ่นข้าวขาวซีดกรีดความหวัง

               เพิ่มพลังประทังใจให้หรรษา                  ริดกำลังประดังใจให้โหยหา

               ร่วมด้วยช่วยกันมั่นอุรา                    ต่างคนเก็บต่างคนเกี่ยวเปลี่ยวอุรา

               ได้เม็ดข้าวพราวโสภามาเข้ายุ้ง           ได้เม็ดข้าวคาวน้ำตามาเข้ายุ้ง

                                               คือความคล้ายซึ่งอยู่ในความไม่คล้าย

                                       คือความหมายในช่วงร่วงและรุ่ง

                                       คือผลึกกาลเวลามาแต่งปรุง

                                       อยู่ในทุ่งขาวสะอาดแห่งนาฏกรรม

                                         กฤตย์ดิศร กรเกศกมล /15 ปี/บุรีรัมย์

กฤตย์ดิศร  กรเกศกมล

 

7smooth.com

 

| Home | การแต่งร้อยแก้ว | การแต่งร้อยกรอง | วิธีการร่วมสนุก | About Us | Top |
Weekly Poems | วันจันทร์ | วันอังคาร | วันพุธ | วันพฤหัสบดี | วันศุกร์ | วันเสาร์ | วันอาทิตย์ |
| นวนิยาย | บทละคร | เรื่องสั้น | บทความ | เรื่องที่อยากเล่า | นิทาน | ตำนาน-ชาดก | แนะนำหนังสือ | สาระ-เกร็ดความรู้ |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999

poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com