Top


โดย น.พ.พนิตย์
จิระนันทประวัติ
ผู้หญิงต้องรู้
ว่าไปแล้วสิ่งที่คุณผู้หญิงต้องรู้นี่
มันมีเยอะแยะ
ไปหมด
เอาเฉพาะเรื่องในตัวก็หลายอย่าง
อย่างคำถามที่ผมได้มานี่ไง
" ที่ว่าผู้หญิงจะมีไข่ประมาณ
400-500 ฟอง
ชั่วชีวิต
และการมีประจำเดือนแต่ละครั้งก็คือ
การเสียไข่ไปฟองหนึ่งนั้น
ถ้าหากผู้หญิงที่กิน
ยาคุมกำเนิดชั่วคราว
และทำให้มีประจำเดือน
ไม่เป็นปกติ คืออาจมีเดือน 2-3
ครั้งเช่นนี้ จะ
เรียกว่าเสียไข่ไปเดือนละ 2-3
ฟองได้หรือไม่
กรุณาชี้แจงเรื่องการตกไข่
ให้แจ่มแจ้งด้วย "
นั้นเป็นข้อสงสัยของคุณผู้หญิงท่านหนึ่ง
เอา
ละวกเข้ามายังคำถามผมขออนุญาติแก้ข้อ
สงสัยในบางประเด็นให้เป็นที่ถูกต้องเสียก่อน
เป็นต้นว่าไข่ของผู้หหญิงที่เข้าใจว่ามี
400-500
ฟองนั้นความจริงแล้วสตรีแต่ละท่านจะมีรังไข่
อยู่สองใบบรรจุไข่อยู่มากมายกว่าครึ่งล้านฟอง
ที่เดียวจำนวนไข่ 400-500
ฟองนั้นที่ถูกต้อง
คือจำนวนไข่ที่ตกออกมาในช่วงชีวิตของวัย
เจริญพันธุ์
ซึ่งเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 14-45
ปี
โดยเฉลี่ย
เรื่องที่สองที่ต้องทำความเข้าใจอีกอย่างก็คือ
คนเรามีรอบเดือนไม่จำเป็นต้องมีการตกไข่
แต่ถ้ามีไข่ตกจำเป็นต้องมีรอบเดือนถ้าไม่ชิง
ท้องเสียก่อน
ลักษณะของการมีรอบเดือนพอ
จะบอกได้คร่าวๆว่า
รอบเดือนที่ผ่านมานั้นมี
การตกไข่หรือไม่
ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีรอบเดือนมาตรงเวลา
ก็แสดงว่าคุณน่าจะมีการตกของไข่เกิดขึ้น
คำว่า
ตรงเวลาของรอบเดือน
หลายๆคนยังเข้าใจไขว้
เขว
ไปยึดเอาวันที่ในปฏิทินเป็นเกณฑ์เช่นว่า
รอบเดือนที่แล้วมาวันที่ 30 เม.ย
พอเดือนถัดมา
มาเอาวันที่ 27 พ.ค.
และรอบเดือนก่อนหน้านั้น
มาวันที่ 2 มี.ค.
การมีของรอบเดือนในลักษณะ
ทำนองนี้
บางคนเข้าใจว่ามาไม่ตรงเวลา
ทั้งๆที่
ความจริงแล้วมาตรงเวลาอย่างที่สุดเลย
คือโดย
ประมาณ 28 วันมาครั้ง
ความเข้าใจว่ามันควร
จะมาตรงเวลาก็คือ ถ้ามาวันที่ 30
ก็ต้องมา 30
มันทุกเดือน หรือไม่ก็ใกล้เคียง
การมาของรอบเดือนในแต่ละรอบนั้น
เรานับ
จำนวนวันที่มันทิ้งช่วงกันเป็นเกณฑ์บอกว่าตรง
หรือไม่
บางท่านอาจมาถี่หน่อยก็อาจจะ 21
วัน
มาหน
หรือบางท่านอาจมาช้าหน่อยประมาณ
35 วันมาหน เป็นเช่นนี้ตลอดมา
แบบนี้ก็เรียก
ว่าตรงเวลาครับ
และถ้าหากการมีรอบเดือนแต่
ละครั้งอยู่ในช่วง 21-35 วันมาครั้ง
ทางแพทย์ก็
ยังถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
การมีรอบเดือนที่ค่อนข้างตรงเวลามักมีการตก
ของไข่ครับ
ต่างจากคนที่รอบเดือนไม่แน่นอน
หรือถี่ไป
หรือนานนับหลายเดือนจะมาครั้ง
ใคร
ที่มีรอบเดือนในลักษณะนี้
ท่านว่าไข่มักจะหด
นะครับ ไม่ค่อยตกหรอก
ยิ่งไปทานยาคุมกำเนิด
ด้วยก็จะยิ่งไม่มีการตกของไข่ |
เอาหละที่นี้มาตอบรวมๆในข้อสงสัย
อยากจะ
อธิบายถึงเรื่องไข่ที่สูญสลายกลายเป็นประจำ
เดือน
ความจริงแล้วรอบเดือนมิได้เกิดจากการ
สลายของไข่นะครับ
เพราะไข่มีขนาดเล็กมาก
เล็กเท่าปลายเข็มหมุด
ถึงมันจะสลายตัวไปก็
เปรียบเหมือนน้ำพริกละลายแม่น้ำนั่นแหละ
ไม่รูสึกอะไรหรอก
แต่การมีรอบเดือนนั้นมัน
เป็นอีกเรื่องหนึ่งของร่างกาย
ที่เปลี่ยนแปลง
ไปตามฮอร์โมนเพศ
ที่ให้เข้าจังหวะกับการ
เจริญเติบโตของไข่
ถ้ามีการเจริญเติบโต เมื่อ
ไข่สุก ไข่ตก
และมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น
ไข่ที่ได้
รับการผสมจากสเปิร์มแล้ว
ก็จะมีการแบ่งตัว
เรื่อยๆพร้อมกับมีการเคลื่อนตัวจากปลายท่อ
รังไข่ประมาณ
เจ็ดวันเพื่อมาถึงโพรงมดลูก
ซึ่ง
บริเวณผนังของโพรงมดลูก
ก็จะมีเยื่อบุโพรง
มดลูก
ที่สร้างขึ้นมาด้วยอิทธิพลของฮอร์โมน
เพศชื่อ เอสโตรเจน
และโปรเจสเตอโรน เยื่อบุ
ที่หนาพอควร
เพื่อรอรับการฝั่งตัวของไข่ที่ได้รับ
การผสมแล้วที่เดินทางมาถึง
เยื่อบุโพรงมดลูกที่ว่านี้
มันจะค่อยๆสร้างขึ้น
มาอย่างช้าๆนับตั้งแต่วันที่ประจำเดือนของรอบ
ที่แล้วหมดไป
เยื่อบุโพรงมดลูกจะอยู่ได้ก็ด้วย
ฮอร์โมนเพศที่เหมาะสมข้างต้นแล้ว
ถ้ามีการตั้ง
ครรภ์เกิดขึ้น
เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะคงอยู่เรื่อยไป
เพราะมีฮอร์โมนที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์เป็น
ตัวค้ำจุน
แต่ถ้าไม่มีการตั้งครรภ์
ไม่มีการฝั่งตัว
ของไข่
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราฉันใด
ฮอร์โมน
ที่มาหล่อเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกก็ย่อยมีโอกาส
หมดลงฉันนั้น
ฮอร์โมนเพศที่ว่านั้นมาจากรังไข่
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบครบรอบของการมีประจำ
เดือน
ฮอร์โมนเพศทั้งสองตัวก็จะค่อยๆลดน้อย
ลง จนในที่สุดมันจะน้อยมาก
น้อยจนไม่
สามารถประคับประคองเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนา
ตัวรอรับไข่ที่ผสมแล้วได้
เมื่อฮอร์โมนขาดหาย
ไปก็ไม่มีอะไรมาช่วยให้เจ้าเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่
ต่อไปได้อีก
มันก็จะหลุดลอกออกมา การหลุด
ลอกออกมาของเยื่อบุโพรงมดลูกนั้น
ทำให้มี
เลือดออกมาด้วย
เลือดที่ออกมานี้เราเรียกว่า
เลือดประจำเดือน
ซึ่งมันจะประกอบไปด้วย
เลือดผสมผสานกับเศษเยื่อบุโพรงมดลูกที่สลาย
ออกมา
และตกขาวในช่องคลอดที่มีมาก่อน
หน้านั้น
การมีรอบเดือนแต่ละครั้งจึงเกิดขึ้น
จากการลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก
ไข่จะตก
หรือไม่ตก ไม่สำคัญ
เยื่อบุโพรงมดลูกมันคง
ลอกตัววันยังค่ำ ถ้ามีไข่ตก
มันก็ลอกอย่างมี
ระเบียบหน่อย
แต่ถ้าไม่มีการตกของไข่ การ
ลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกมักจะสะเปะะสะปะ
ไม่แน่ไม่นอน ช้าบ้างเร็วบ้าง
หรือหลายๆเดือน
จะมาให้เห็นสักครั้ง
เจอแบบนี้ถ้าอยากมีลูกต้องไปปรึกษาแพทย์
เพื่อช่วยหาวันตกไข่ที่แน่นอน
ขืนรอทำกันเอง
คงจะชวดอยู่เรื่อยๆ
เพราะไม่ตรงเวลาที่เหมาะ
สมนี่ครับ |

ดิฉันมีปัญหาทางด้านระบบภายในค่ะ
เป็นมานานแล้วแต่ไม่กล้าไปพบแพทย์
คือ
เป็นตกขาวมานาน
รำคาญมากไม่มีกลิ่นนะค่ะเป็นตกขาวมานาน
รำคาญมากไม่มีกลิ่นนะค่ะเป็นตกขาวมานาน
รำคาญมากไม่มีกลิ่นนะค่ะ
แต่ว่ามาเยอะมาก
แต่ว่ามาเยอะมาก
แต่ว่ามาเยอะมาก
ทั้งก่อนที่จะเป็นประจำเดือนและหลัง
จะเป็นสีขาว รู้สึกคัน
เป็นบางครั้ง
บางครั้งก็ไม่คัน
ดิฉันกลุ้มใจมากค่ะ
ต้องปฏิบัติตัวยังไง
สาเหตุเกิดจากอะไรค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
ตกขาวหรือระดูขาว
มีทั้งที่ปกติและผิดปกติ
ตกขาวที่ปกติจะมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก
ไม่มีกลิ่น จะมีก่อนหรือหลัง
ประจำเดือนก็ได้
ส่วนตกขาวที่ผิดปกตินั้นจะมีลักษณะแตกต่างออกไปตามสาเหตุ
ซึ่งส่วนใหญ่มา
จากการติดเชื้อซึ่งเชื้อที่เป็นสาเหตุก็แตกต่างกันไปตามอายุ
การมีเพศสัมพันธ์
โรคประจำตัวบางอย่าง
เช่น เบาหวานก็จะพบเชื้อราได้บ่อย
ตกขาวที่เกิดจากเชื้อรา
ตกขาวที่เกิดจากเชื้อรา
ลักษณะของตกขาวจะคล้ายนมหรือยางมะละกอ
บางครั้งเป็นก้อนคล้ายเต้าหู้ลักษณะของตกขาวจะคล้ายนมหรือยางมะละกอ
บางครั้งเป็นก้อนคล้ายเต้าหู้ตกขาวที่เกิดจากเชื้อรา
ตกขาวที่เกิดจากเชื้อรา
ลักษณะของตกขาวจะคล้ายนมหรือยางมะละกอ
บางครั้งเป็นก้อนคล้ายเต้าหู้ลักษณะของตกขาวจะคล้ายนมหรือยางมะละกอ
บางครั้งเป็นก้อนคล้ายเต้าหู้
มักจะมีอาการคันมากร่วมกับมีผื่นคันแดงที่บริเวณปากช่องคลอด
ตกขาวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคที่เรีย
ส่วนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
จะมีสีออกเหลืองหรือเขียว
มีกลิ่นเหม็น
ตกขาวที่เกิดจากพยาธิ
ที่เกิดจากเชื้อพยาธิจะมีสีออกเทาหรือเขียวและมีลักษณะเฉพาะคือจะมีกลิ่นเหม็นตกขาวที่เกิดจากพยาธิ
ที่เกิดจากเชื้อพยาธิจะมีสีออกเทาหรือเขียวและมีลักษณะเฉพาะคือจะมีกลิ่นเหม็น
คล้ายปลาเน่าหลังมีเพศสัมพันธ์
เป็นต้น
ดังนั้นข้อมูลที่ให้มานั้นยังไม่สามารถที่จะให้
การวินิจฉัยได้
และสุดท้ายการที่จะได้การวินิจฉัยที่แน่นอนนั้นต้องนำเอาตกขาวมาตรวจ
โดย นพ.ประสงค์
ตันมหาสมุทร สูติ-นรีแพทย์

INTRODUCTION
ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการผ่าตัดฝังเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
ท่านอาจมีความวิตก
กังวล และ มีคำถามมากมาย
เกี่ยวกับสิ่งที่ติดอยู่ในตัวท่าน
หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ท่าน
มีความเข้าใจเบื้องต้น
ท่านอาจสอบถามแพทย์ของท่านเพิ่มเติม
เมื่อมีความไม่เข้าใจ
ต่างๆ
เกิดขึ้นส่วนใหญ่ของผู้ที่ได้รับการผ่าตัดฝังเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
จะมี
คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เรามีความภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้ท่านมีอนาคตที่สดใส
What is the hearts natural pacemaker?
หัวใจของท่านได้รับการกระตุ้นให้ทำงานได้อย่างไร
หัวใจของท่านจะบีบตัวมากกว่า 100,000
ครั้งต่อวันซึ่งจะส่งเลือด
6,000 ลิตร เป็นระยะทาง 20,000 กิโลเมตร
ไปตามเส้นเลือดดำ
และ เส้นเลือดแดงทั้งร่างกาย
หัวใจจะเต้นหรือบีบตัวตลอด 24
ชั่วโมง
ตั้งแต่ก่อนท่านเกิดต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิตของท่าน
เพื่อเคลื่อนย้าย
สารอาหาร และ
ออกซิเจนไปทั่วร่างกาย
ตัวกระตุ้นให้หัวใจเกิดการเต้นตามธรรมชาติคือ
Sinoatrial
Node (SA node)
ซึ่งจะอยู่ในหัวใจห้องขวาบน
จะรับคำสั่ง
จากสมอง และศูนย์ควบคุมอื่นๆ
เพื่อออกคำสั่งให้หัวใจบีบ
ตัวทำการส่งเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกายตามความต้อง
การในขณะนั้น SA node
จะส่งสัญญาณไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นให้
กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัว
เป็นจังหวะจากหัวใจห้องด้านบนไปสู่
หัวใจห้องล่าง
เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายโดยจะส่ง
สัญญาณผ่านเส้นประสาทเล็กๆซึ่งทอดตัวไปตามผนังกล้าม
เนื้อหัวใจทั้งห้องบนและห้องล่าง
How does a pacemaker work?
เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจทำงานอย่างไร
เครื่องมือชิ้นเล็กๆนี้จะออกแบบให้สามารถกระตุ้นให้กล้ามเนื้อ
หัวใจบีบตัวได้ในอัตราตามที่กำหนดจะประกอบด้วยอุปกรณ์
2
ส่วน คือ
1.ตัวกำเนิดสัญญาณไฟฟ้าเป็นตลับเล็กๆซึ่งภายในมีแบตเตอรี่
และวงจรไฟฟ้าอยู่จะทำหน้าที่เป็นตัวกำเนิดสัญญาณไฟฟ้าซึ่งจะ
เป็นดังสมองของเครื่องจะรับสัญญาณจากการทำงานของหัวใจ
และ
จะเป็นตัวตัดสินว่าจะต้องกระตุ้นหัวใจ
จังหวะไหนบ้าง เครื่องรุ่นใหม่ๆ
จะสามารถปรับความแรงของคลื่นไฟฟ้าได้
เพื่อช่วยให้การใช้งาน
ของแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น
2. สายนำสัญญาณ
หรือสายสื่อจะเป็นสายเล็กๆ
ทำหน้าที่รับสัญญาณ
จากตัวกำเนิดสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ
และนำข่าวสาร
จากกล้ามเนื้อหัวใจมาให้สมองของเครื่อง
คือ
ตัวกำเนิดสัญญาณไฟฟ้า
พิจารณาว่าจะทำงานอย่างไร
ที่ปลายของ
สายนำสัญญาณจะเป็นขั้วไฟฟ้า
ซึ่งเป็นตัวนำไฟฟ้าที่สัมผัสกับผนัง
ของหัวใจ
เมื่อท่านกลับมาให้แพทย์ของท่านตรวจตามกำหนดนัดทุกหกเดือน
หรือสิบสองเดือน
แพทย์ของท่านจะสามารถตรวจสอบการทำงาน
ของเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจและทำการปรับเปลี่ยนโปรแกรม
การการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายของท่าน
ในขณะนั้น
ตลอดจนตรวจดูอายุการทำงานที่เหลืออยู่ของเครื่องได้
How does a Pacemaker help you?
เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจช่วยท่านได้อย่างไร
หัวใจของท่านจะมีระบบกระตุ้นให้หัวใจเต้นตามปกติ
ซึ่งจะใช้
กระแสไฟฟ้าเล็กน้อย
เพื่อควบคุมจังหวะ และ
อัตราการเต้น
ของหัวใจเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมานี้
จะติดตามจังหวะ และ
อัตราการเต้นของหัวใจท่าน
และจะทำ
หน้าที่กระตุ้นแทนเมื่อหัวใจของท่านทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์
เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจนี้จะให้กระแสไฟฟ้าเล็กน้อย
เช่น
เดียวกับหัวใจปกติ
ซึ่งเครื่องนี้จะทำให้การเต้นของหัวใจท่านเป็น
ไปตามปกติ
ซึ่งจะช่วยให้ท่านรู้สึกดีขึ้น
และสามารถทำกิจกรรม
ต่างๆ
ในชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติ
What are single-chamber and
dual-chamber pacemakers?
เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจห้องเดี่ยว
และ เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
ชนิดสองห้องต่อเนื่องกัน
เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจห้องเดี่ยว
และ เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
ชนิดสองห้องต่อเนื่องกัน
คำศัพท์ที่กล่าวถึง หนึ่งห้อง
หรือสองห้องนั้นหมายถึงความสามารถ
ในการรับสัญญาณ หรือ ส่งสัญญาณ
ไปที่หนึ่งห้อง หรือสองห้องของ
หัวใจ
ซึ่งการเลือกใช้เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจชนิดหนึ่งห้อง
หรือ
สองห้องนั้น
ขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ผู้ทำการรักษา
How long should a pacemaker last?
อายุการทำงานของเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
โดยทั่วๆไป
เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
จะมีอายุการใช้งานประมาณ
6-10 ปี
ซึ่งขึ้นกับอัตราการใช้งานของเครื่องโดยในเครื่องจะมีแบตเตอรี่
แบบลิเที่ยมไอออนเป็นแหล่งให้พลังงาน
อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่ของ
เครื่องมิได้หยุดให้พลังงานในทันทีที่หมดอายุการใช้งาน
เมื่อท่านได้ไป
พบแพทย์ตามนัดทุก 6 เดือนหรือ 12
เดือน เพื่อตรวจสอบการทำงาน
ของเครื่อง
แพทย์ของท่านจะทราบได้ว่า
เครื่องของท่านใกล้จะหมดอายุ
การใช้งานหรือยัง
สามารถใช้ได้อีกประมาณกี่เดือน
กี่ปี โดยแพทย์จะนัด
ท่านเพื่อผ่าตัดเปลี่ยนเครื่องให้ท่านใหม่
เพราะว่าแบตเตอรี่ของเครื่อง
ไม่สามารถเปลี่ยนได้
นอกจากเปลี่ยนเป็นเครื่องใหม่ทดแทน
แต่อาจจะ
ใช้สายสื่อนำสัญญาณเส้นเดิม
หรือเปลี่ยนสายใหม่ก็ได้
ขึ้นอยู่กับสภาพ
ของสายสื่อนั้น
What about follow-up care?
การตรวจเพื่อติดตามผล
เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจเป็นเครื่องที่ได้รับความเชื่อถือในการ
ทำงานอย่างมาก
อย่างไรก็ตามท่านควรจะได้รับการตรวจร่างกาย
อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจได้รับการผ่าตัดติดอยู่ในร่างกายท่าน
จะได้รับการตั้งโปรแกรมที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายท่าน
ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามช่วงระยะเวลาจึงต้องมีการปรับ
เปลี่ยนโปรแกรม
เมื่อท่านไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายตามนัด
การตรวจร่างกายปกติจะมีการตรวจทั่วๆไป
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ตรวจรายละเอียดและประเมินผลการทำงานของเครื่องช่วยการเต้น
ของหัวใจ
แพทย์ของท่านจะมีเครื่องมือพิเศษ
ซึ่งสามารถติดต่อ
และปรับเปลี่ยนโปรแกรมของเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจภายใน
ร่างกายของท่านได้จากภายนอก
What about the surgery?
การผ่าตัด
การผ่าตัดเพื่อฝังเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจในปัจจุบันเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งสามารถทำเสร็จ ภายใน 1-2
ชั่วโมง
โดยในการผ่าตัดจะใช้ยาระงับ
ความรู้สึกเพียงเล็กน้อย
ซึ่งท่านจะยังตื่นอยู่สามารถพูดคุยกับแพทย์ได้
แต่จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่มีการผ่าตัด
What happens before the surgery?
การเตรียมการก่อนการผ่าตัด
ท่านจะได้รับการบอกกล่าวให้งดอาหารและน้ำก่อนการผ่าตัด
มีการ
เตรียมทำความสะอาด
ร่างกายส่วนบน
ตำแหน่งที่จะมีการฝังเครื่องมี
การฟอกสบู่
และโกนขนบริเวณนั้นออก
ถ้าหากท่านมีเครื่องช่วยฟังสามารถใส่ไว้ได้โดยไม่ต้องเอาออกเพราะ
ในช่วงการผ่าตัดแพทย์จะสอบถามความรู้สึกท่านเป็นระยะ
ถ้าท่านใส่
แว่นตา หรือ
คอนแทกเลนส์และฟันปลอมจะต้องเอาออก
ก่อนการผ่าตัด
สาย ECG
จะได้รับการติดไว้ที่หน้าอก
หลังแขน และ ขา ของท่านเพื่อ
ให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจดูการเต้นของหัวใจท่านได้ระหว่างการผ่าตัด
สายพันแขนเพื่อตรวจความดันโลหิตจะใส่ติดกับแขนของท่าน
เพื่อ
สามารถตรวจความดันโลหิตได้ตลอดระยะเวลาผ่าตัด
ท่านอาจจะได้รับสายให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดบริเวณแขน
เพื่อ ที่จะได้
ให้ยาแก่ท่านได้สะดวก
What about the recovery period?
ช่วงระยะการพักฟื้น
ท่านจะมีความรู้สึกกังวลกับเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจในระยะเวลา
หนึ่งซึ่งเป็นลักษณะปกติ
ซึ่งความคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ช่วงหนึ่งบางทีอาจจะมีรอยเขียวจ้ำบริเวณที่ผ่าตัดซึ่งเป็นผลมาจากการ
ผ่าตัด รอยนั้นจะหายไป
เมื่อเวลาผ่านไป
อย่างไรก็ตามหากแผลเกิด
การบวมแดงและ
เจ็บปวดมากขึ้นให้แจ้งให้แพทย์ของท่านทราบโดยเร็ว
โดยไม่ต้องรอการนัดครั้งต่อไป
ในช่วง 1-3 สัปดาห์แรก
หลังการผ่าตัดจงหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่
รวดเร็วของวงแขน หรือ บริเวณแผล
หลังจากนั้นท่านสามารถดำเนิน
กิจกรรมของชีวิตภายหลังจากได้รับการฝังเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
ได้ตามปกติ เช่น เดินทาง, ขับรถ,
อาบน้ำ, มีเพศสัมพันธ์, เล่นกีฬา
ท่าน
อาจต้องปรึกษาแพทย์
ในกรณีที่จะเล่นกีฬาบางชนิดที่ต้องใช้กำลังมาก
อาการต่างๆที่เกิดขึ้นก่อนการผ่าตัดอันเนื่องจากหัวใจเต้นช้าจะค่อยๆ
ลดลง และ หายไปในที่สุด
ถ้าคุณสังเกต
จะพบว่าร่างกายของท่านจะ
ปรับตัว
เข้ากับเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
ให้บอกแพทย์ถึงอาการ
ต่างๆที่เกิดขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ได้ปรับโปรแกรมของ
เครื่องให้
เหมาะกับตัวท่านตามต้องการในการตรวจครั้งต่อไป
ท่านสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก
บริษัท หลุยส์ ตี.
เลียวโนเวนส์ (ประเทศไทย) จำกัด
แผนก ไบโอเมด
โทร: 237-7040 Fax : 236-7471

สื่อแสดงการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
ของโรคโลหิตจางธารัสซีเมีย |
การใช้สื่อเพื่อช่วยในการอธิบายให้ผู้ป่วยหรือผู้สงสัยเกิดความรู้
ความเข้าใจในการ
ถ่ายทอดทางพันธุกรรมจาก
พ่อแม่ไปสู่ลูกของโรคโลหิตจางธารัสซีเมีย
โดยสื่อแบบ
ใหม่นี้จะประกอบด้วยแผ่นภาพ 1
แผ่น และกระบอกติ้ว

แผ่นภาพจะมีรูปของ
กระต่ายขาว
โดยใช้แทนที่ คนปกติ
กระต่ายดำ โดยใช้แทนที่
คนที่เป็นโรค
กระต่ายด่าง โดยใช้แทนที่
คนที่เป็นพาหะ
กระต่ายตัวโต
ใช้แทนที่รุ่นพ่อแม่
กระต่ายตัวเล็ก
ใช้แทนที่รุ่นลูก
กระต่ายในแบบที่
1 / 2 / 3
มีความแน่นอนที่ลูกทุกคนจะได้ผลทางพันธุกรรม
เหมือนกันหมด คือ ปกติหมด /
ผิดปกติหมด
หรือเป็นพาหะหมดทุกคน
ส่วนในแบบที่ 4 / 5 / 6
โอกาสที่จะได้ลูกที่เป็นปกติ /
เป็นโรค หรือเป็นพาหะ
อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
ขึ้นกับความเป็นไปได้ในการเสี่ยงคล้ายกับการสั่นติ้ว
เสี่ยงทาย
โอกาสของลูกที่จะเป็นไปได้ตามภาพประกอบ
แต่โอกาสเกิดขึ้นจะไม่เรียง
ตามภาพที่แสดง
ซึ่งในการตั้งครรภ์ครั้งหนึ่งก็เหมือนกับการสั่นติ้วใหม่ครั้ง
หนึ่ง
โดยต้องเอาติ้วทุกอันใส่กลับคืนเข้าไปตามเดิมก่อน
จำนวนของติ้วนั้น
ใช้ไม้จำนวน 4 อัน
โดยมีอัตราส่วนของติ้วไม้เหมือนอัตราส่วนของลูกกระต่าย
ที่แสดงไว้ตามภาพ
เมื่อการสอนโดยการอธิบายภาพเรียบร้อยแล้ว
ก็จะให้ผู้ป่วยลองสั่นกระบอกติ้ว
ดูหลายๆครั้ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจจริงๆ
ว่าโอกาส (Probability)ที่จะ
ได้ลูกลักษณะใดนั้นจะไปบังคับหรือควบคุมไม่ได้
แต่เหมือนขึ้นอยู่กับการเสี่ยง
โชคจริงๆ
และความเข้าใจอันดีจะมีส่วนช่วยให้ผู้รับบริการหรือผู้ที่สงสัยตัดสินใจ
ที่จะเจาะเลือดตรวจโดยละเอียดและตัดสินใจว่าจะตั้งครรภ์ต่อหรือไม่
ถ้าให้มี
การตั้งครรภ์ต่อไปจะยอมรับโอกาสที่จะเกิดขึ้นของลูกในครรภ์หรือไม่
สื่อใหม่นี้นอกจากจะช่วยสอนผู้รับบริการแล้วยังสามารถใช้ในการให้ความรู้
และ
สร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนทั่วไปถึงปัญหาของโรคโลหิตจางธารัสซีเมีย
ในประเทศเราได้เป็นอย่างดี

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
 อวัยวะของร่างกายคนเราที่สำคัญในการดำรงชีวิตนั้นมี
หลายอวัยวะ
และที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งคือ หัวใจ โดยหัวใจของคนเรานั้นมี
4 ห้อง ทำหน้าที่สูบฉีด
โลหิตไปฟอกที่ปอดและสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
ของร่างกาย
ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
ดังนั้นถ้า
มีความผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิดของหัวใจ
ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital Heart
disease) พบประมาณ 8 คนต่อ
ทารกคลอดมีชีพ 1,000 คน มีทั้งชนิดเขียว
(Cyanotic congenital heart disease) และชนิดไม่เขียว
(non-cyanotic congenital heart disease)
และแต่ละชนิดมีความรุนแรงของโรคต่างกันไป
ตั้งแต่
อาจเสียชีวิตหลังคลอดไปจนถึงสามารถมีชีวิตได้อย่างสบายจนถึงเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัวได้
การมี
ลูกหลานเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
ก็ย่อมมีความกังวล
ไม่สบายใจ
หรือเป็นทุกข์อย่างมาก
และอาจบั่นทอนเศรษฐกิจของครอบครัวอีกด้วยดังนั้นการจะทราบว่าลูกเป็นโรคหัวใจพิการแต่
กำเนิดหรือไม่
จึงมีความสำคัญและมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญอย่างง่ายเพื่อใช้วิเคราะห์ว่าลูกเป็นโรค
หัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่
ดังนี้
- ลูกเขียว (cyanosis)
หรือเปล่า?
เขียว (Cyanosis)
ในที่นี้หมายถึงลูกมีสีของผิวหนัง
แดงคล้ำทั่วร่างกาย
โดยเฉพาะจะเห็นได้ชัดแถวริมฝีปาก
ลิ้น ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า
(ไม่ใช่สีเขียวตามความหมายทั่วๆไป)
โดยเฉพาะเวลาลูกดูดนมหรือร้อง
จะดูเขียวมากขึ้น
ในรายที่มีอาการนี้มานาน
ก็จะทำให้ปลายนิ้วมือ
นิ้วเท้าโต
ปุ้มขึ้นคล้ายกับไม้ตีกลองได้
(Clubbing)
การที่เกิดเขียว (Cyanosis)
นี้เป็นเพราะมีความผิดปกติภายในหัวใจ
และ/หรือ ความผิดปกติ
ของหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจร่วมด้วย
ทำให้เลือดดำมาปนกับเลือดแดงที่จะออกมาเลี้ยง
ร่างกาย
เลือดจึงมีสีคล้ำเข้มขึ้น
เห็นเป็นเขียว (cyanosis)
- ลูกดูดนมแล้วเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
ลูกที่อายุยังน้อยๆ
หรือยังเล็ก เวลาดูดนม
คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตว่าลูกดูดนมไม่ค่อยเก่ง
ดูด
ได้ทีละน้อยๆ ต้องพักบ่อย และ
แต่ละครั้งที่ดูดนมก็ดูดได้น้อยกว่าเด็กทั่วๆไปในขนาดเดียวกัน
ทั้งนี้เป็นเพราะเด็กที่มีความพิการของหัวใจแต่กำเนิด
อาจมีการคั่งของเลือดที่ปอดทำให้มีการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนกับเลือดได้ไม่ดีเท่าที่ควร
และมีความยืดหยุ่นของปอด
(Compliance)น้อยลงอีกด้วย
- ลูกหายใจเร็วกว่าปกติอยู่ตลอดเวลา
การเกิดเช่นนี้เป็นเพราะมีการคั่งของเลือดในปอด
เช่นเดียวกับลูกดูดนมแล้วเหนื่อยง่ายกว่า
ปกติ
บางครั้งอาจมีอาการหอบร่วมด้วยโดยเฉพาะหลังเล่นหรือออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย
- หัวใจลูกเต้นเร็วและแรงกว่าปกติ
คุณพ่อคุณแม่
อาจเห็นหัวใจของลูกเต้นเร็วและแรงกว่าปกติ
โดยมีการกระเพื่อมของหน้าอก
ซ้ายด้านล่างแถวๆ ใกล้นมลูก
และบางครั้งอาจเห็นเต้นแรงคล้ายกลองที่ถูกตีทีเดียว
เป็นเพราะ
หัวใจเต้นแรงพยายามบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
ของร่างกายให้พอเพียงกับความต้องการซึ่ง
มากกว่าปกติ
เพื่อชดเชยเลือดที่พร่องไปในขณะหัวใจบีบตัวแต่ละครั้ง
เช่น ในกรณีที่มีผนัง
หัวใจรั่วร่วมด้วย
 ถ้าเป็นมานานอาจพบหน้าอกส่วนนี้นูนออกมาคล้ายหน้าอกไก่ได้
เนื่องจาก
หัวใจโตดันออกมา
- ลูกไม่ค่อยโต
หรือเติบโตช้ากว่าปกติ
เป็นเพราะเด็กที่มีความพิการของหัวใจแต่กำเนิดโดยเฉพาะที่มีหัวใจวายร่วมด้วยจะดูดนม
ไม่ค่อยเก่ง
รับประทานอาหารได้น้อยและอาจมีการดูดซึมอาหารของลำไส้ไม่ดีเท่าปกติอีก
ด้วยเพราะมีการคั่งของเลือดทำให้ได้อาหารไม่พอเพียงกับความต้องการของร่างกาย
ซึ่งเด็กพวกนี้ต้องการมากกว่าปกติอยู่แล้วจึงมีผลทำให้ผอมและเจริญเติบโตช้า
แต่การเจริญเติบโตทางด้านสติปัญญาโดยทั่วไปเท่ากับเด็กปกติ
ยกเว้นในรายที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดเขียว
'เขียวมาก' (Deep cyanosis)
อาจมีความเจริญทางด้านสติปัญญาด้อยลงได้

- ลูกมีเหงื่อออกมากผิดปกติ
คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตว่าลูกมีเหงื่อออกมากกว่าปกติ
ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว
เช่นขณะที่คนทั่วไปรู้สึกว่าอากาศค่อนข้างหนาวแต่ลูกก็มีเหงื่อ
โดยเฉพาะแถวหน้าผาก
ด้านหลังของศรีษะและหลัง
เป็นต้น
บางครั้งหมอนหรือที่นอนเปียกชุ่มไปหมด
อันนี้
เป็นเพราะมีการทำงานของประสาท
ซิมพาเธอติก(Sympathetic nerve) มากกว่าปกติ
โดยเฉพาะภาวะที่มีหัวใจวาย
ร่วมด้วย
แต่ถ้าลูกหลานท่านผู้ใดมีเหงื่อออกเฉพาะตอนอากาศร้อนหรือออกกำลังกาย
ก็คือว่าปกติ ไม่ต้องกังวล
- ลูกเป็นหวัด
ไอ หรือปอดบวมบ่อย
อันนี้เป็นเพราะมีการคั่งของเลือดที่เยื่อบุผิวของหลอดลมและที่ปอด
ทำให้มีการติดเชื้อ
ง่ายกว่าปกติ
จึงเป็นหวัดหรือปอดบวมง่ายและป่วยบ่อยกว่าเด็กปกติ
ๆ ไป
จากหลักสังเกตที่สำคัญ 7
ข้อดังกล่าวนี้
หวังว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะ
สามารถนำไปใช้พิจารณาว่าลูกน่าจะป่วยเป็นโรคหัวใจพิการ
แต่กำเนิดหรือไม่?...
ได้ดีทีเดียว
ไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษหรือความชำนาญอะไรเลย
และพาลูกหลานของท่าน
ไปให้แพทย์ตรวจเพื่อจะได้ทราบแน่ชัดว่าป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่
โดยแพทย์
จะใช้เครื่องมือตรวจที่เรียกว่า
Stethoscope
ฟังดูว่าลูกมีเสียงหัวใจผิดปกติหรือไม่
หรือมีเสียงอื่น
ที่ผิดปกติร่วมด้วย
บางครั้งแพทย์ผู้ตรวจอาจจะส่งทำเอกซเรย์หัวใจ
(Chest x-ray) คลื่นไฟฟ้า
หัวใจ (ECG)
เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหัวใจมากขึ้น
และบางครั้งอาจต้องได้รับการตรวจหัวใจ
เป็นพิเศษด้วยเครื่องมือชนิดพิเศษ
เช่น
เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูง
(Echocardiography) และ/หรือ
การสวนหัวใจ (Cardiac catheterization)
เพื่อให้ทราบชนิดของความผิดปกติอย่างถูกต้องและ
ความรุนแรงของโรค
เพื่อใช้ประกอบในการรักษาและพยากรณ์โรค

สำหรับ
การปฏิบัติในการเลี้ยงลูกนั้น
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล
เพราะความรุนแรงของโรคไม่เหมือนกัน
แต่โดยทั่วไปแล้ว
ลูกควรทานอาหารเค็มน้อย
ห้ามการออกกำลังกายมาก
โดยเฉพาะที่เป็นการแข่งขัน
บางรายอาจต้องได้รับยาบำรุง
หัวใจ (Digitalis)
และ/หรือร่วมกับยาขับปัสสาวะ (diuretic)
หรือยาอื่นแล้วแต่ชนิดและ
ความ รุนแรงของโรค
และควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเมื่อจะทำการถอนฟันหรือผ่าตัด
เพื่อจะได้ทานยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อ
สุดท้ายคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์
ตามนัดหมายเป็นประจำ
ลูก เป็น โรคหัวใจพิการ แต่กำเนิดหรือ...
โดย นายแพทย์วัชระ
จามจุรีรักษ์
กุมารแพทย์โรคหัวใจ
โรงพยาบาลกรุงเทพ
 สนับสนุนโดย
บริษัท หลุยส์ ตี.
เลียวโนเวนส์(ประเทศไทย) จำกัด

ฟีโรโมนส์
สารธรรมชาติช่วยเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม |
เราลองมาสังเกตุแบบง่ายๆ
เกี่ยวกับความสวย ความหล่อ
ของคนรอบข้างคุณดูซิ
คุณเคยรู้สึก
ไหมว่า
ทำไมวันนี้ยายสุนีย์ซึ่งเมื่อวานยังดู
"เห่ย" อยู่หยกๆ
ทำไมวันนี้ถึงดูสวยจัง
หรือคุณ
สมชายบางวันดูล้อ.....หล่อ
แต่บางวันก็ดูงั้นๆ แหละ
เออ! ทำไม ?
คุณรู้หรือเปล่า ?
เรื่องของความสวย ความหล่อ
ทุกคนก็คงจะรู้สึกกันดีอยู่แล้วว่า
เป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรสำเร็จอันใด
ที่จะสามารถนำมาวัดได้เป๊ะๆ
เหมือนสูตรคูณ
เพราะนี่เป็นเรื่องของนามธรรม
ขึ้นอยู่กับสายตา
ความรุ้สึก อารมณ์
และรสนิยมของแต่ละคนแล้ว
ยังมีเรื่องของฟีโรโมนส์ (Pheromone)
เข้ามา
เกี่ยวข้องอีกด้วย
ฟ๊โรโมนส์
ที่ว่านี้ไม่ใช่ครีมทาตัว
ทาหน้า
หรือครีมสูตรมหัศจรรย์ใดๆ
หากแต่เป็นสารที่
ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างมีอยู่แล้วกับตัว
พบได้ที่ไหน
"ตรงบริเวณรักแร้"
ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ
แล้วคุณจะรู้สึกว่าเจ้าฟีโรโมนส์
ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีกถ้าคุณรู้ว่า
มีส่วนช่วย
ให้ผู้หญิง-ผู้ชาย
มีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม
ว้าว!
ฟีโรโมนส์เป็นสารเคมีในร่างกาย
เป็นสารไร้กลิ่นแต่ไม่ไร้น้ำยา
เพราะมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นความ
รู้สึกเสน่ห์หา
ช่วยกระตุ้นความรู้สึกของเพศตรงข้ามให้มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น
ไม่ใช่แต่มนุษย์เท่านั้น แม้แต่สัตว์
ก็มีและเป็นสารตัวสำคัญที่มีผลต่อพฤติกรรมทางเพศของสัตว์เหล่า
นั้น
พูดง่ายๆก็คือสารที่กระตุ้นให้สัตว์เกิดความรู้สึกปิ๊งปั๊งอยากมีคู่นั้นเอง
เรื่องของเจ้าสารเคมีบริเวณรักแร้
ที่น่ารักเหลือหลายนี้เป็นผลจากการศึกษาใหม่ล่าสุดของคณะผู้เชี่ยว
ชาญ ประเทศอังกฤษนำมาเสนอ
ที่เมืองวินเชสเตอร์ ว่า "
สารเคมีตัวนี้ก็ส่งผลหรือมีอิทธิผลต่อมนุษย์
เหมือนที่มีต่อสัตว์นั่นแหละ"
"
ฟีโรโมนส์ในผู้ชายสามารถกระตุ้นให้ผู้หญิงรู้สึกว่าผู้ชายมีหน้าตามีเสน่ห์ดึงดูดใจมากขึ้น
"
คณะทำงานค้นพบว่า
ยิ่งให้ผู้หญิงได้สัมผัสสารฟีโรโมนส์ของผู้ชายมากยิ่งขึ้น
ก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้
พวกเธอรู้สึกว่าผู้ชายดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น
จากการทดลองในผู้หญิง 32 คน
โดยให้พวกเธอให้
คะแนนความมีเสน่ห์ดึงดูดใจ
ต่อการดูภาพของผู้ชายหลายๆคน
แล้วยังรูปวาดครึ่งตัวของผู้ชายและตัว
ละครผู้ชายในนิยาย
หลังจากนั้นให้พวกเธอได้สัมผัสสารฟีโรโมนส์
ของผู้ชาย
แล้วจึงให้พวกเธอลองให้คะแนนความมี
เสน่ห์ดึงดูดใจของรูปภาพผู้ชายชุดเดิมอีกครั้ง
จากนั้นต่อมาอีก 2
สัปดาห์
เมื่อผู้หญิงกลุ่มเดิมซึ่งอยู่ในช่วงต่างๆของรอบประจำเดือนของพวกเธอ
ก็ลองทำการทดสอบซ้ำแบบเดิมทั้ง
2 อย่างอีก
ซึ่งผลลัพท์ออกมาก็คือ
ผู้หญิงทุกคนต่างให้คะแนนว่า
รูปภาพของผู้ชายเหล่านั้นดูหล่อเหล่า
ดูมี
เสน่ห์น่าดึงดูดใจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงได้สัมผัสสารฟีโรโมนส์ของผู้ชาย
แม้แต่รูปผู้ชาย
ที่ได้รับการประเมินว่าขี้เหร่ในตอนแรก
ก็ยังดูมีเสน่ห์ขึ้น
ผลการทดสอบนี้สอดคล้องกับการทำการ
ทดสอบในด้านกลับกัน
คือสารฟีโรโมนส์ในสตรีที่มีผลต่อเพศชาย
และสารดังกล่าวจะส่งผลต่อผู้หญิง
มากที่สุดในช่วงกลางของรอบเดือนของพวกเธอ
โดยจะทำให้ดูมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากขึ้นในช่วงนั้น
แต่อย่างไรก็ตามอย่าหวังพึงเจ้าฟีโรโมนส์เพียงอย่างเดียว
จนลืมเสน่ห์อย่างอื่นๆเสียหมด
เช่น ความดี
ความงานของจิตใจ ไปซะล่ะ .

ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินารี
เล่าว่า จากประสบการณ์หลายปี
ที่ผ่านมาเขาได้พบเห็นการใช้ยา
และเทคโนโลยีที่ช่วย
ให้มีบุตรเพิ่มมากขึ้น อย่าง
Assisted Reproductive
Technology (ART) อาทิ In Vitro Fertilization (IVF)
หรือ
เทคนิคในการนำไข่มาผสมในหลอดทดลองและนำ
กลับไป ฝังในมดลูก
เทคนิคเหล่านี้
ได้รับการยอมรับว่าได้ผลดี
แต่เท่าที่ผู้เชี่ยวชาญ
ได้สังเกตดูพบว่า
เทคนิคดังกล่าวทำให้เกิดทารกแฝด
ทั้งแฝดสอง
แฝดสาม หรือแฝดมากกว่านั้น
เพิ่มตามมาด้วย ผลจากการ
สังเกตการณ์ดังกล่าวนี้ไม่ต่างจากผลการศึกษาจำนวนทารก
แฝดในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง National Center
For Health Statistics
ได้มีการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี
๑๙๘๐ และรายงานในปี ๑๙๗ ว่า
จำนวนทารกแฝดสองที่เกิดในสหรัฐ
เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นกว่า ๒
เท่าตัว
ในขณะที่ทารกแฝดสามขึ้นไป
เพื่มขึ้นมากกว่า คือคิดเป็น
อัตราถึง ๔๐๐ เปอร์เซ็นต์
ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการแพทย์ทำให้คู่สมรสหลายคู่
ที่มีปัญหาเรื่องการมีบุตรยาก
ได้มีโอกาสมีบุตรของตนเอง
แต่
เทคนิคเหล่านี้ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาที่จะตามมาเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการคลอดก่อนกำหนด
ภาวะแทรกซ้อนของ
เด็กแรกเกิด
ทำให้ต้องอยู่โรงพยาบาล
นานกว่าปกติ
รวมไปถึงอาการครรภ์เป็นพิษ
มีเลือดออกก่อนคลอด
ตกเลือดหลังคลอด
และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอด
ลูกด้วยวิธีการผ่าตัด
นอกจากนี้ American Association of
Premature
Infants ยังระบุว่า
ผู้ที่ตั้งครรภ์ทารกแฝดส่วนใหญ่
จะคลอดก่อนกำหนด
ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดนี้
เสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วย
หรือการมีปัญหาสุขภาพ
ในระยะยาวของเด็กทารก
จะคลอดก่อนกำหนด
ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดนี้
เสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วย
หรือการมีปัญหาสุขภาพ
ในระยะยาวของเด็กทารก
จะคลอดก่อนกำหนด
ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดนี้
เสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วย
หรือการมีปัญหาสุขภาพ
ในระยะยาวของเด็กทารก อาทิ
การหายใจลำบาก
ในระยะยาวของเด็กทารก อาทิ
การหายใจลำบาก
ในระยะยาวของเด็กทารก อาทิ
การหายใจลำบาก
ปัญหาเรื่องการมองเห็น
และพัฒนาการที่เชื่องช้า
เป็นที่ยอมรับกันในระหว่างองค์กร
และผู้เชี่ยวชาญ
ด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก
รวมไปถึง
American Society for Reproductive Medicine
(ASRM) และ American College of Obstetrics
and Gynecology (ACOG)
ว่าการลดอัตราการเกิดทารกแฝดเป็นสิ่งแรกสุดที่ควร
จะต้องคำนึงถึง
ในการคิดแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ที่ตามมา
ดังนั้นการใช้ยาช่วยให้มีบุตรรวมไปถึงเทคนิคที่ทำให้
เกิดการปฏิสนธิต่าง ๆ
ควรเป็นไปด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้อง
เลือก
สูติแพทย์แผนกต่อมไร้ท่อ
ที่เชี่ยวชาญในเรื่อง
การมีบุตรยากที่เชื่อถือได้
โดยทั่ว ๆ
ไปแล้วแพทย์ต้องการที่จะลดโอกาสในการเกิดตัวอ่อนมากกว่า
๒ ตัว
และการเกิดทารกแฝดหลายคนในครรภ์นั้น
สามารถลดลงได้ด้วยองค์ประกอบการเกิดทารกแฝดหลายคนในครรภ์นั้น
สามารถลดลงได้ด้วยองค์ประกอบการเกิดทารกแฝดหลายคนในครรภ์นั้น
สามารถลดลงได้ด้วยองค์ประกอบ
๓ อย่าง
๓ อย่างการเกิดทารกแฝดหลายคนในครรภ์นั้น
สามารถลดลงได้ด้วยองค์ประกอบการเกิดทารกแฝดหลายคนในครรภ์นั้น
สามารถลดลงได้ด้วยองค์ประกอบ
๓ อย่าง
๓ อย่าง
๓ อย่าง คือ
๑)
ใช้ยาที่มีความแรงน้อยที่สุดเพื่อให้ออกฤทธิ์น้อยที่สุด
๒)
คอยติดตามการพัฒนาของไข่และระดับฮอร์โมนเนื่องจาก
สองปัจจัยนี้สามารถบ่งบอกได้ว่า
จะมีการตกไข่กี่ใบ
๓)
ก่อนเลือกใช้ยาควรศึกษาผลของการใช้ก่อนหน้านี้ด้วยว่าเคย
มีเปอร์เซนต์ทำให้เกิดไข่จำนวนมากหรือไม่
อย่างไรก็ตามการป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ทารกแฝดหลายการป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ทารกแฝดหลายการป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ทารกแฝดหลาย
คนนั้นเป็นเรื่องยากด้วยเทคนิคART(ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไป
ในแต่ละกรณี)จะนำไข่จำนวนมากออกมาจากผู้หญิงจากนั้น
จะนำมาผสมกับสเปิร์มในห้องปฏิบัติการ
ซึ่งสเปิร์มนั้นอาจ
จะเป็นของคู่สมรสหรือ
สเปิร์มที่ได้รับบริจาคก็ได้
และไข่ที่
ได้รับการผสมนั้นจะถูกนำกลับไปไว้ในมดลูกของผู้หญิงตาม
เดิม
ซึ่งในกรณีนี้คู่สมรสจะต้องยอมรับความเสี่ยงจากการ
ตั้งครรภ์แฝดทารกหลายคน
American College of Obstetrics and Gynecology
(ACOG) ยังแนะนำว่า
คู่สมรสที่คิดจะมีบุตรด้วยวิธินี้จะ
ต้องพิจารณาในหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะเวลา
อารมณ์ ร่างกาย ค่าใช้จ่าย
รวมไปถึงรับรู้ในความเสี่ยง
ที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น
คนนั้นเป็นเรื่องยากด้วยเทคนิคART(ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไป
ในแต่ละกรณี)จะนำไข่จำนวนมากออกมาจากผู้หญิงจากนั้น
จะนำมาผสมกับสเปิร์มในห้องปฏิบัติการ
ซึ่งสเปิร์มนั้นอาจ
จะเป็นของคู่สมรสหรือ
สเปิร์มที่ได้รับบริจาคก็ได้
และไข่ที่
ได้รับการผสมนั้นจะถูกนำกลับไปไว้ในมดลูกของผู้หญิงตาม
เดิม
ซึ่งในกรณีนี้คู่สมรสจะต้องยอมรับความเสี่ยงจากการ
ตั้งครรภ์แฝดทารกหลายคน
American College of Obstetrics and Gynecology
(ACOG) ยังแนะนำว่า
คู่สมรสที่คิดจะมีบุตรด้วยวิธินี้จะ
ต้องพิจารณาในหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะเวลา
อารมณ์ ร่างกาย ค่าใช้จ่าย
รวมไปถึงรับรู้ในความเสี่ยง
ที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น
นอกจากนี้ยังจะต้องพิจารณาในกรณีที่ในกรณีที่เกิดตัวอ่อน
หลายซึ่งอาจส่งผลให้เกิด
ความไม่สมบูรณ์ของตัวอ่อนเหล่า
นั้นและต้องมีการกำจัดออกบ้าง
เพราะคู่สมรสย่อมต้องการ
ทารกที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
กรณีนี้จึงอาจเป็นความ
เกี่ยวเนื่องถึงจริยธรรมด้วยอีกอย่างหนึ่ง
Cover Story from CNN Health
http://www.cnn.com/HEALTH/women/9910/07/infertility.multiple.wmd/index.html

ฤดูฝนทุกปีทางกระทรวงสาธารณสุขก็มักจะออกมาประกาศเตือนประชาชนให้ระมัดระวังป้องกัน
ตนเอง ให้พ้นจากโรคติดต่อ
โรคร้ายต่างๆที่มักมากับหน้าฝน
มีโรคอะไรบ้างที่ควรจะต้องระวัง
เริ่มจากโรคติดเชื้อกับผิวหนัง
เช่น
- โรคเท้าเปื่อย
โรคน้ำกัดเท้า หรือ ฮ่องกงฟุต
สาเหตุเกิดจากการที่ต้องแช่
ต้องเดิน ลุยน้ำสกปรกเป็น
ระยะเวลานาน
จนทำให้เกิดการติดเชื้อ
และถ้ามีเรื่องอับชื้นเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะทำให้มีปัญหาเรื่อง
เชื้อราเข้าให้อีก
การป้องกันก็พยายามสวมรองเท้าบู๊ตเมื่อต้องลุยน้ำขัง
สกปรก และถ้าเลี่ยงไม่ได้
หลังการลุยน้ำมาแล้วควรล้างทำความสะอาดและเช็ดเท้าให้แห้ง
อาจใช้แป้งโรยช่วยลดความอับชื้น
ตามซอกเท้า
- สังคัง
โรคนี้มาจากความอับชื้น
และเชื้อรา
มักจะเป็นตามบริเวณขาหนีบทั้งสองข้าง
โดยจะเป็นผื่น
แดง มีขุยตามขอบนอก
อาจลามไปถึงง่ามก้น แก้มก้น
และหน้าท้องได้
การป้องกันหลีกเลี่ยงการใช้
กางเกงในที่หนาและรัดรูป
ซับความชื้นได้ดี
ทำให้บริเวณขาหนีบได้รับความชื้น
ร้อนหมักหม่มเป็น
เวลานาน
วิธีป้องกันหลีกเลี่ยงใช้กางเกงในที่หนาและซับน้ำ
และหลังการลุยน้ำแล้วให้ทำความสะอาดให้แห้ง
เปลี่ยนกางเกงใหม่
- ตาแดง
เกิดจากเชื้อไวรัส
ติดต่อโดยการสัมผัสใกล้ชิดหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่ป่วย
เช่น แว่นตา ผ้า
เช็ดหน้า เป็นต้น หรือเกิดจาก
น้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
การป้องกันหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกันกับผู้ป่วย
อย่าใช้มือ แขน
ผ้าที่สกปรกมาขยี้ตา
หรือเช็ดตา
หลีกเลี่ยงน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
หรือถ้ากระเด็นเข้า
ตาให้รีบทำความสะอาดทันที
โรคติดเชื้อกับระบบทางเดินหายใจ
เช่นโรคหวัด
เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ
ปอดอักเสบ ปอดบวม
สาเหตุเกิดจากการหายใจเอาเชื้อโรคซึ่ง
กระจายอยู่ในอากาศเข้าไป
หรือมาจากน้ำมูก น้ำลาย
ของผู้ป่วยกระจายออกมาในช่วง
ไอ จาม
การป้องกันหลีกเลี่ยงการหายใจเอาเชื้อโรคโดยเฉพาะที่ต้อง
อยู่ใกล้กับผู้ป่วย
และผู้ป่วยควรสวมผ้าคลุมหน้าป้องกันการกระจายเชื้อ
พยายามให้ความอบอุ่นต่อ
ร่างกาย ทำร่างกายให้แข็งแรง
โรคติดเชื้อกับระบบทางเดินอาหาร
อาการเจ็ปป่วยของโรคในกลุ่มนี้ได้แก่
โรคท้องร่วง บิด ไทฟอยด์
อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค
ตับอักเสบ
สาเหตุของการเกิดโรคเหล่านี้เกิดจากการดื่มน้ำและทานอาหาร
วิธีป้องกันโดยการกินอาหารที่ปรุงสุก
สะอาด ดื่มน้ำที่สะอาด
ล้างมือก่อนทานอาหาร
เพราะช่วงหน้าฝน
โอกาสที่มือจะไปสัมผัสถูกน้ำสกปรก
มีเชื้อโรคติดต่อได้มากมาย
เมื่อมาทานอาหารโดยไม่ล้างมือ
ก็มีโอกาสได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
ถ่าย
อุจจาระให้เป็นที่เป็นทาง
ในส้วมที่ถูกหลักสุขอนามัย
โรคติดต่อที่มากับพาหะนำโรค
ได้แก่สัตว์ต่างๆที่เป็นพาหะนำโรคโรคอันตรายมาสู่คนที่เป็นปัญหามากในปัจจุบันได้แก่หนุ
ที่นำโรค
เลปโตสไปโรซิส
หรือโรคที่ชาวบ้านเรียกว่าโรคฉี่หนู
เกิดจากเชื้อตัวนี้ปนออกมากับปัสสาวะของสัตว์
กัดแทะ โดยเฉพาะเช่นหนู
จึงเรียกว่าโรคฉี่หนู
ในแต่ละปีโดยเฉพาะแถบอีสานมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้หลาย
พันร้ายและถึงกับเสียชีวิตนับเป็นร้อยๆราย
จากสถิติกองระบาดวิทยา
ระบุว่าในปีที่แล้วมีผู้ป่วยด้วยโรค
ฉี่หนู ประมาณ 5709 ราย
เป็นภาคอีสาน 5120 รายเป็น
บุรีรัมย์ สูงสุดซะ 1576 ราย
ภาคเหนือ 318 ราย
ภาคกลาง 129 ราย ภาคใต้ 79 ราย
ในหน้าฝน
มีโอกาสน้ำท่วมขังสูงเมื่อสัตว์ที่ป่วยเป็นพาหะของโรค
ฉี่ปล่อยเชื้อเลปโตสไปโลซิสลงใน
แหล่งน้ำขัง
เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้ทางผิวหนังที่มีแผลหรือรอยถลอก
ขีดข่วนในเวลาลุยน้ำ ทำให้
เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วทำให้เกิดอาการ
ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
เช่น น่อง ต้นขา ตะโพก
ปวดศีรษะ ตาอักเสบ หนาวสั่น
มีผื่นตามผิวหนัง
หากมีอาการดังกล่าวให้รีบไปพบแพทย์
โดยมากผู้ป่วยมักเข้าใจไปว่าเป็นแค่ไข้หวัด
กว่าจะมาพบแพทย์ก็มักมีอาการหนักมากแล้ว
ส่งผลให้เกิด
อาการแทรกซ้อนต่อระบบต่างๆของร่างกายเช่น
ไตวาย ตัวเหลือง ตาเหลือง
เลือดออกในช่องปอด หอบ
และเสียชีวิต
ทั่งๆที่โรคนี้สามารถรักษาได้ไม่ยากหากมารับการรักษา
แต่เนิ่นๆ
แค่ทานยาก็หายได้แล้ว
การป้องกันพยายามกำจัดหนูซึ่งเป็นพาหะในการแพร่เชื้อ
ในบริเวณแหล่งอาศัย
หลีกเลี่ยงการลุยหรือ
แช่น้ำเป็นเวลานาน
โดยเฉพาะถ้ามีแผลที่ผิวหนังด้วย
แล้วให้พยายามหลีกเลี่ยงการลุยน้ำ
โรคไข้เลือดออก
ก็จัดเป็นโรคที่น่ากลัวในหน้าฝน
เกิดจาก ยุงลาย
มักระบาดในชาวงเดือน พ.ค. - ก.ย.
มักเกิดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
มีสิทธิ์ถึงตายได้เหมือนกันถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
โรคนี้เกิด
จากเชื้อไวรัส เดงกี่
โดยเมื่อยุงลายไปกัดเอาผู้ป่วยดูดเอาเชื้อเข้ามาในตัวยุงลาย
เมื่อยุงลายนี้ไปกัดเอา
คนปกติเข้า
ก็จะถ่ายทอดเชื้อเข้าสู่คนที่ถูกกัด
หลังจากนั้นประมาณ 5 - 8 วัน
ก็จะเริ่มมีอาการคือ
มีไข้ขึ้น
สูงประมาณ 38-40 องศาเซลเซียส
อย่างเฉียบพลันประมาณ 2 - 7วัน
หน้าแดง ซึม เบื่ออาหาร
อาจมีจุด
เลือดสีแดงตามตัว แขน ขา
ปวดเมื่อนตามตัว ปวดหัว
ปวดหลัง อาเจียนเป็นเลือด
หรืออุจจาระเป็นสีดำ
หากอาการหนักมาก ตัวจะเย็น
ช็อค และถึงตายในที่สุด
หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นให้รีบไปพบแพทย์
และห้ามให้ยาลดไข้ปรเภท
แอสไพลิน เป็นอันขาด
เพราะจะไปทำให้มีอาการเลือดออกเพิ่มมากขึ้น
กลับ
เป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น
การป้องกัน
โดยการนอนกางมุ้ง
ในเวลากลางวันพยายามอย่าอยู่ในบริเวณที่มืด
และอับชื้น เพราะยุงลาย
มักออกมากัดในเวลากลางวัน
คอยกำจัดลูกน้ำกำจัดยุง
ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุง
ปิดฝาตุ่มน้ำให้มิดชิด
เก็บทำลายภาชนะที่อาจขังน้ำเอาไว้เช่น
เศษโอง ไห กะลา ยางรถยนต์เก่า
เป็นต้น
นอกจากโรคภัยไข้เจ็บดังกล่าวแล้ว
ภัยที่ต้องระวังในช่วงหน้าฝนยังมาจากแมลง
สัตว์เลื้อนคลานมีพิษ เช่น
งู ตะขาบ แมงป่อง เป็นต้น
ควรเริ่มต้นเตรียมตัวและเตรียมรับมือกับหน้าฝนเสียแต่เนิ่น
เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีในหน้าฝนนี้
สนใจรายละเอียดของโรคต่างๆข้างต้นเลือกปุ่ม
โรคและอาการ
ครับ


ThaiL@bOnLine
Phone : (02) 803-6704 Email : vichai-cd@usa.net
|