สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ        การตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องแล็ป ตั้งแต่การได้รับตัวอย่าง เลือด/ ปัสสาวะ/ สารคัดหลั่งต่างๆ วิธีการทดสอบไปจนถึงการแปลผล
อาการและปัญหาของโรคภัยไข้เจ็บ       การดูแลป้องกันโรคติดต่อ        สรีระร่างกายของเรา       ชมรมเรารักสุขภาพมาช่วยกันดูแลสุขภาพกัน       สุขอนามัย

cdlogo.gif (7928 bytes)
Healthcare & Diagnostic

winshop.jpg (4697 bytes)
HealthShop l ช็อปปิ้งเพื่อสุขภาพ


สนใจรับข่าวสารสุขภาพใหม่ๆ 
พร้อมประโยชน์อื่นๆ เชิญสมัครฟรี !

Home ] Up ] News1 ] News2 ] [ News3 ]
ban3.jpg (13652 bytes)

 

Top             banner5.gif (43439 bytes)

การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ เคล็ดลับการมี
สุขภาพดี   แนะวิธีการคลายเครียด
พัฒนาคน พัฒนางานให้ทันในปี 2000
คุณรู้จักความสุขมากแค่ไหน ผักปลอดสารพิษ / ปลอดสารเคมี
รับประทานปลาลดความเครียด 1663  HIV CARE PHONE ถามปัญหารักษาเอดส์
นักวิจัยญี่ปุ่นพบว่าน้ำมันมะกอกช่วย
ป้องกันมะเร็งผิวหนังได้
คุณรู้จักเจ้าไรฝุ่น สาเหตุของโรค
ภูมิแพ้จากที่นอน ดีแค่ไหน
การค้นพบอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ถอดรหัสทำแผนที่พันธุกรรมมนุษย์  

bar8.JPG (7232 bytes)

 

 

 

 

 

 

การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ เคล็ดลับการมีสุขภาพดีแนะวิธีการคลายเครียด

ความเครียด  
คือสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ทำให้เกิดความวิตกกังวล ทำให้ตื่นเต้น เกลียด กลัว หรือ
ความรู้สึกที่ไม่ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ ข้างต้นอาจเป็นแค่ความเครียดในระดับประจำวัน แต่ถ้าระดับความ
เครียดมีมากกว่าที่กล่าวข้างต้น เช่น มีการสูญเสีย การผิดหวัง หรือหวาดกลัวอย่างรุนแรง ความเครียดนั้น
ก็จะกลายเป็นความทุกข์แสนสาหัสขึ้นมา และสามารถกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจ็บป่วย จากระดับ
รุนแรงน้อยไปจนถึงป่วยหนักได้  
 
               
โกรธจนตัวสั่น กลัวจนหน้าซีด แค้นจนขมไปทั้งปาก
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ฮันส์ เซลย์ อาจาร์ยทางจิตวิทยา แห่ง
มหาลัยเพ็นน์สเตท กล่าวถึงความเครียดไว้ในหนังสือเรื่อง
Stress Without Distress ของเขาว่าความเครียดทำ
ร้ายเรา หรือทำให้เรามีความเข้มแข็งคึกคักก็ได้
  ถ้าทำร้ายเรา มันจะสร้างความปั่นป่วนและเปลี่ยนแปลงในระบบ
ต่างๆของร่างกายเรา จากการทดลองในห้องแล็ป ปรากฏว่า
เมื่อเวลาเราตื่นเต้นตกใจ ดีใจ หรือเสียใจ ระบบเลือด ระบบย่อย
อาหาร ระบบหายใจของเราเปลี่ยนแปลงไปโดยทันที
   เอนไซม์และฮอร์โมนหลายสิบตัวในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทาง
ตรงกันข้าม บางตัวหายไปเลย บางตัวออกมามากผิดปกติ โดย
ฮอร์โมนและเอ็นไซม์เหล่านี้มีหน้าที่ควบคุมความเป็นไป และเป็นตัว
ตั้งต้นในการทำงานของระบบต่างๆที่ทำหน้าที่ช่วยในการย่อยก็มี
ทำหน้าที่ช่วยในการหายใจบังคับหลอดลม เส้นเลือดดำ เส้น
เลือดแดงก็มี
   เพราะฉะนั้นเวลาตื่นเต้น เส้นเลือดของเราตีบ หลอดลมตีบ น้ำ
ย่อยถูกขับพุ่งจี๊ดออกมาในกระเพาะและลำไส้ เหล่านี้เป็นหน้าที่และ
การทำงานตามปกติของเอนไซม์และฮอร์โมน

จากรายละเอียดดังกล่าวจึงไม่ใช่ของแปลกที่หน้าจะเขียวหรือซีด
เพราะเมื่อเส้นเลือดตีบ เลือดก็ไหลขึ้นไปที่หน้าได้น้อยลง   เมื่อ
หน้าปราศจากสีเลือดก็ต้องซีดและเขียวเป็นธรรมดา
   หรือพอตื่นเต้นขึ้นมาหายใจหอบหายใจไม่เข้า ทำท่าเหมือนจะ
เป็นลมนั้นก็เพราะหลอดลมตีบเราก็หายใจได้ไม่เต็มที่ยิ่งเค้นหายใจ
มากขึ้นหลอดลมก็ยิ่งตีบมากก็เลยทำท่าจะเป็นลม
   ที่ว่าแค้นจนขมไปทั้งปากก็เช่นกัน น้ำย่อยก็ย่อมมีน้ำดีอยู่ด้วย
เมื่อถูกฉีดลงไปในลำไส้และย้อนขึ้นไปถึงกระเพาะ ก็สามารถย้อน
ขึ้นมาถึงปากได้ ปากก็เลยรู้สึกขมได้ทั้งๆที่ไม่ได้อมบอระเพ็ดเลย
   ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อเวลาเราเครียด จะทำ
ให้ร่างกายของเราเครียดไปด้วย การเครียดของร่างกายนั้นถ้า
เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆก็จะกลายเป็นการเจ็บป่วยขึ้นได้ ซึ่งการเจ็บป่วย
อาจไม่รุนแรงในขั้นต้น แต่ถ้าความเครียดยังคงมีอยู่ต่อไปก็อาจ
จะกลายเป็นการเจ็บป่วยร้ายแรงได้
   ศ. เอ. จัสติน ได้รายงานการทดลองเรื่องความเครียดกับการ
เจ็บป่วยมะเร็ง ไว้ว่า แม้ว่าความเครียดจะไม่ใช่สาเหตุของการเจ็บ
ป่วยมะเร็งโดยตรง แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องทางอ้อมเพราะความ
เครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลง จนกระทั่งภูมิคุ้มกัน
ไม่ส ามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ หรือภูมิต้านทานที่ต่ำลงก็จะเปิด
โอกาสให้มะเร็งก่อตัวได้ง่ายมากขึ้น
 
ฮันส์ เซลย์ อาจาร์ยทางจิตวิทยา แห่งมหาลัยเพ็นน์สเตท กล่าว
หาทางออกให้ว่า ความโกรธ ความแค้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของความ
เครียดนั้น แท้จริงมันมีพลังของมันเองอยู่ในตัว
   ตัวอย่างของนักกีฑาขณะเตรียมวิ่งแข่ง หัวใจเขาจะเต้นแรง
กล้ามเนื้อจะเกร็ง หน้าค่อนข้างซีด ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะเครียดอยู่
   ถ้านักกีฑานั้นตั้งใจสู้ ร่างกายจะเตรียมตัวให้ หัวใจเต้นแรงเพื่อ
ปั๊มเลือดไปยังส่วนล่างที่ขา กล้ามเนื้อจะเกร็งเพื่อพร้อมจะวิ่งให้
เร็วและแรง
   นี่คือการเตรียมพลังเพื่อสู้ อาจาร์ยเซลล์ชี้ให้เห็นว่า ร่างกายมี
พลังเตรียมสู้อยู่แล้ว ทำไมไม่เปลี่ยนความโกรธ ความไม่ชอบ อะไร
ต่ออะไรต่างๆให้เป็นพลัง แทนที่จะปล่อยให้ความเครียดนั้นกลาย
เป็นความกดดันตัวเอง กดดันเสียจนปริมาณเม็ดเลือดขาวซึ่งคือ
แหล่งสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานต้องลดน้อยถอยลงไป   เมื่อ
ภูมิต้านทานลดน้อยถอยลงเราก็หมดแรง เหนื่อย สุดท้ายมีสภาพ
เหมือนคนป่วย
       ดังนั้นทางที่ถูกต้องคือ ต้องรู้จักคิดในทางบวก
ตัวอย่างนักกีฑาที่กำลังเตรียมวิ่งข้างต้น เขากำลังอยู่ในระหว่าง
กลางของความคิดในทางลบและบวก เช่น แย่แล้วเราอยู่ลู่ใน เวลา
วิ่งต้องถูกเบียดแหงๆ นี่คือความคิดในทางลบ เปลี่ยนใหม่คิดเป้น
ว่า โชคดี เราได้ลู่ในเวลาวิ่งในช่วงต้นถ้าเราสามารถนำได้ เราก็จะได้
เปรียบในตอนปลายด้วย มีโอกาสได้เป็นที่หนึ่งแน่ๆ นี่คือความคิด
ในทางบวก
  
เมื่อมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าเกิดขึ้น ถ้าเราคิดในทางบวกได้ตลอด
เวลา เราก็จะได้เปรียบชีวิตตลอดเวลา
  แต่การคิดในทางบวกเพื่อสร้างพลังใจเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ
เรายังจะต้องแก้สภาพการเครียดทางกายพร้อมกันไปด้วย


   ความเครียดทางกายคืออะไร จากการทดลองจากหลายสถาบัน
พบว่าเวลาเครียดหรือไม่สบายใจปฏิกริยาของร่างกายจะไปลงที่ท้อง
ก่อน อาการจะท้องอืด ท้องเฟ้อ กินอาหารไม่ค่อยได้ นั้นเพราะ
ระบบย่อยอาหารจะถูกความรู้สึกทางใจรบกวนก่อนเป็นลำดับแรก
จากนั้นอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดต้นคอ ปวดตามข้อ
นั้นเพราะระบบกล้ามเนื้อ ระบบเส้นเลือดฝอยหดตัวทำให้เลือดไป
เลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ได้เต็มที่ ทำให้มีของเสียคั่งค้างในเซลกล้ามเนื้อ
มากทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย เกร็ง ปวดกล้ามเนื้อต่างๆตามมา
   เราจึงควรแก้ความเกร็งหรือความเครียดของร่างกายร่วมด้วย
โดยการพยายามให้ร่างกายผ่อนคลายมากๆ    ใช้การหายใจ  และ
สมาธิเข้าช่วย ซึ่วจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและคลายเกร็งได้ดียิ่ง
ขึ้น ลองบริหารเพื่อผ่อนคลายง่ายๆโดยการนอนราบบนพื้นราบ
ไม่นุ่มเกินไป นอนแผ่และเหยียดแขนขาตามสบาย หายใจยาวๆ ช้าๆ
หลายๆครั้ง
บริหารแขนโดย การกำมือให้แน่น นับช้าๆหนึ่งถึงสิบแล้วแบมือออก
โดยเร็ว ทำหลายๆครั้งสลับทั้งสองข้าง
บริหารขาโดย ให้เท้าเยียดตรงค้างไว้ให้เกร็งจนแข็งแล้วคลาย เท้า
ควรรู้สึกอ่อนลงทั้งขา สลับข้างเช่นเดียวกัน
บริหารคอโดย ยกคอขึ้น ก้มหน้าให้คางจรดอก แล้วหมุนไปทาง
ซ้ายค้างไว้ซักครู่ พักเราทำเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนมาทางขวาสลับกัน
บริหารท้องโดย แขม่วท้องให้สะดีอจรดสันหลัง กลั้นหายใจสักครู่
แล้วหายใจออกยาวๆ ทำซ้ำสักสองสามครั้ง
   จากนั้นหายใจตามปกติ สบายๆช้าๆ ใช้สมาธิช่วยอย่านึกถึงอะไร
ทั้งสิ้น หายใจสบายๆ แล้วหลับพักผ่อนให้เต็มที่

bar8.JPG (7232 bytes)









 

 




 พัฒนาคน พัฒนางานให้ทันในปี 2000


หากการบริการของท่านเกิดการผิดพลาดทำนองนี้จะเป็นอย่างไร
                   เอาดอกไม้สีสันสดใสไปส่งให้ในงานศพ ส่วนพวงหรีดพนักงานเอาไปส่งให้ในงานวันเกิด
                                ทำงานมั่วสลับกันแบบนี้ คงจะเหลือลูกค้าได้สักรายเป็นแน่

หัวใจของงานบริการที่ดีอยู่ที่ การส่งมอบของตามสั่ง
ได้อย่างถูกต้อง  ถูกที่   และถูกเวลา  (Right thing-
Right place at Right time)
การเพิ่มความระมัดระวัง    หรือความรอบคอบในการ
รับการสั่งซื้อ   รวมถึงการจัดส่ง   จึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ
ในการดำเนินธุรกิจและถือเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งในการ
ปรับปรุงเพิ่มผลผลิต    ที่ต้องให้ความสำคัญและป้องกัน
ไม่ให้เกิดการผิดพลาด ไม่ให้เกิดความล่าช้าหรือมีปัญหา
ตั้งแต่เริ่มทำการผลิตจนกระทั่งถึงมือลูกค้า


ในการส่งมอบงานภายในระหว่างหน่วยงานก็เช่นกัน ความถูกต้อง ตรงเวลา
ช่วยให้การผลิตดำเนินไปได้อย่างไม่ขาดตอน   ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่าง
หน่วยงาน ผลผลิตสุดท้ายก็ได้คุณภาพตรงตามเวลา ตอบสนองความต้องการ
ของลูกค้าภายนอกได้ทันที ความระมัดระวัง ความรอบคอบตรงต่อเวลา
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะต้องปลูกฝังให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานของแต่ละ
หน่วยงานได้เรียนรู้ เพื่อที่จะเป็นพลังขับดันสำคัญในการเพิ่มผลผลิต
เพิ่มความสำเร็จให้แก่ทุกองค์กร ได้อย่างยั่งยืน

จากสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
ร่วมใจผนึกทีมงานเป็นหนึ่งเดียว พัฒนาคน พัฒนางาน พัฒนาความคิด ต้อนรับปี 2000

bar8.JPG (7232 bytes)


 

 



 คุณรู้จักความสุขมากแค่ไหน

นักจิตวิทยานั้นถือว่าความสุขนั้นเป็นความผาสุขตามความนึดคิดของบุคคลนั้นๆ ในการศึกษาเรื่องความสุขของคนเรานั้น
นักจิตวิทยาได้ร่วมมือกับจิตแพทย์ระบบประสาท เพื่อหาตำแหน่งศูนย์ที่ตั้งของความสุขในสมอง และการค้นพบชี้ให้เห็นว่า
      ผู้ที่มีความสุขจะมีกระแสไฟฟ้าจำนวนมากวิ่งอยู่ในสมองส่วนหน้าแถบซ้าย
    ผู้ที่มีความโศกเศร้าท้อแท้จะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ในสมองส่วนหน้าแถบขวามากกว่า
การศึกษาเหล่านี้กำลังลบล้างความเชื่อเก่าๆที่เกี่ยวกับความสุข และค้นพบสิ่งใหม่ๆที่น่าทึ่งหลายประการ
1. ความสุขไม่จำกัดที่เพศหญิงหรือชาย
การศึกษาความผาสุขตามอัตวิสัยทั้งหมด 146 ครั้ง ให้ผลวิเคราะห์ได้ว่า ความแตกต่างในด้านความสุขระหว่างเพศหญิง
และชายนั้นมีไม่ถึงร้อยละหนึ่ง
2. ความสุขไม่ขึ้นกับอายุ
ไม่มีช่วงใดในชีวิตที่จำเพาะเจาะจงว่ามีความสุขน้อยกว่าในช่วงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นที่โลดแล่น สนุกสนาน ช่วงวัย
กลางคนหรือยามสังขารเสื่อมถอยในวัยชรา ทั้งนี้เป็นผลมาจากการสำรวจประชากรทั่วโลกร่วม 170,000 คนในทศวรรษ
1980 โดยโรนัลด์ อิงเกิลฮาร์ต แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน
3. ความร่ำรวยไม่นำมาซึ่งความสุข
แม้ว่าอำนาจการซี้อของของคนทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อ 40 ปีก่อน แต่ผลการสำรวจของศูนย์วิจัยความคิดเห็น
แห่งชาติ มหาวิทยาลัยชิคาโกในปี 2533 กับปี 2500 นั้นพบว่าไม่แตกต่างกันเลย นั้นคือประชาชนที่บอกว่า มีความสุขมาก
นั้นมีเพียงหนึ่งในสาม ดร.เดวิท มายเออร์กล่าวว่า เรารวยขึ้นเท่าตัว แต่ก็ไม่ได้มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม
สำหรับ ดร.เอ็ด ไดเนอร์ กล่าวถึงการสำรวจมหาเศรษฐี 100 อันดับแรกของโลกซึ่งจัดทำโดยนิตยสารฟอบส์ โดยชึ้ให้
เห็นว่าเหล่าอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วๆไปเลย
4. ความสุขและชีวิตสมรสสัมพันธ์กัน
ขณะที่ปัญหาในชีวิตสมรสเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผู้คนไม่มีความสุข แต่คนส่วนใหญ่มีความสุขเมื่อได้ผูกมัดกับใคร
สักคนมากกว่าอยู่คนเดียว
คนที่แต่งงานแล้วเหงาน้อยกว่าคนโสดและได้รับกำลังใจจากคู่ครองอีกต่างหาก   ชีวิตสมรสยังให้บทบาทสองอย่าง
แก่คู่สมรสคือการเป็นคู่ครองและการเป็นพ่อแม่ ซึ่งทำให้คนเราเคารพตนเองและมีความสุขมากขึ้น
5. คนที่มีความสุขมีสุขภาพดีกว่า
การศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า ผู้ที่คล้อยตามข้อความหลายๆข้อที่ยกมาเป็นตัวอย่าง เช่น ใครที่อยุ่ใกล้ฉันมักจะอารมณ์ดี
ตามไปด้วย มักจะปลอดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น โรคกระเพาะ นอนไม่หลับ หรือติดยา อีกทั้งยังมีความมั่นใจในตนเอง
มากกว่าและทำงานที่สลับซับซ้อนได้ดีกว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อความเหล่านั้น
การมีความสุขอย่างอย่างแท้จริงหมายถึงการดื่มด่ำกับสถานการณ์หรือกิจกรรมต่างๆได้อย่างราบรื่น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องเล่น เช่นศิลปินวาดรูป เขาที่เพลิดเพลินกับการวาดรูปอยู่นั้น เขาจะมี
ความสุขยิ่งกว่าเมื่อเขียนรูปเสร็จแล้วเสียอีกหรือบุคคลในอาชีพต่างๆเช่น นักวิทยาศาสตร์ นักเต้นรำ
ช่างเครื่อง และศัลยแพทย์ เป้นต้น พบว่ายิ่งใช้ความเชี่ยวชาญรอบด้านก็ยิ่งดื่มด่ำเพลินเพลินในงานที่
ตนทำ แต่ถ้าหากใช้ความสามารถน้อยอย่างหรือใช้อย่างจำเจก็จะยิ่งเกิด
ความเหนื่อยหน่ายและกังวล ผู้วิจัยทิ้งท้ายไว้ว่าทั้งความเหนื่อยหน่ายและความกังวล เป็นตัวบันทอนความสุข
และพึงหลีกเลี่ยงหรือขจัดออกไปเพื่อให้สามารถกลับมาทำงานหรือดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้

ขั้นตอนในการดำเนินสู่ความสุข
- ดื่มด่ำกับเวลาในขณะนั้น    ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ให้คุณค่ากับรอยยิ้มยามเช้าของลูกๆพึงพอใจ
ที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนสักคนและรื่นรมย์ที่ได้นอนคุดคู้อ่านหนังสือดีที่เราชอบๆสักเล่ม
- ควบคุมเวลาของตนเอง    คนที่มีความสุขมักจะตั้งเป้าหมายหลักก่อน แล้วแตกออกมาเป็นการ
กระทำย่อยๆในแต่ละวัน เช่น การเขียนหนังสือ 300 หน้า เป็นภาระอันหนักอึ้ง แต่การแบ่งเขียนออกเป็น
วันละ2-3หน้าอยู่ในวิสัยที่ทำได้อย่างสบายๆและมีความสุข เมื่อทำเช่นนี้ 150 ครั้งคุณก็จะได้หนังสือหนึ่ง
เล่มที่มีความหนา 300 หน้า ซึ่งหลักการนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้ทุกประเภท
- อารมณ์ดีเข้าไว้    มีข้อมูลมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า อารมณ์เสียจะกลายเป็นแส้กลับมาเฆี่ยนตีเรา
ให้เจ็บปวดได้ ในขณะที่อารมณ์ดีสามารถช่วยเยียวยารักษาร่างกายได้
- ความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด    คนที่มีเพื่อนสนิท คู่ครอง คู่คิด สามารถเผชิญกับ
ความเครียดได้ดีกว่าไม่ว่าจะเป็นความทุกข์โศกเพราะการเสียชีวิต ตกง่าน เจ็บป่วย หรือแม้แต่ถูกข่มขืน
จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 60 ของคนที่เอ่ยชื่อเพื่อนสนิทได้ห้าคน มักจะมีความสุข มากกว่าคนที่คิดชื่อ
ของเพื่อนที่สนิทไม่ได้สักคน
- เผยความสุขให้ผู้คนเห็น    ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่เผยให้เห็นความรู้สึกทางด้านสีหน้าว่า
กำลังมีความสุข จะรู้สึกดีกว่าคนที่ทำหน้าเรียบ และเมื่อกล้ามเนื้อใบหน้ายิ้มกว้าง ก็ดูเหมือนว่าสมองจะ
รู้สึกเป็นสุขตามไปด้วย
- อย่าเฉื่อยชา    อย่าปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในกับดักของความเกียจคร้าน หรือนั่งแบะแฉะอยู่หน้าจอ
โทรทัศน์ พยายามไปร่วมกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ช่วยดึงทักษะความสามารถในตัวออกมาใช้
- คึกคักหน่อย    การออกกำลังกายแบบแอโรบิค (ช่วยเร่งอัตราการเต้นของหัวใจและช่วยการสูบ
ฉีดโลหิตในร่างกายดีขึ้น)เป็นตัวช่วยแก้ความท้อแท้และความกังวลได้ จากการศึกษาในกลุ่มนักศีกษา
จำนวนหนึ่งพบว่า นักศึกษากลุ่มที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิคสามารถพัฒนาอารมณ์ได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่นักศึกษาที่เลือกเข้ากลุ่มฝึกสมาธิเพื่อการผ่อนคลายจะรู้สึกดีขึ้นเพียงเล็กน้อย
- หาเวลาพักผ่อน    คนที่มีความสุขมักจะกระฉับกระเฉง แต่ก็จะสงวนเวลาไว้สำหรับการพักผ่อน
การนอน และการอยู่ตามลำพังด้วย
- ดูแลจิตวิญญาณ    งานวิจัยเกี่ยวกับความศรัทธาและความผาสุขชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่เคร่งศาสนามี
ความสุขมากกว่าผู้ที่ไม่เคร่งภาวะการสนใจในศาสนามีแนวโน้มที่จะใช้ยาเสพติดและสุรา หย่าร้าง และ
ฆ่าตัวตายน้อยกว่าผู้ที่ไม่เคร่งหรือไม่ยึดถือในศาสนา

มาตรวัดความพึงพอใจที่เป็นอยู่
ใช้ระดับคะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 7 ให้ระบุว่าคุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อความต่อไปนี้
1 = ไม่เห็นด้วยมาก      2 = ไม่เห็นด้วย      3 = ไม่เห็นด้วยเล็กน้อย       4 = ปานกลาง
5 = เห็นด้วยเล็กน้อย     6 = เห็นด้วย        7 = เห็นด้วยมาก
คำถามที่ท่านลองพยายามตอบให้ตรงตามความรู้สึกตามจริงให้มากที่สุด

  - ชีวิตของฉันที่เป็นอยู่ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับที่ใฝ่ฝันไว้
  - สภาพต่างๆในชีวิตของฉันดีเลิศพร้อมแล้ว
  - ฉันพอใจในชีวิตของตัวเอง
  - ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันได้รับสิ่งสำคัญต่างๆที่ฉันต้องการในชีวิตแล้ว
  - หากฉันเลือกชีวิตใหม่ได้ ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของฉันเลย
 

รวมคะแนนที่ได้ นำไปประเมินด้านล่าง



รวมคะแนนคำตอบแล้วตีความหมายจากคะแนนที่คุณได้ตามนี้
5-9        คุณกำลังไม่พอใจในชีวิตของคุณอย่างยิ่งยวด
10-14    ไม่พอใจมาก
15-19    ไม่พอใจเล็กน้อย
20         ความรู้สึกพอใจปานกลาง
21-25    ค่อนข้างพอใจ
26-30    พอใจมาก
31-35    พอใจมากที่สุด
คนส่วนใหญ่ได้คะแนนในช่วง 21 -25

bar8.JPG (7232 bytes)







 


 1663  HIV CARE PHONE ถามปัญหารักษาเอดส์

โรคเอดส์มีลักษณะที่แตกต่างจากโรคอื่นๆ คือเป็นโรคที่ติดต่อกันจากพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งเปลี่ยน
ได้ยาก แม้จะเป็นความเพลิดเพลินชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ทำให้มีการแพร่ระบาดไปได้อย่างรวดเร็ว
คล้ายไฟลามทุ่ง คนที่เริ่มติดเชื้อจะยังไม่แสดงอาการอะไรในช่วง 8-10 ปีแรก จึงเป็นช่วงที่สามารถ
แพร่เชื้อให้คนอื่นๆไปได้เรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว   โรคเอดส์ยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยาใดๆที่จะรักษาให้
หายขาด คนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้วจะมีชีวิตโดยเฉลี่ย 2-3 ปี ยิ่งคนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นคน
หนุ่มสาวในวัยทำงาน จึงทำให้เกิดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจของครอบครัวและต่อประเทศชาติ
เป็นอย่างมาก อีกทั้งเป็นก็ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวครอบครัวและสังคมจะรังเกียจ เป็นความ
ทุกข์ทางใจที่ซ้ำเติมให้แก่ความทุกข์ทางกายที่มีมากอยู่แล้ว

คนไทยรู้จักโรคเอดส์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2527 ได้ยินได้ฟังได้อ่านเรื่องโรคเอดส์จนบางคนบ่ยว่าเบื่อ
หน่ายเต็มทนแล้ว เป็นความจริงว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้จักโรคเอดส์ว่าเป็นอย่างไร แต่ที่สำคัญ
กว่าคือเมื่อรู้แล้วปฏิบัติตามหรือเปล่า หลีกเลี่ยงป้องกันหรือเปล่า ? คำตอบก็คือยังมีบางส่วน
ที่ยังจะเสี่ยงอยู่ จึงทำให้ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ
ศาตราจารย์ประพันธ์ ภานุภาค ที่กล่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคเอดส์ในปัจจุบัน ตลอดจน
ความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์ HIV CARE PHONE เพื่อเป็นอีกทางหนึ่งที่ให้ความ
ช่วยเหลือแนะนำตอบปัญหาการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอดส์

ไวรัสโรคเอดส์
ไวรัสโรคเอดส์ มีสายพันธุกรรมหรือยีนเป็น อาร์-เอ็น-เอ แทนที่จะเป็น ดี-เอ็น-เอ เหมือนกับเซล์
ของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั่วไป สายพันธุกรรมจะถูกอัดแน่นอยู่ในแกนกลาง ซึ่งจะถูกห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่ง
ด้วยเปลือกนอก ซึ่งมีปุ่มยื่นออกมาภายนอก ปุ่มเหล่านี้มีความสำคัญในการไปเกาะติดกับเซลล์
ของร่างกายที่ไวรัสเอดส์จะบุกรุกเข้าไป เซลล์เหล่านี้จะมีโปรตีนพิเศษบนเซลล์ ซึ่งพอเหมาะที่จะ
ให้ gp120 ของไวรัสมาเกาะ เมื่อเกาะแล้วไวรัสเอดส์จึงจะเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้ โดยจะ
ถอดเปลือกนอกออก เอาแต่สายพันธุกรรมหรือ อาร์-เอ็น-เอ ของไวรัสเข้าไปในเซลล์

เมื่อเข้าไปภายในเซลล์ ไวสัรเอดส์จะสามารถเปลี่ยนสายพันธุกรรมของมันจาก อาร์-เอ็น-เอ ให้
กลายเป็น ดี-เอ็น-เอ ซึ่งจะสามารถสอดแทรกเข้าไปในสายพันธุกรรมของเซลล์ร่างกายซึ่งเป็น
ดี-เอ็น-เอได้ เมื่อสอดแทรกเข้าไปในร่างกายเรียบร้อยแล้ว เวลาเซลล์ของร่างกายแบ่งตัวก็จะมี
สายพันธุกรรมชนิด ดี-เอ็น-เอ ของไวรัสแบ่งตัวตามเข้าไปอยู่ในเซลล์ใหม่ด้วย ทำให้มีไวรัสเอดส์
อยู่ในเซลล์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นในร่างกายโดยไม่เกิดอาการอะไร แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกกำจัดให้ออก
จากร่างกายเราได้ยาก

มีบางช่วงด้วยการกระตุ้นบางลักษณะ อาจกระตุ้นให้สายพันธุกรรมชนิด ดี-เอ็น-เอ ของไวรัส
เอดส์แยกตัวออกจากสายพันธุกรรมของเซลล์ร่างกายและเปลี่ยนกลับมาเป็นสายพันธุกรรมชนิด
อาร์-เอ็น-เอ เหมือนเดิม ซึ่งจะสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้และสร้างโปรตีนมาเป็นเปลีอกห่อหุ้ม
แล้วแตกตัวออกจากเซลล์ที่อาศัยอยู่เดิมไปบุกรุกเซลล์อื่นต่อไป ในกรณีเช่นนี้เซลล์ที่ไวรัสแตกตัว
ออกมาอาจถูกทำลายหรือตายได้

เซลล์ของร่างกายคนที่สามารถถูกไวรัสเอดส์บุกรุกเข้าไปได้ส่วนใหญ่ จะเป็นเซลล์ที่มีโปรตีนรองรับ
หรือ CD4 อยู่บนผิวเซลล์ ที่สำคัญได้แก่เม็ดโลหิตขาวชนิดลิมโฟไซต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก
ที-ลิมโฟไซต์ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันหรือที่เรียกว่า T-helper Lymphocyte
เมื่อเซลล์เหล่านี้ถูกทำลายไป ภูมิต้านทานของร่างกายก็จะเสียไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิต้านทานชนิด
อาศัยเซลล์ ซึ่งใช้ต่อสู้หรือกำจัดจุลชีพง่ายๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาส
ติดเชื้อที่เกิดจากจุลชีพจำพวกฉกฉวยโอกาสเหล่านี้ได้ง่าย และมีโอกาสเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่าย ซึ่ง
ก็เป็นกลุ่มอาการของโรคเอดส์นั้นเอง
นอกจากนี้ไวรัสเอดส์ยังสามารถบุกรุกเข้าไปในเซลล์อื่นๆ เช่น เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สิ่งแปลกปลอม
เซลล์สมอง และเซลล์ของเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นต้น ผลลัพท์ก็คือทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายเสียไป
และมีอาการทางสมองหรือทางเดินอาหารได้

เนื่องจากไวรัสเอดส์พบส่วนใหญ่อยู่บนเม็ดโลหิตขาว ดังนั้นเลือดของผู้ป่วยจึงมีเชื้อเอดส์อยู่มากที่สุด
รองลงมาเป็นน้ำกามและน้ำเมือกที่อยู่ในช่องคลอดของผู้หญิง โดยที่ถ้ายิ่งมีเม็ดโลหิตขาวปะปนอยู่
ในน้ำเหล่านั้นมาก ก็ยิ่งมีไวรัสเอดส์อยู่มาก ส่วยน้ำลาย น้ำตา และสารคัดหลั่งอื่นๆของผู้ป่วย ก็อาจพบ
ไวรัสเอดส์ปะปนอยู่ ได้แต่จะมีปริมาณน้อยมากๆ และขึ้นอยู่กับปริมาณของเม็ดโลหิตขาวที่ปะปนอยู่
ในสารคัดหลั่งหรือในสิ่งขับถ่ายเหล่านี้

สถานการณ์ของโรคเอดส์ในปัจจุบัน
ตัวเลขของคนที่เป็นโรคเอดส์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกประเทศทั่วโลก ตัวเลขล่าสุดจากองค์การ
อนามัยโรคจนถึงสิ้นปี 2540 พบว่ามีผู้ป่วยเอดส์ที่ได้รับรายงานทั่วโลก 1736958 คน ส่วนตัวเลข
ล่าสุดของกระทรวงสาธารณะสุขไทยของปี 2540 พบว่ามีผู้ป่วยเอดส์ที่ได้รับรายงาน 74748 ราย
โดยจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา   จำนวนผู้ป่วยเอดส์ที่ไม่ได้ราย
งานหรือแพทย์ยังวินัจฉัยไม่ได้คงมีอีกประมาณ 3-10 เท่าตัว   ส่วนยอดจำนวนผู้ติดเชื้ออเอดส์
ทั่วประเทศไทย จากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขประมาณการได้ว่ามีผู้ติดเชื้อเอดส์ทั่ว
ประเทศราว 1 ล้านคนเมื่อสิ้นปี 2540 
โดยกลุ่มผู้ติดยาเสพติดจะพบว่ามีการติดเชื้อเอดส์ราว ร้อยละ 33 
หญิงบริการทางเพศติดเอดส์ร้อยละ 33
ผู้ชายทั่วไปในวัย 15-50 ปี ติดเอดส์ร้อยละ 2
ที่น่าเป็นห่วงคืออัตราการติดเชื้อเอดส์ในหญิงมีครรภ์ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นอัตรา
การเพิ่มที่เร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ จนขณะนี้เกือบร้อยละ 2 ของหญิงที่มาฝากครรภ์ติเเชื่อเอดส์ เราเคย
มีเด็กคลอดปีละล้านคนหรืดประมาณ 20000 คนที่คลอดจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ และในราว1 ใน 3
เด็กแรกเกิดเหล่านี้จะติดเชื้อเอดส์จากแม่

โดยสรุปเวลานี้เอดส์ได้เข้ามาถึงทุกคนในครอบครัวไม่ว่าคนๆนั้นจะไปมีพฤติกรรมเสี่ยงมาเอง
เช่นสามีที่ชอบเที่ยว หรือไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงอะไรแต่เคราะห์ร้ายติดมาจากสามี แล้วเป็นผล
ทำให้ลูกในครรภ์ติดเชื้อเอดส์ตามไปด้วยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่หรือไม่มีสิทธิปฏิเสธเลย

จุดเริ่มต้นของ HIV CARE PHONE
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเวลามีผู้ติดเชื้อเอดส์ในบ้านเรา ราว 1 ล้านคน และมีจำนวนมาก
ที่เริ่มมีอาการป่วยขึ้นมา ซึ่งก็ต้องไปรับการรักษาจากแพทย์ตามโรงพยายาลหรือคลีนิคต่างๆ
แต่ทว่าจำนวนคลีนิคหรือโรงพยาบาลที่คอยให้การบริการแก่คนไข้ที่มีจำนวนมากนั้น ก็เริ่ม
ที่จะประสบปัญหา บางครั้งคนไข้ต้องเสียเวลาเป็นเดือนกว่าที่จะได้เข้ารับการรักษาหรือเมื่อ
ผิดนัดก็ต้องรอนัดใหม่อีกครั้งเป็เวลาหลายเดือน ทำให้เกิดปัญหาในการรักษาและได้รับยา
อย่างต่อเนื่อง คนไข้เองหรือญาติผู้ป่วยอาจมีคำถามหรือต้องการคำตอบในการดูแลรักษา
ผู้ป่วยติดเชื้อ
ซึ่งคนที่ให้บริการเกี่ยวกับการแนะนำให้การปรึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นนักสังคมสงเคราะห็หรือ
อาสาสมัครที่มีข้อมูลความรู้ทางด้านการแพทย์ไม่มากนัก แต่อาจมีความรู้ทางด้านจิตใจและ
การปฏิบัติตัวในสังคมจึงเกิดความคิดว่าน่าจะมีความจำเป็นที่จะมีบุคคลที่มีความรู้ต่อคำถาม
ข้อสงสัยทางด้านสุขภาพร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บในการใช้ยา เป็นศูนย์ทางโทรศัพท์ที่สามารถจะ
ให้คนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด สามารถโทรเข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาตัวเองใน
เบื้องต้น แทนการที่คนไข้ต้องเดินทางมาพบแพทย์

HIV CARE PHONE
เป็นการให้และตอบคำถามด้านโรคภัยไข้เจ็บในเรื่องของโรคเอดส์ เนื่องจากมีคนติดเชื้อมากขึ้น
คำถามที่พวกเขาต้องการจะถามว่าการป้องกันโรคเอดส์ การเกิดขึ้นของโรคเอดส์เป็นอย่างไร
คำถามต่างๆเหล่านี้ ในขณะนี้มีหน่วยงานที่พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาหลายแห่งรวมทั้งที่คลีนิค
นิรนาม ซึ่งคำถามเหล่านี้คนทั่วไปก็รู้หมดแล้ว แต่ตอนนี้เริ่มมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น จึงอยากจะรู้
วิธีการรักษาอาการที่เกิดขึ้นมากกว่า เช่น การเกิดผื่นคันตามตัวจะมีวิธีรักษาเพื่อลดอาการอย่างไร
มีโอกาสเป็นวัณโรคได้หรือไม่ และเชื้อราในสมองเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งการบริการส่วนใหญ่ในขณะ
นี้ยังไม่มีการตอบคำถามในเรื่องนี้และคนที่จะให้คำตอบได้จะต้องมีความรู้ทางด้านการแพทย์ ซึ่ง
ต้องเป็นท่านที่มีประสบการณ์จริงๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไข้มากที่สุดเพื่อแนะนำให้เขารู้จัก
ดูแลรักษาตัวเองหรือเมื่อเป็นมากจะได้แนะนำให้มาพบแพทย์ที่ดรงพยาบาล
สรุปจึงเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยรู้จักช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง   หรือได้พยายามรักษาตัวเองก่อนใน
กรณีที่เป็นโรคง่ายๆ เป้นการช่วยลดจำนวนคนไข้เพื่อที่แพทย์จะได้มีเวลาในการตรวจรักษาผู้ป่วย
ที่มีอาการมากกว่า ซึ่งมีลักษณธคล้ายๆกับ home care ของดรคทั่วๆไปที่มีการแนะนำให้
กับคนไข้หรือญาติหรืออาสาสมัครที่ดูแล ให้มีความสามารถในระดับหนึ่งที่จะรักษาอาการเบื้องต้น
หรือที่พบบ่อยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โดยเราต้องมั่นใจในคำตอบที่ให้ว่าจะต้องได้มาตรฐาน
มีคุณภาพ ซึ่งทุกคนต้องผ่านการอบรมและทดสอบ โดยเรามีการอบรมอยู่ตลอดเนื่องจากมีความรู้
และวิทยาการใหม่เกี่ยวกับโรคเอดส์เพิ่มมากขึ้นตลอด

ผลการดำเนินงาน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายอมรับว่ายังให้การบริการได้ไม่ทั่วถึงเนื่องจากหมายเลขโทรศัพท์มีเพียง
สายเดียว นอกจากนั้นยังมีบางส่วนโทรเข้ามาสอบถามในเรื่องเบื้องต้นซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่
ต้องการเกี่ยวกับการบำบัดรักษาอาการ โดยที่ผู้โทรเข้ามาขอคำปรึกษาส่วนใหญ่จะเป็นคนกรุงเทพ
ประมาณ 80 % ที่เหลือจะเป็นส่วนต่างจังหวัดต่างๆ เช่น สมุทรปราการ นครปฐม เชียงราย
เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์
ผู้ที่สนใจอยากจะสอบถามเกี่ยวกับอาการของโรคเอดส์สามารถโทรสอบถามได้ที่หมายเลข
1663 หรือ 253-7575 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 19.00 น. โดยมีเจ้าหนัาที่
หมุนเวียนประมาณ 10 ท่าน
บริการ HIV Phone Care เป็นบริการทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่งที่จะช่วยอำนวย
ความสดวกให้กับผู้ติดเชื้อทั้งผู้ที่มีอาการแล้วและยังไม่มีอาการ ช่วยทำให้เขาเหล่านั้น
           สามารถดูแลตนเองและอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข    

bar8.JPG (7232 bytes)





 

 




 



 ผักปลอดสารพิษ / ปลอดสารเคมี

เราเริ่มหันมาบริโภคผัก ผลไม้กันมากขึ้น เพราะเริ่มรู้แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค หัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดอุดตัน
เบาหวาน แต่ด้วยความต้องการของผู้บริโภคสูงขึ้น ทำให้ต้องมาเสี่ยงต่ออันตรายในอีกรูปแบบหนึ่ง คือสารพิษที่ตกค้างมาในพืช
ผักที่เราหาซื้อมารับประทาน

การรณรงค์ของ กทม. เพื่อตรวจสารพิษในพืชผักที่จำหน่ายในตลาดสดใหญ่ๆในเขตกทม. การตรวจสอบพร้อมให้ตรารับรองโดย

หน่วยงานราชการของกระทรวงเกษตรก็ดี ทำให้พืชผผักปลอดสารพิษ เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นแม้จะทำให้มีราคาสูงขึ้น  
ในความเป็นจริงผลผลิตเหล่านี้ปลอดภัยจริง หรือ เราจะบริโภคได้อย่างวางใจได้อย่างไร เป็นประเด็นที่ผู้บริโภคจำนวนมากเกิดความ
สับสนไม่แน่ใจว่าที่ต้องยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้พืชผักอนามัยมาบริโภคเพื่อสุขภาพนั้น จริงหรือ ?


เรามาทบทวนกันดูว่า อะไรคือ ผักปลอดสารพิษ อะไรคือพืชผักอนามัย
ผักปลอดภัยจากสารพิษ กับผักผลไม้อนามัย ต่างกันตรงที่หน่วยงานที่ให้การรับรอง
อันแรกรับรอง โดยกรมส่งเสริมการเกษตร อันหลังโดยกรมวิชาการเกษตร แต่หลักเกณฑ์
ในการผลิตเหมือนกัน คืออนุญาติให้ใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เช่น ยาฆ่าแมลง
ยาฆ่าหญ้า ยากำจัดเชื้อรา เป็นต้น แต่ต้องใช้สารเคมีที่มีพิษตกค้างระยะสั้น และต้องหยุด
ฉีดพ่นยาก่อนวันเก็บเกี่ยวตามระยะเวลาที่กำหนด

ผลิตผลที่ได้ปลอดภัยแค่ไหน หน่วยงานที่รับรองบอกว่าปลอดภัย โดยให้เหตุผลว่าการปฏิบัติตามเกณฑ์
นี้ทำให้มีสารพิษตกค้างไม่เกินขีดที่จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หรือ MRL (maximum residue limit)
ซึ่งใช้ตามเกฌฑ์ที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก นอกจากนี้ยังมีการสุ่มตรวจผลผลิตเป็นระยะๆ เป็นหลัก
ประกันอีกชั้นหนึ่ง   ฟังดูเข้าท่าถ้าไม่บังเอิญว่า MRL ที่ว่านี้ ปกติแล้วใช้เป็นเครื่องมือตรวจระวังระดับของ
สารพิษตกค้าง ไม่ได้เป็นมาตรฐานรับรองความปลอดภัยของผลผลิต นอกจากนี้ MRL ของแต่ละประเทศ
ก็กำหนดมาตรฐานไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรบอกว่า MRL ขององค์การอนามัยโลกเป็นหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม
กับเขตภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และการปลูกพืช อย่างประเทศไทย

เมื่อเร็วๆนี้มีการสุ่มตรวจผักปลอดภัยจากสารพิษ พบระดับสารพิษตกค้างอยู่ร้อยละ 32 และอยู่ในระดับที่อาจเป็น
อันตรายได้ร้อยละ 0.5   แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการควบคุม ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีสารพิษอยู่ในระดับอันตราย

สมมุติว่าเกณฑ์ดังกล่าววัดความปลอดภัยได้จริง ยังมีคำถามอีกหลายข้อ
ข้อหนึ่ง แม้ในพืชผักอาจไม่มีสารตกค้าง หรือมีในระดับต่ำ แต่การตกค้างในดิน น้ำ หรือสภาพแวดล้อม ที่ใช้ปลูก
ผักนั้นต่อไป จะเป็นอันตรายหรือไม่
ข้อสอง เกณฑ์ที่ว่าปลอดภัยนั้น ได้คำนึงถึงการสะสมของสารพิษในร่างกาย หากมีการบริโภคอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ข้อสาม ถึงจะใช้มาตรการตกค้างของสารพิษในพืชผักเมื่อมาถึงผู้บริโภค สารเคมีก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์
ข้อสี่ สำหรับผู้บริโภค ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อซื้อผักเหล่านี้ไปรับประทาน ยังจะต้องล้างพืชผักด้วยโซเดียม ไบคาร์บอเนต
ด่างทับทิม อีกหรือไม่ หรือเพียงแค่ล้างเอาฝุ่นออก นอกจากนี้ยังรวมถึงการที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดคิดว่า
ผักที่มีตราเหล่านี้ ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชใดๆ

จากเหตุผลต่างๆข้างต้นหลายประเทศที่ก้าวหน้าจะไม่รับรองผลิตผล "ปลอดภัยจากสารพิษ" แต่แบ่งตามระบบการ
ปลูกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจนคือ
- การปลูกโดยใช้สารเคมี
- การปลูกโดยใช้อินทรีย์สารหรือเกษตรอินทรีย์ เป็นการปฏิเสธการใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิดในกระบวน
การผลิต แม้กระทั่งปุ๋ยเคมี   บางครั้งเราเรียก " ปลอดสารเคมี "

ผักปลอดสารเคมี ในความเป็นจริงจะต้องไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใดๆเลยในกระบวนการเพาะปลูกตั้งแต่ต้นจนจบ
จึงจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย   แต่ปัญหาที่ไม่แพร่หลายเพราะ


- ไม่ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยราชการที่ยังปักใจเชื่อว่าหากไม่ใช้ปุ๋ยและใช้ยาแล้ว ผลผลิตก็จะต่ำ
- ยังมีการปลูกกันน้อย หาซื้อยาก ราคาแพงเพราะมีต้นทุนในการผลิตสูง มีโอกาสสูญเสียของผลิตผลสูงโดยเฉพาะ
  จากโรคแมลงต่างๆ
- ลักษณะไม่สวยเท่าผักตลาดทั่วไป หรือผักปลอดภัยจากสารพิษ
- ชนิดของผักมีให้เลือกไม่หลากหลาย เป็นผักตามฤดูกาล
ดังนั้นสำหรับผู้บริโภคที่คำนึงถึงสุขภาพและอนามัยที่ต้องการพืชผักปลอดสารพิษแท้ๆเท่านั้น จึงจะยอมรับข้อจำกัด
ข้างต้นได้ และสำหรับท่านที่กำลังสนใจจะได้ทำความเข้าใจและยอมรับถึงข้อจำกัดของผักปลอดสารเคมีได้ดีมากขึ้น
แต่เพื่อสุขภาพอนามัยของเราในระยะยาวแล้ว เราน่าจะช่วยกันสนับสนุนการปลูกพืชผักแบบปลอดสารเคมีให้มากขึ้น
เพราะการปลูกผักแบบปลอดสารเคมี ไม่ใช้แค่การทดแทนปุ๋ยเคมีด้วยปุ๋ยอินทรีย์ หรือการใช้สารสะเดาแทนยาฆ่าแมลง
เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยสร้างระบบนิเวศน์ที่มีพืชพรรณหลากหลาย มีการปลูกพืชหมุนเวียน ปลูกผักให้เหมาะกับ
ฤดูกาล ไม่ใช้เน้นปลูกแต่ชนิดที่คนนิยมเท่านั้น

การช่วยอุดหนุนผักปลอดสารเคมี ถือเป็นการช่วยเกษตรรายย่อย ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ลดและเลิกใช้สารเคมี เพราะ
การเกษตรรายย่อยมักทำการเกษตรแบบพึ่งตนเอง ปลูกพืชผัก ข้าว เลี้ยงสัตว์ ผสมผสานกันอยู่แล้ว ซึ่งพร้อมจะปรับ
เปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ดีกว่ารายใหญ่ๆ ที่มักคำนึงถึงต้นทุน กำไร-ขาดทุน เป็นหลัก

การจะเน้นทานพืชผักให้ปลอดภัย ไม่ใช่แค่การหาซื้อผักที่ไม่ปนเปื้อนสารพิษเท่านั้น แต่หมายถึงการเปลี่ยนพฤติกรรม
การบริโภค เดิมซึ่งทานผักซ้ำหน้าไม่กี่ชนิด มาทานให้หลากหลายมากขึ้นให้เหมาะกับฤดูกาล ไม่เลือกผักโดยดูจาก
ความอวบ สวย ไม่มีตำหนิ


พวกเราที่สนใจและเริ่มสนใจดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น   คงต้องตระหนักว่า การจะมีสุขภาพดีในยุคนี้
ไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัว หรือการแค่หาผักปลอดสารพิษมาบริโภคเท่านั้น   แต่ยังต้องช่วยเปลี่ยนพฤติกรรม

และทัศนคติในการบริโภค และเอื้อเฟื้อไปถึงเกษตรกรผู้ผลิต เพื่อให้เกิดแรงจูงใจที่จะเลิกใช้สารเคมี
หันใาช่วยกันทำการผลิตในระบบที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศน์ ไม่ทำลายสุขภาพด้วย


แนวทางในการช่วยแยกแยะเลือกซื้อผักปลอดสารพิษได้ง่ายๆดังนี้
1. อย่าด่วนเชื่อ   เมื่อจะซื้อพืชผักที่อ้างว่าปลอดสารพิษ ไม่ควรปักใจเชื่อคำพูดคนขายหรือเจ้าของร้าน โดยไม่ได้สอบถามให้ละเอียด
แม้กระทั่งผักที่ได้รับตรารับรองจาหหน่วยงาน ก็ยังต้องตรวจสอบด้วยตนเองก่อน ให้ยีดหลักว่ายิ่งมีตรายิ่งทำให้หลงเข้าใจผิดได้ง่าย
2. หมั่นสังเกตุ    เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการช่วยแยกแยะ โดย
    - ดูร่องรอยการทำลายของหนอนแมลง ซึ่งมักจะพบได้ในผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ต่างจากพืชที่ปลูกโดยใช้สารคมี จะไม่ค่อย
      มีตำหนิ   มีขนาดใหญ่  อวบน้ำ
    - ผักที่ผิดฤดูกาล ตัวอย่างอากาศร้อนมากนี้ ไม่ควรจะมี   กะหล่ำปลี   กะหล่ำดอก  ผักกาดขาวปลี   แครอท  มาวางขาย ถ้ามีควรสอบถาม
3.  สอบถาม   ไม่ต้องเกรงคนหมั่นไส้ เพราเป็นสุขาพของเราเอง   ใครปลูก  ปลูกแถบไหน   ปลูกอย่างไร เพราะถ้าหากเป็นเกษตกรรายย่อย
ยิ่งควรอุดหนุน สนันสนุนแหล่งเพาะปลูกในท้องถิ่น เพราะจะได้ผู้มีกำลังใจในการผลิต   ไม่เดินทางมาก ประหยัดค่าขนส่ง ไม่บอบช้ำมาก
ได้ผลผลิตที่สดกว่า   ขณะนี้มีองค์กรอิสระที่ทำมาตรฐานสำหรับผลผลิตปลอดสารเคมี เรียกว่า มาตรฐานเกษตรอินทรีย์   ถ้าท่านใด
สนใจ ติดต่อได้ที่สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โทร 952-7371
     
สอบถามเรื่องของการใช้ยาฆ่าแมลง อยู่ในประเภทใด ได้แก่
        - ระบบที่ใช้สารเคมี   ใช้ยาฆ่าแมลง  ยาฆ่าหญ้า   ยากำจัดเชื้อรา   สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอื่นๆ
        - ระบบปลอดสารเคมี ใช้มาตรการป้องกัน สำคัญที่สุดได้แก่ สร้างระบบนิเวศน์ที่มีความสมดุล เพื่อป้องกันการระบาดของโรคแมลง
            ด้วยการปลูกพืชผสมผสานหลายๆชนิด และหมั่นหมุนเวียนชนิดของพืชผักที่ปลูก   ใช้มาตรการเสริมในการกำจัดศัตรูพืชโดยใช้
            สารกำจัดศัตรูพืชจากธรรมชาติเช่น สะเดา เป็นต้น
      
สอบถามวิธีการบำรุงดิน
         -   ระบบที่ใช้สารเคมี ถ้าใช้ปุ๋ยเคมีในการปลูกไม่ว่าจะใช้เดี่ยวๆ หรือการใช้แบบผสม ก็ยังถือว่าไม่ปลอดจากสารเคมี
         -   ระบบปลอดสารเคมี  ใช้ปุ๋ยคอก   ปุ๋ยหมัก  ปุ๋ยพืชสด ปัจจุบันมีคำว่า ปุ๋ยชีวภาพ หรือน้ำสกัดชีวภาพ คือการนำจุลินทรีย์ที่มี
            ประสิทธิภาพมาเร่งในกระบวนการย่อยสลายให้เร็วขึ้น หรือใช้เอ็นไซม์หรือฮอร์โมนธรรมชาติมาช่วยในการเติบโตของพืชผล
     จัดได้ว่าปุ๋ยชีวภาพเป็นมาตรการเสริม   แต่ยังต้องใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เป็นหลักในการปรับปรุงดิน
4. พบผู้ผลิต   การได้พบปะพูดคุยกับเกษกรโดยตรง   โดยปกติแล้วเกษตกรที่ปลูกในระบบปลอดสารเคมี มักยินดีต้อนรับผู้ไปเยื่ยมเยือน
การสร้างความสัมพันธ์ ให้กำลังใจในการเพาะปลูกแบบปลอดสารเคมี   ส่วนผู้บริโภคเองได้ความมั่นใจ และเข้าใจถึงปัญหาแลอุปสรรค์
ของการทำเกษตรแบบปลอดสารเคมี แลพพะพร้อมใหห้การสนับสนุน
5. รวมกลุ่ม   ผู้บริโภคจะหัวเดียวกระเทียมลีบถ้าไม่รวมกลุ่ม   มีเพื่อนพ้องที่มีความสนใจเหมือนกัน ช่วยในการหาข้อมูลและแลกเปลี่ยน
ความรู้ หรือติดต่อเพื่อซื้อผลผลิตกับเกษตกรโดยตรงได้ง่ายขึ้น

ถ้าท่านสนใจจะบริโภคผักเพื่อสุขภาพ เริ่มได้จากแหล่งที่มีผักปลอดสารเคมีจำหน่ายอยู่แล้ว
หรือติดต่อกับเกษตรกรผู้เพาะปลูก เช่น ร้านกรีนเน็ท (รีเจนท์ทาวเวอร์)   ร้านพลังบุญ ( ถนนนวมินทร์)  
เลมอนฟาร์ม (กรุงเทพ)   ชมรมพิทักษ์ธรรมชาติ ( ต.วังทอง ชัยภูมิ)  ร้านอิ่มบุญ/กลุ่มผักปลอดสารพิษ
ชุมชนแม่ทา (เชียงใหม่)   ศูนย์เทคโนโลยี่เพื่อสังคม (สุพรรณบุรี)   ที่สำคัญที่สุด หากพอมีเวลาว่าง
พอมีพื้นที่ ลงมือได้เลย จะไว้ใจใครได้ดีไปกว่าตัวเราเอง

     
bar8.JPG (7232 bytes)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 นักวิจัยญี่ปุ่นพบว่าน้ำมันมะกอกช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้

นักวิจัยชาวญี่ปุ่นยังพบว่า น้ำมันมะกอกมีสรรพคุณในการช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง
ได้อีกหากใช้ทาชะโลมผิว หลังจากอาบแดด แต่ต้องเป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์
ร้อยเปอร์เซนต์ซึ่งคุณภาพสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตะมินอีและวิตะมินซี ที่ไปจัดการ
สารอนุมูลอิสระซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับรังสีอัลตราไวโอเล็ทหรือรังสียูวีจาก
แสงแดด ที่ทำลายเซลผิวหนัง โดยน้ำมันมะกอกจะไปช่วยชะลอการเกิดเนื้องอก
และลดขนาดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลผิวหนังได้ด้วย วารสาร นิว ไซเอินทิสต์
ตีพิมพ์ผลการศึกษาของทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยโกเบซึ่งนำหนูทดลองมาโกนขน
จนเหลือแต่ผิวหนัง แล้วจับมันไปตากแสงจ้า สัปดาห์ละสามครั้ง หลังจากนั้นประมาณ
๕ นาที ก็ทาน้ำมันมะกอกทั้งแบบบริสุทธิ์กับแบบที่ความบริสุทธิ์เจือจางคุณภาพต่ำ
กว่าแบบแรก ชะโลมให้ทั่วผิวหนัง ต่อมาอีก ๑๘ สัปดาห์พบว่า ทั้งหนูที่ไม่ได้ทาน้ำมัน
มะกอก กับหนูกลุ่มที่ได้รับการชะโลมน้ำมันมะกอกแบบไม่บริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
จะเริ่มปรากฎเนื้องอกที่ผิวหนัง แต่กลุ่มหลังอาการไม่รุนแรงเท่ากลุ่มแรก แต่ในหนู
กลุ่มที่ทาน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ทั่วผิวหนัง จะปรากฎอาการของมะเร็ง
ช้ากว่า คือ หลังจากนั้นไปแล้วอีก ๖ สัปดาห์ จึงเกิดเนื้องอก แต่ก็มีขนาดเล็กกว่ามาก
อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลผิวหนังส่วนที่ถูกทำลายก็น้อยกว่าด้วย แต่ทีม
นักวิจัยญี่ปุ่นก็ยังเน้นว่า น้ำมันมะกอกไม่ได้เป็นโลชั่นกันแดด จึงไม่ควรจะนำไปใช้
ป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด

 

bar8.JPG (7232 bytes)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นัวิจัยจากฟิลแลนด์พบว่าผู้ที่รับประทานปลาน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้งมีความเสี่ยง
ที่จะเกิดภาวะดกดันทางอารมณ์สูงกว่าผู้ที่รับประทานปลาเป็นประจำ
Dr.Antti Tanakanen จาก University of Kuopio แห่ง Finland ได้ศึกษา
ข้อมูลจากกลุ่มผู้หญิง แต่เขาเชื่อว่าผลจะไม่ต่างกันในผู้ชายด้วย โดยเขาได้
อธิบายว่า ปลามี Omega -3 polyunsaturated fatty acids หรือ PUFA เป็น
ส่วนประกอบแต่ในขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะแนะนำให้ผู้คนรับประทานปลา
หรือรับประทาน PUFA เพื่อหลืกเลี่ยงความเครียดหรือภาวะกดดัน
Dr.Antti Tanakanen บอกว่าเขาได้ศึกษาข้อมูลจากผู้หญิง 3,204 คน ซึ่งอยู่
ในวัยผู้ใหญ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่าง ๆ ของ Finland ซึ่งพบข้อมูลว่า 30
เปอร์เซ็นต์ ของหญิงทั้งหมด รับประทานปลาน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง และหญิง
ในกลุ่มนี้ระบุว่ามีความแปรปรวนในภาวะอารมณ์มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ

bar8.JPG (7232 bytes)

 

 

 

 

 

 

 คุณรู้จักเจ้าไรฝุ่น สาเหตุของโรคภูมิแพ้จากที่นอน ดีแค่ไหน

จากการศึกษาค้นคว้าของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบหายใจ พบว่าประชากรของโลกป่วยเป็นโรค
ภูมิแพ้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยในครึ่งหนึ่งมีสาเหตุมาจากเจ้าไรฝุ่น และที่สำคัญบรรดาเด็กๆที่ต้อง
ทนทุกข์ทรมานจากโรคหอบ หืด มีสาเหตุมาจากเจ้าไรฝุ่นมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์

ตัวไรฝุ่น (Mites) มีขนาดประมาณ 0.3 ม.ม. ทำให้ไม่สามารถสังเกตุเห็นด้วยตาเปล่า เป็นสาเหตุ
ใหญ่ที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ อาการภูมิแพ้ หอบ หืด คัดจมูก องค์การอนามัยโรค  (WHO) ได้กำหนด
ให้ไรฝุ่นเป็นพาหะอันตรายที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 6 ของโลก ตั้งแต่ปี 1995

แหล่งที่ไรฝุ่นชอบมากที่สุด คือบริเวณ ที่นอน ฟูก หมอน หมอนข้าง ผ้าห่ม ผ้านวม พรม และพวก
เฟอร์นิเจอร์ที่บุหุ้มด้วยผ้า  บริเวณที่เป็นปัญหามากที่สุดคือ ที่นอน และหมอน เพราะเจ้าไรฝุ่นเหล่านี้
จะอาศัยเศษผิวหนังของคนเรา เหงื่อไคล เป็นอาหาร ตามรูป กอรปกับบนที่นอนมีความชื้นจากเหงื่อ
และอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
บนที่นอนเตียงคู่จะมีเจ้าไรฝุ่นอาศัยอยุ่ไม่น้อยกว่า 2 ล้านตัว และ
ในแต่ละวันไรฝุ่นจะถ่ายมูลได้ถึง 40 กอง  มูลของไรฝุ่นมีขนาด
0.01-0.04 ม.ม.    ในชั่ววงจรชีวิตของไรฝุ่น (ประมาณ 2 เดือน)
ไรฝุ่นสามารถถ่ายมูลออกมาได้มากถึง 200 เท่าของน้ำหนักตัว  
ดังนั้นแค่คุณนอนพลิกตัว เศษมูลของไรฝุ่นสามารถฟุ้งกระจาย 
เมื่อเราสูดหายใจเข้าไป มันจะไปกระตุ้น ระบบภูมิแพ้ และทำให้
เราเกิดอาการภูมิแพ้ต่างๆ จนนอนไม่เป็นสุข
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องประสบภาวะทุกข์ทรมานกับโรคภูมิแพ้ที่มีต้นเหตุมาจากเจ้าไรฝุ่นเหล่านี้

หมอนเป็นแหล่งอาศัยที่ดีของไรฝุ่น หมอนที่มีอายุการใช้งานมานานประมาณ 6 ปี สามารถมีเศษผิวหนัง 
รังแค เชื้อรา  ไรฝุ่น ทั่งที่มีชีวิตและที่ตายแล้ว รวมถึงมูลของไรฝุ่น สะสมรวมกัน มีน้ำหนักได้ถึง 10 %
ของน้ำหนักหมอนได้เลยที่เดียว

นอกจากไรฝุ่นแล้วบนเครื่องนอนที่มีความชื้นจากเหงื่อไคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนอนปรับอากาศ
ที่มีการระบายถ่ายเทอากาศได้ไม่ดี จะสะสมความอับชื้นไว้กับเครื่องนอนเป็นภาวะที่เหมาะสมต่อการ
แพร์พันธ์ทั้งไรฝุ่นและเชื้อราได้ เชื้อราจะปล่อยสปอร์ตกกระจายไปตามที่นอน หมอน  ผ้าห่ม ดัวนั้น
 จำเป็นที่ต้องหมั่นทำความสะอาดปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนเป็นประจำ ผ้าห่มควรได้รับ
 จากนำไปผึ่งแดดเพื่อช่วยฆ่าเชื้อและไรฝุ่น อาจไม่สามารถฆ่าได้หมด แต่ก็ยังช่วยลด
 จำนวนไรฝุ่นและมูลให้ลดลงไปบ้าง ถ้าเราสามารถหมั่นทำความสะอาดที่นอนเป็น
 ประจำปัญหาโรคภูมิแพ้ก็สามารถบรรเทาลงได้บ้าง  แต่ถ้าหากไม่มีเวลามากพอ การ
 ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยป้องกันการฟุ้งกระจายของมูลไรฝุ่น / สปอร์ของเชื้อรา ไม่ให้เราสูด
 หายใจเข้าไป จนกระตุ้นให้เกิดภาวะภูมิแพ้ เป็นทางเลือกทางหนึ่ง ที่สำคัญเครื่องนอน
ที่ป้องกันมูลและตัวไรฝุ่นได้ จะต้องมีการถักทอให้เส้นใยชิดแน่นน้อยกว่า 0.1-0.2 ม.ม. เพื่อป้องกัน
ไม่ให้ตัวและมูลไรฝุ่น สปอร์ของราเหล่านี้ฟุ้งกระจายขึ้นมากระตุ้นอาการภูมิแพ้ของเราได้

bar8.JPG (7232 bytes)

 

 

 

 

 

 

  การค้นพบอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ถอดรหัสทำแผนที่พันธุกรรมมนุษย์

โครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ ( Human Genome Project -HGP) สำเร็จแล้วเป็นการค้นพบ
ความลึกลับภายในร่างกายมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะเป็นการนำไปสู่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ครั้ง
ยิ่งใหญ่ 

HGP เป็นโครงการร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ในการพยายามถอดรหัสพันธุกรรมหรือยีน
ของมนุษย์ เปรียบเสมือนการเปิดเผยความลับในพิมพ์เขียวของสิ่งมีชีวิต ที่ใช้กำหนดลักษณะต่างๆของ
คนเรา เป็นการถอดรหัสอนุกรมของลำดับเบส 4 ตัวด้วยกันคือ  A / T / G / C ซึ่งเป็นสารองค์ประกอบ
สำคัญของ ดีเอ็นเอ ที่ทำหน้าที่ในการกำหนดการสร้างโปรตีนและลักษณะต่างๆของมนุษย์แต่ละคน


โดยทีมงานนักวิทยาศาสตร์สามารถถอดลำดับอนุกรมของการเรียงตัวของเบสทั้ง 4 ตัว ได้เป็นที่แน่นอน
แล้วประมาณ 85 % และแยกลักษณะของยีนที่ควบคุมลักษณะต่างๆที่แตกต่างกันได้ถึง 97 % โดยสามารถ
ถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ซึ่งมีทั้งสิ้นจากประมาณทั้งสิ้น 3000 ล้านตัว อันจะสามารถช่วยให้วงการแพทย์
พัฒนาวิธีการรักษาโรคร้ายอย่างเช่น มะเร็ง  เอดส์ และโรคทางพันธุกรรมต่างๆอีกมากมาย เช่น 
โรคทาลัสซีเมีย  โรคเบาหวาน  เป็นต้น

เป็นที่คาดว่ากว่าจะทำการถอดรหัสได้สมบูรณืครบ 100 % คงใช้เวลาอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า นับเป็นผล
สำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว

HGP เผยว่า การถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ได้เปรียบเหมือนการแปล หนังสือชีวิต ได้ โดยรหัสกว่า 3000
ล้านตัวที่ประกอบกันเป็น ดีเอ็นเอ หรือสารพันธุกรรมในการระบุยีนส์มนุษย์ทั้งสิ้นราว 60000 - 100000 ยีนส์
โดยต่อไปจะมีการค้นคว้าต่อว่า มันตั้งอยู่ที่ใดบ้างบนโครโมโซม และเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆอย่างไรบ้าง
เพื่อจะได้รู้ว่า ทำไมมนุษย์ถึง สูง ดำ ต่ำ ขาว มีสีผม สีนัยน์ตาที่แตกต่างกัน ทั้งยังจะทำให้เข้าใจถึงการ
ป้องกันและการรักษาโรคต่างๆได้อย่างง่ายดายต่อไป

bar8.JPG (7232 bytes)

 

wpe5.jpg (2237 bytes)
ThaiL@bOnLine

Email : vichai-cd@usa.net
Phone : 803-7310, 803-7311, 803-6704  Fax : 803-6705