ประวัติความเป็นมา
จากอุทยานประวัติศาสตร์...สู่การเป็นมรดกโลก
|
ตลอดระยะเวลา 417 ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งราชอาณาจักรไทย มิได้เพียงเป็นช่วงแห่งความเจริญสูงสุดของชนชาติไทยเท่านั้น
แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์อารยธรรมของหมู่มวลมนุษย์ชาติซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศอีกด้วย
แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะถูกทำลายเสียหายจากการสงครามจากประเทศเพื่อนบ้านและจากน้ำมือการบุกรุกขุดค้นของพวกเรากันเองแล้ว
ส่วนที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ยังมีร่องรอยหลักฐานซึ่งแสดงให้เห็นอัจฉริยภาพและความสามารถยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษแห่งราชอาณาจักร
ผู้อุทิศตนสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมและความมั่งคั่งไว้ให้แก่ผืนแผ่นดินไทยหรือแม้แต่ชาวโลกทั้งมวล
ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า ยูเนสโก้ โดยคณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติรับนครประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งใจกลางกรุงศรีอยุธยา
ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 ไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534
ณ กรุงคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย พร้อมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชร
ซึ่งจะมีผลให้ได้รับความคุ้มครองตามอนุสัญญาที่ประเทศต่างๆได้ทำร่วมกัน
จุดเด่นและสถานที่เที่ยวชม
| ป้อมและปราการรอบกรุง | พระราชวังและตำหนักต่างๆ | วัดและอารามหลวง |
|
สถานที่ท่องเที่ยวของพระนครศรีอยุธยาส่วนใหญ่เป็นโบราณสถานได้แก่
ป้อมและปราการรอบกรุง วัดและพระราชวังต่างๆ
พระราชวังในพระนครศรีอยุธยามีอยู่ 3 แห่ง คือ พระราชวังหลวง วังจันทรเกษมหรือวังหน้า และวังหลัง
นอกจากนี้ยังมีวังและตำหนักซึ่งเป็นที่สำหรับเสด็จประพาสอยู่นอกพระนครศรีอยุธยา ได้แก่
พระราชวังบางปะอิน และตำหนักหลวง ที่อำเภอนครหลวง
ป้อมตามกำแพงเมืองและป้อมรอบนอก ซึ่งปรากฏชื่อในพงศาวดารมี ป้อมมหาไชย ป้อมเพชร ป้อมหอราชคฤห์
ป้อมชิดกบ ป้อมหอจำปาพล ป้อมใหญ่ฯ จะตั้งอยู่ตรงทางแยกระหว่างแม่น้ำ เช่น ป้อมเพชร และป้อมมหาไชย เป็นต้น
อยู่ตรงที่บรรจบของแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำป่าสัก เป็นป้อมรูปรี ก่อด้วยอิฐสลับศิลาแลง
ยื่นออกจากแนวกำแพงพระนคร มีช่องคูหาก่อเป็นรูปโค้ง ซึ่งมีซากเหลืออยู่ทุกวันนี้
ป้อมมหาไชยอยู่มุมวังจันทรเกษม ในที่ซึ่งเป็นตลาดหัวรอในปัจจุบันนี้ ตัวป้อมถูกรื้อมาสร้างพระนครใหม่ที่กรุงเทพฯ
ในรัชกาลที่ 1 เสียหมดแล้ว ป้อมมหาไชยเดิมเป็นป้อมใหญ่และแข็งแรงเพราะอยู่บริเวณที่ลำแม่น้ำเลี้ยวผ่านหน้าวัดสามพิหาร
ซึ่งเป็นทางเข้าไปยังพระราชวังหลวง
ป้อมประตูข้าวเปลือก
อยู่หน้าวัดราชประดิษฐาน ลักษณะของป้อมก่อย่อเป็นรูปพับสมุดมีช่องปืนเป็นพื้นที่ข้างล่างสำหรับยิงตรงออกไปจากกำแพง
ป้อมละ 2 ช่อง และช่องสำหรับยิงกราดป้อมละช่อง
ประตูช่องกุด
เป็นประตูกำแพงพระนครชั้นนอกก่อเป็นรูปโค้งปลายแหลม กว้าง 4 ศอก 1 คืบเศษ สูง 5 ศอกเศษ
ตอนระหว่างหอราชคฤห์กับหัวสาระพาอยู่ข้างวัดรัตนไชย(วัดจีน)
พระราชวังและตำหนักต่างๆ
| พระราชวังหลวง | วังจันทรเกษมหรือวังหน้า | วังหลัง |
|
พระราชวังในพระนครศรีอยุธยามี 3 แห่ง คือ พระราชวังหลวง วังจันทรเกษมหรือวังหน้า และวังหลัง
นอกจากนี้ยังมีวังและตำหนักซึ่งเป็นที่สำหรับเสด็จประพาสอยู่นอกพระนครศรีอยุธยาอีกหลายแห่ง
คือ วังที่เกาะบางปะอิน อำเภอบางปะอิน และตำหนักนครหลวง อำเภอนครหลวง
พระราชวังหลวงหรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "พระราชวังโบราณ" เป็นที่ประทับของสมเด็จพระรามาธิบดีทุกรัชกาล
อยู่ริมกำแพงพระนครศรีอยุธยาทางด้านเหนือ มีถนนสายรอบกรุงผ่าน ภายในบริเวณพระราชวังมีพระที่นั่งสำคัญ ดังนี้
- พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์
เป็นปราสาทจตุรมุขก่อด้วยศิลาแลงสลับอิฐอยู่ริมกำแพงด้านริมแม่น้ำ
เป็นที่สำหรับประทับทอดพระเนตรขบวนแห่ทางน้ำ
- พระที่นั่งวิหารสมเด็จ
เป็นปราสาทยอดปรางค์ มุขหน้าและมุขหลังยาว ส่วนมุขข้างสั้น มีกำแพงแก้วล้อมรอบ 3 ด้าน
ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระราชพิธีราชาภิเษก
เป็นปราสาทปิดทององค์แรกที่สร้างขึ้นในกรุงศรีอยุธยา
- พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท
เป็นปราสาทองค์กลาง สร้างแบบเดียวกับพระที่นั่งวิหารสมเด็จ เป็นที่เสด็จออกรับแขกเมือง
- พระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์
เป็นปราสาทตรีมุข ตั้งอยู่บนกำแพงชั้นในด้านตะวันออกหน้าพระราชวัง
เป็นพระที่นั่งสำหรับเสด็จประทับทอดพระเนตรขบวนแห่ และการฝึกซ้อมทหาร
- พระที่นั่งตรีมุข
อยู่ข้างหลังพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท เข้าใจว่าเดิมเป็นพระที่นั่งฝ่ายในและเป็นที่ประทับในอุทยาน
- พระที่นั่งบรรยงค์รัตนาสน์
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่ง "พระที่นั่งท้ายสระ" ตั้งอยู่ในพระราชวังด้านหลัง ทางทิศตะวันตกเป็นปราสาทจตุรมุขอยู่บนเกาะ
มีสระน้ำล้อมรอบ
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระยุพราช
และพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ ครั้งเสียกรุงเมื่อปี พ.ศ. 2310 ถูกไฟไหม้หมดไม่มีซากโบราณสถานหลงเหลือเลย
สถานที่ต่างๆในพระราชวังจันทรเกษมสร้างใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยโปรดให้สร้างตามแผนผังเดิมเพื่อใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "อยุธยาพิพิธภัณฑ์"
และปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม ภายในพระราชวังมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจคือ
- พลับพลาจตุรมุข
เป็นพลับพลาเครื่องไม้ตั้งอยู่บนศาลาใกล้ประตูวังด้านทิศตะวันออก เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เวลาเสด็จประพาส
- พระที่นั่งวิมานรัตยา
เป็นตึกหมู่อยู่กลางพระราชวัง เคยเป็นศาลารัฐบาลและศาลากลางอยู่เป็นเวลาหลายปี
- พระที่นั่งพิสัยศัลยลักษณ์(หอส่องกล้อง)
เป็นหอสูง 4 ชั้น อยู่ในพระราชวังด้านทิศตะวันตก สร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
แต่หักพังลงมาคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 หอที่เห็นอยู่ในปัจจุบันสร้างในรัชกาลที่ 4 ตามรากฐานเดิม
ทรงใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรดาว
- กำแพงและประตูวัง
เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 4 ของเดิมมีอาณาเขตกว้างขวางกว่าที่เห็นในปัจจุบัน
เพราะขุดพบรากฐานของพระที่นั่งนอกกำแพงวัดด้านใน และพบซากอิฐอยู่ในบริเวณเรือนจำอีกหลายแห่ง
ตั้งอยู่ริมกำแพงพระนครศรีอยุธยาด้านทิศตะวันตก (ในเขตโรงงานสุราของกรมสรรพสามิตในปัจจุบัน)
เดิมเป็นอุทยานสำหรับเสด็จประพาสและปลูกไว้เพียงตำหนักเดียวเท่านั้น
ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาได้โปรดให้สร้างเพิ่มเติมเป็นพระราชวัง เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเอกาทศรถ
ต่อมาวังหลังหลายเป็นที่ประทับของเจ้านายในพระราชวงศ์เท่านั้น จึงไม่ปรากฏสิ่งสำคัญหลงเหลืออยู่
|