|
|||
เว็บไซท์ที่น่าสนใจ |
![]() ปล่อยเลี้ยงแบบธรรมชาติ (ไก่คุณสมหวัง)
3.2 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับไก่ชน
เชื่อกันว่าไก่ชนสืบเชื้อสายมาจากไก่อู และไก่อูสืบเชื้อสายมาจากไก่บ้าน ส่วนไก่บ้านก็มีบรรพบุรุษมาจากไก่ป่าอีกทีหนึ่ง เมื่อมนุษย์นำไก่ป่ามาเลี้ยงจนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของมนุษย์ได้ดีแล้ว ได้รับการเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นอย่างดี นับตั้งแต่การให้อาหาร การจัดการผสมพันธุ์และการคัดเลือกพันธุ์มาหลายชั่วอายุ ในที่สุดจึงกลายเป็นไก่บ้านที่มีรูปร่างลักษณะ สีสันและจิตใจแตกต่างกันไป มีไก่บ้านสายพันธุ์หนึ่งที่ชอบจิกตีกัน มีความอดทน ชาวบ้านจึงนำไก่มาต่อสู้กัน เรียกว่า ชนไก่ หรือ ตีไก่ และชาวบ้านเรียกไก่สายพันธุ์นี้ว่า ไก่ชน หรือ ไก่ตี (ชาติ ไชยณรงค์, 2543 : 7) แต่การชนไก่นั้นเกิดขึ้นในยุคใดนั้นยังไม่มี หลักฐานชี้ชัดและยังไม่พบหลักฐานพอที่จะนำมาอ้างอิงได้ ผู้วิจัยจึงขอนำเสนอความเป็นมาของการชนไก่พอสังเขปดังต่อไปนี้ 3.2.1 การชนไก่ในต่างประเทศ การเล่นชนไก่เป็นกีฬานั้นมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน จากหลักฐานพบว่า เมื่อ 480 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขุนศึกจากนครเอเธนส์ (ประเทศกรีซ) ได้ยกทัพเรือไปโจมตีชาวเปอร์เซียนที่เกาะแซลอามิส (Salamis) แล้วได้เห็นกีฬาชนไก่ของชาวเปอร์เซียนจึงเกิดความสนใจในความแข็งแกร่งของไก่ชน หลังจากรบชนะแล้วจึงได้นำเอาไก่ชนจากนครเอเธนส์กลับมาด้วย และจัดให้มีการชนไก่เป็นประจำ จากนั้นได้การชนไก่ได้แพร่เข้าสู่กรุงโรม แล้วกระจายไปทั่วทวีปยุโรป จนถึงทวีปอเมริกา (อภิชัย รัตนวราหะ, 2537 : 1-2) นอกจากนี้ยังพบว่าประเทศเพื่อนบ้านของไทยย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีการเลี้ยงไก่ชน นิยมการเล่นชนไก่และมีประวัติการชนไก่มายาวนานอีกหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ บรูไน เขมร ลาว เวียตนาม พม่า หรือแม้แต่ประเทศที่ไกลออกไปและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาก็มีการ ชนไก่เช่นกัน ในจำนวนนี้บางประเทศที่กล่าวมานี้ยังถือว่าการชนไก่ไม่ผิดกฎหมายอีกด้วย 3.2.2 การชนไก่ในประเทศไทย จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์การขุดพบตุ๊กตากระเบื้องดินเผาเคลือบสีสมัยกรุงสุโขทัย ที่เตาตุ๊กตา เมืองสวรรคโลกเป็นรูปผู้ชายไทยอุ้มไก่ไว้ในวงแขนอย่างทะนุถนอม แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่ จึงทำให้เชื่อว่าการเลี้ยงไก่นั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ( เฉลียว ปิยะชน, 2544 : 24 ) จึงสันนิษฐานว่ามีการเลี้ยงไก่ชนกันแล้วในสมัยนี้ การชนไก่ก็คงมีพลวัตเหมือนวัฒนธรรมอื่นๆ คือ มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ แปรปรวนและดับไป บางครั้งมีฐานะเป็นวัฒนธรรมราษฎร์ บางครั้งก็เป็นวัฒนธรรมหลวง เล่นได้ตั้งแต่คนในระดับชาวบ้านไปจนระดับผู้คนในวัง เมื่อกรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง และตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีแห่งที่สองของไทยสมัยต่อมา ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยานับได้ว่าเป็นสมัยการชนไก่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งพอจะยืนยันได้จากพงศาวดารไทยที่กล่าวถึงการชนไก่ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชา (ประกอบ โชประการ, 2519 : 208) และนอกจากนั้นยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระวิหารวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยพระยาอนุศาสตร์จิตรกร (จัน จิตรกร) วาดภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเล่นชนไก่กับพระมหาอุปราชา จนถึงกับมีการท้าพนันเอาบ้านเอาเมืองกัน สำหรับในภาคอีสานได้ปรากฏหลักฐานที่วัดหน้าพระธาตุ ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังมีรูปชาวบ้านกำลังนั่งล้อมวงเล่นชนไก่กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านของภาคอีสานในสมัยโบราณ ( อภิชัย รัตนวราหะ, 2541 : 9 ) แสดงว่าในสมัยนั้นชาวบ้านแถบนี้นิยมเล่นชนไก่กันมาก จนกลายเป็นแรงดลใจให้ศิลปินให้เกิดจินตนาการวาดรูปชาวบ้านเล่นชนไก่ออกมา การเลี้ยงไก่ชนและการเล่นชนไก่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไทยและมีมานานแล้ว ทำให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ไก่ชนจนเกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม ไก่ชนไทยจึงมีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างทั้งทางสรีระ จิตใจและเชิงชน และในปัจจุบันได้นำเอาไก่สายพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาในประเทศเพื่อทำการพัฒนาสายพันธุ์ไก่ชนไนประเทศไทยให้เป็นไก่ชนพันธุ์ผสม สายพันธุ์ที่นิยมนำเข้ามาคือ ไก่พม่า ไก่ไซง่อน (เวียตนาม) เป็นต้น 3.2.3 แหล่งพันธุกรรมไก่ชน ในทวีปเอเซียนับว่าเป็นแหล่งพันธุกรรมไก่ชนซึ่งมีสายพันธุ์ไก่ชนอยู่หลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินเดีย ฟิลิปปินส์ เวียตนาม ลาว เขมร มาเลเซียและพม่า แต่ ไก่ชนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้เลี้ยงในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มี 3 สายพันธุ์ คือ 3.2.3.1 ไก่ชนสายพันธุ์พม่า จากการสัมภาษณ์นายณรงค์ เทศงิ้ว ซึ่งเป็นมือน้ำและฝึกซ้อมไก่ชน มีประสบการณ์เลี้ยงไก่ชนมากว่า 30 ปี เคยเป็นนายสนามไก่ชนจังหวัดอุตรดิตถ์มาก่อน ปัจจุบันยังเลี้ยงไก่ชนสายพันธุ์พม่า อยู่ที่ตลาดพูนผล ถนนศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ได้รับการเปิดเผยว่า ไก่ชนพม่าเป็นไก่ที่มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศพม่า แต่ก่อนเป็นที่นิยมเฉพาะในเขตภาคเหนือของประเทศไทย แต่ในปัจจุบันได้รับความนิยมจากนักเลี้ยงและนักเล่นไก่ทั่วไป เป็นไก่ขนาดเล็ก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ไก่รอยเล็ก น้ำหนัก 2.2 - 2.8 กิโลกรัม มีหลายสี เช่น สีเหลืองหวายหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า สีสา เป็นสีที่นิยมเลี้ยงมากที่สุด รองลงมาเป็นสีแดงและสีเขียว ไก่พม่ามีจุดเด่นคือบินได้เก่งเป็นสายพันธุ์ไก่ชนที่มีสัญชาตญาณใกล้เคียงกับไก่ป่ามากที่สุดไก่ชนพม่ามีชื่อเสียงในด้านการบินตีได้อย่างรวดเร็ว ตีได้เจ็บปวดและใช้เดือยแทงได้ดีและแม่นยำ ( ณรงค์ เทศงิ้ว, สัมภาษณ์, 7 พฤษภาคม 2545 ) 3.2.3.2 ไก่ชนสายพันธุ์เวียตนาม หรือที่เรียกว่า ไก่ไซง่อน จากการสัมภาษณ์ ร.ต. วิรัตน์ เจียมเมืองปัก เป็นผู้มีประสบการณ์เรื่องไก่ชนมากว่า 20 ปี มีซุ้มไก่เป็นของตัวเอง เคยดำรงตำแหน่งประธาน ชมรมอนุรักษ์และพัฒนาไก่พื้นเมืองจังหวัดขอนแก่นและเคยเป็นนายสนามตลาดนัด ก. ไก่ ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จึงเป็นผู้กว้างขวางในสังคมไก่ชนของจังหวัดขอนแก่นท่านหนึ่ง ได้เปิดเผยว่าไก่ไซง่อนมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศเวียตนาม มีคนนำมาเลี้ยงทางภาคอีสานก่อนภาคอื่นๆ ในระยะแรกยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ต่อมาบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้นำเข้าพันธุ์ไก่ไซง่อนจากประเทศเวียตนามเพื่อนำมาพัฒนาสายพันธุ์กับไก่ชนไทยให้เป็นไก่ลูกผสม ลูกไก่รุ่นต่อมาได้ชั้นเชิงจากไก่ไทย ได้โครงสร้างและความแข็งแรงจากไก่ไซง่อน จึงเป็นไก่เชิงดี ตีหนัก จนเป็นที่ยอมรับจากนักเลี้ยงและนักเล่นทั่วไป จากนั้นไก่ไซง่อนจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง มีหลายสี เช่น สีเทาเป็นสีที่ คนนิยมเลี้ยงมากที่สุด ต่อมาคือสีเขียว สีแดงและสีด่างไก่เป็นไก่ขนาดใหญ่หรือรอยใหญ่ ไม่ค่อยมีขนตามคอและลำตัว มีน้ำหนักตั้งแต่ 3-4.5 กิโลกรัม เป็นไก่ที่มีโครงสร้างดี กระดูกใหญ่ ผิวพรรณมีสีแดงและหนา ตีได้รุนแรง มีน้ำอดน้ำทนดี แต่มีข้อเสียก็คือ เชื่องช้า อืดอาด และไม่ค่อยมีชั้นเชิง (วิรัตน์ เจียมเมืองปัก, สัมภาษณ์, 14 มีนาคม 2545) 3.2.3.3 ไก่ชนสายพันธุ์ไทย จาการสัมภาษณ์นายสงบ ข้อยุ่น ซึ่งเป็นชาวบ้านกอก ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นมือน้ำที่มีประสบการณ์เลี้ยงไก่มามากกว่า 20 ปี และยังเคยเป็นกรรมการตัดสินที่สนามตลาดนัด ก. ไก่ ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นได้ให้สัมภาษณ์ว่า ไก่ชนไทยมีอยู่หลายเฉดสีเช่น ไก่เหลืองหางขาว ไก่ประดู่หางดำ เป็นไก่ที่นิยมเลี้ยงมากที่สุด รองลงไปคือ ไก่เขียว ไก่เทา ไก่ลาย ไก่ด่าง ฯลฯ ไก่ไทยเป็นไก่ที่มีชื่อเสียงในด้านความสวยงาม มีชั้นเชิงในการชนทั้งเชิงรุกและเชิงรับได้ดี มีความอดทนเป็นเลิศตลอดจนมีลำหักลำโค่นดี มีขนาดน้ำหนักตั้งแต่ 2.9-3.5 กิโลกรัมเป็นไก่รอยกลางๆ ซึ่งแบ่งออกเป็นไก่ชนของภาคต่างๆ ที่มีลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละภาค คือ ไก่ชน ภาคเหนือ เป็นไก่ตัวเล็กที่ชาวบ้านเรียกว่า ไก่รอยเล็ก ชั้นเชิงเฉียดๆไปทางไก่พม่าสามารถบินและตีได้รวดเร็ว ดังนั้นไก่ทางภาคเหนือจึงมีไก่พม่าข้ามเข้ามาชนประจำ ไก่ชนภาคเหนือที่มี ชื่อเสียงก็ คือ ไก่ชนเหล่าป่าก๋อย อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ส่วนไก่ชนภาคกลางเป็นไก่ชั้นเชิงดี ฉลาด มีหลายเชิง เช่น ขี่ กอด ล็อค (lock) กอดและมุดมัด แหล่งไก่ที่มีชื่อเสียงของภาคกลาง คือ ไก่ชนท่าพริก ไก่ชนพนัสนิคม ไก่ชนแปดริ้ว ไก่ชนมีนบุรี ไก่ชนหนองจอก ไก่ชนอยุธยา และไก่ชนเหลืองหางขาวจังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น ส่วนไก่ชนภาคใต้เป็นไก่เชิงบน บินตีได้เร็วใช้เดือยแทงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไก่ชนทางภาคใต้นี้นิยมเลี้ยงไก่ที่ใช้เดือยแทงได้จัด (ไก่เดือย) ส่วนไก่ที่ตีด้วยแข้งลำโตๆ (ไก่แข้ง) มีเป็นส่วนน้อย แหล่งไก่ที่มีชื่อเสียงก็คือ ไก่ชนเหลืองไชยา ไก่ชนนกแดงชุมพร ไก่ชนลำปำ จังหวัดพัทลุง เป็นต้น ส่วนไก่ชนภาคอีสานเป็นไก่ที่ได้รับ อิทธิพลมาจากไก่ไซง่อนเนื่องจากมีพรมแดนติดต่อกับประเทศลาว เพราะประเทศลาวนิยมเลี้ยงไก่ชนไซง่อนจึงทำให้สายพันธุ์ไก่ไซง่อนแพร่เข้ามาภาคอีสาน เช่น สายพันธุ์เทาขอนแก่น เทาสกลหรือชาวบ้านเรียกว่า ง่อนสกล ง่อนหนองคาย เป็นต้น (สงบ ข้อยุ่น, สัมภาษณ์, 10 มีนาคม 2545) จากแหล่งพันธุกรรมไก่ชนในประเทศไทย อันเป็นผลสะท้อนให้เห็นความแตกต่างทางภูมิปัญญาการเลี้ยงไก่ชนที่มีความแตกต่างทั้งทางด้านสรีระ ชั้นเชิงการชนและลักษณะอื่นๆของไก่ชนในแต่ละภูมิภาคนั้น สามารถอธิบายได้ว่า ภูมิปัญญาอาจมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรืออาจมีความแตกต่างกันไป ในแต่ละท้องถิ่น เรียกว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการที่ชาวบ้านแสวงหาความรู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติ (จารุวรรณ ธรรมวัตร, 2536 : 4-5) และการที่ไก่ชนทางภาคเหนือมีเอกลักษณ์เฉพาะไปทางไก่พม่าเพราะมีเขตแดนติดกับพม่า ไก่ภาคอีสานมีลักษณะเฉพาะไปทางไก่ไซง่อนเพราะมีการนำไก่ชนไซ่ง่อนเข้ามาในประเทศไทย โดยผ่านชายแดนประเทศลาวและภาคใต้นิยมไก่เดือยเหมือนกับมาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นไปตามที่ นิคม ชมภูทอง ได้กล่าวเอาไว้ว่า ภูมิปัญญาเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละ ท้องถิ่น พันธุกรรมไก่ชนจึงมีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละภูมิภาคตามที่ได้กล่าวมาแล้ว 3.2.4 สรีระของไก่ชน คนที่เลี้ยงไก่ชนนั้นมีความจำเป็นต้องรู้จักสรีระชองไก่ชนเป็นอย่างดี เพราะการคัดเลือกไก่ที่จะนำมาเลี้ยงชนนั้นจะต้องรู้จักหลักการพิจารณาตั้งแต่หัวจรดหางเลยไปจนถึงเล็บเท้า อวัยวะทุกส่วนของไก่ชนมีส่วนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า เป็นไก่มีลักษณะดี-เลวได้เป็นการประเมินจากลักษณะภายนอก (Phenotype) เป็นการคัดไก่ที่ดีเอาไว้ ซึ่งจะขอกล่าวถึงสรีระของไก่ไว้เป็นเบื้องต้น ดังต่อไปนี้ 3.2.4.1 หัว เป็นส่วนประกอบของใบหน้า ซึ่งประกอบด้วย 1) ปาก เป็นกระดูกแข็ง มีปากบนและปากล่าง ปากบนงองุ้มเล็กน้อย มีความคม ใช้กินอาหารและเป็นอาวุธในการจิกตี 2) จมูก อยู่ตรงโคนปากข้างบน มี 2 ข้าง ใช้สำหรับหายใจ 3) ตา ถัดจากจมูกมาจะเป็นตา มีอยู่สองข้าง เป็นหลุมลึกลงไป 4) คิ้ว อยู่เหนือตาทั้งสองข้าง เป็นสันนูนเพื่อป้องกันไม่ให้ตาเป็นอันตราย 5) หงอน อยู่กลางกระหม่อมเหนือคิ้วขึ้นไป เป็นอวัยวะที่บอกเพศและสุขภาพของไก่ 6) หู อยู่บริเวณถัดจากตาและคิ้วไปเหนือโหนกแก้มทั้งสองข้าง โดยมีขนขึ้นปกคลุมขนนี้เรียกว่า ขนปิดหู 7) ตุ้มหู เป็นหนังสีแดงที่ห้อยอยู่ใต้รูหูทั้งสองข้าง 8) เหนียง เป็นหนังสีแดงยื่นออกมาตรงคางไก่ 3.2.4.2 คอ เป็นส่วนที่ต่อจากหัวลงมายังลำตัว มีขนขึ้นที่คอ เรียกว่า สร้อยคอ ปกคลุมลงมาแต่ท้ายทอยลงมาจรดลำตัว 3.2.4.3 ปีก ไก่มีปีกอยู่สองข้างของลำตัว ใช้ในการบินและพยุงตัว ปีกส่วนบนจะมีขนขึ้นปกคลุม ขนนี้เรียกว่า สร้อยปีก และมีขนแข็งและยาวมาจนถึงโคนหางใช้อุ้มลมเมื่อกระพือปีกบิน 3.2.4.4 ลำตัว เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของไก่ ห่อหุ้มอวัยวะภายในเอาไว้ มีขนขึ้นปกคลุมทั่วไปเรียกว่า ขนตัว และขนบนหลังไก่จากโคนคอลงมาจรดโคนหางเรียกว่า สร้อยตัว 3.2.4.5 หาง เป็นขนที่พุ่งออกไปหลังของไก่ มีสองชนิด คือ ขนหางที่สั้นๆที่เกิดอยู่ใต้โคนหาง ลักษณะเหมือนหางไก่ตัวเมีย เรียกว่า หางพัด ชาวบ้านเรียกว่า หางไก่แม่(หางไก่ตัวเมีย) ส่วนขนหางที่พุ่งยาวออกไปเรียกว่า หางกระลวย ชาวบ้านเรียกว่า หางทวน โคนหางนั้น ชาวบ้านเรียกว่า กระโนนดากไก่ เป็นที่อยู่ของต่อมน้ำมันไก่ที่ชาวบ้านเรียกว่า กระปุกน้ำมัน ไก่จะรีดน้ำมันออกมาเช็ดความทำสะอาดขนให้เป็นมันและเงางามอยู่เสมอ 3.2.4.6 ขา มีอยู่ 2 ข้างเป็นส่วนที่ใช้ในการเดิน วิ่ง และใช้ฟาดคู่ต่อสู้ให้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมีส่วนประกอบดังนี้ 1) ปั้นขา เป็นขาส่วนบนที่อยู่ติดกับลำตัว เลยลงไปถึงเข่าเป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่และแข็งแรง 2) แข้ง เป็นส่วนที่ไก่ใช้ตีคู่ต่อสู้ อยู่จากเข่าลงไปจนถึงเท้า เป็นที่อยู่ของเกล็ดแข้ง เป็นเกล็ดหน้าแข้ง เกล็ดหลังแข้ง เกล็ดแข้งด้านใน เกล็ดแข้งด้านนอก ด้านในแข้งค่อนลงไปเท้าจะมีกระดูกแข็งๆ แหลม เรียกว่าเดือย เป็นอาวุธที่ใช้แทงคู่ต่อสู้ 3) นิ้ว ไก่มีทั้งหมด 4 นิ้ว ยื่นไปข้างหน้า 3 นิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ส่วนนิ้วก้อยจะชี้มาทางด้านหลัง ในตำแหน่งใต้เดือย 4) เล็บ เป็นส่วนที่อยู่ปลายสุดของนิ้ว มี 4 เล็บตามจำนวนนิ้ว ไก่บางตัวใช้นิ้วและเล็บในการตีคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะนิ้วก้อยใช้แทงคู่ต่อสู้ได้ การเลือกไก่เพื่อนำมาชนนั้นต้องดูสรีระเหล่านี้อย่างพิถีพิถันเป็นส่วนประกอบ โดยใช้หลักใหญ่ๆ 3 ประการมาพิจารณา คือ ใช้หลักวิทยาศาสตร์ หลักไสยศาสตร์และ ภูมิปัญญามาใช้ในการเลี้ยงไก่ชนอย่างผสมผสาน สอดคล้องและลงตัว จะเห็นได้จาก ไก่ชนจะต้องมีโครงสร้างดี กระดูกปล้องคอถี่ กล้ามเนื้อหน้าอกมาก ปั้นขาใหญ่ เป็นไก่ที่มีกำลังปะทะสูงเพาะมีมวล (Mass) มากจึงเลือกมาเลี้ยงชน นอกจากนี้ยังนำหลักทางพันธุศาสตร์ของ เกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) มาพิจารณาการถ่ายทอดสายเลือด หลีกเลี่ยงการผสมเลือดชิด (inbreeding) ที่ลักษณะด้อยที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมจะมีโอกาสถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกได้มากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นการใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้ามาพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้ได้ไก่ชนที่มีลักษณะ ภายนอกอันพึงประสงค์ในเชิงกีฬา ถ้าหากไก่ตัวใดที่มีเกล็ดนิ้วแตก เกล็ดกำไล เกล็ดกากบาทฯลฯ และเกล็ดอื่นๆ ที่ถือว่าเป็นเกล็ดดีก็นำมาเลี้ยงชนได้ หลีกเลี่ยงเกล็ดงู เกล็ดบอด เป็นการใช้หลักของไสยศาสตร์ หากไก่ตัวใดที่มีจะงอยปากสีขา ตาสีตัว มีลักษณะเข้าตำราไก่เก่งเป็นการใช้หลักภูมิปัญญา ซึ่งในสังคมอื่นๆ และในกิจกรรมอื่นๆ วิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์นั้นมักจะไม่นำมาใช้ร่วมกัน เพราะไสยศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ |
||
|