|
|||
เว็บไซท์ที่น่าสนใจ |
![]() ปล่อยเลี้ยงแบบธรรมชาติ (ไก่คุณสมหวัง)
สมุนไพรกับไก่ชน
3.8.1 การบำรุงเลี้ยงและให้อาหารไก่ชน ก่อนที่เราจะนำไก่ออกชนได้ จะต้องบำรุงไก่ให้มีความสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนกับ นักมวยที่ต้องฟิตซ้อมร่างกายเป็นอย่างดีก่อนวันชกจริง ดังนั้นการเลี้ยงไก่ชนจึงต้องให้ ความสำคัญเกี่ยวกับการบำรุงด้วยอาหารและยาบำรุงกำลัง ซึ่งจากการออกเก็บข้อมูลภาคสนามพบว่าชาวบ้านในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นมีสูตรการจัดอาหารบำรุงกำลังหลายสูตรด้วยกัน ตามรายละเอียด ดังนี้ 3.8.1.1 ข้าวเปลือก ต้องคัดเอาเฉพาะเมล็ดที่ดีด้วยการนำข้าวเปลือกไปแช่น้ำเมล็ดที่สมบูรณ์จะมีน้ำหนักมากจะจมน้ำ ส่วนเมล็ดลีบจะลอยน้ำแล้วช้อนเอาเมล็ดข้าวเปลือกที่ลีบออกที่อยู่ผิวน้ำออก แล้วนำเมล็ดข้าวที่เหลือมาขัดด้วยใบตะไคร้ให้มันและให้หอมติดเมล็ด เพื่อขจัดความสากของข้าวเมล็ดข้าวเปลือก ช่วยให้ไก่ชนกลืนข้าวเปลือกได้ง่าย เมล็ดข้าวเปลือกที่ดี คือ เมล็ดข้าวผา เนื่องจากเมล็ดข้าวชนิดนี้จะคดทำให้ไก่ชนกลืนง่าย ไม่ ติดคอหรือสำลัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดโรคคออักเสบตามมาได้ ปัจจุบันเมล็ดข้าวผาหายากเพราะคนไม่นิยมปลูก 3.8.1.2 ไข่ไก่ กะเทาะเปลือกแล้วกรองเอาแต่ไข่แดง ให้ไก่กินประมาณ 3 วันต่อฟอง ไข่ที่จะนำมาให้ไก่ชนกินนี้ ไม่ควรต้ม นอกจากบางตัวที่กลืนยากให้ต้มและปั้นเป็นก้อนให้กิน 3.8.1.3 หอยขม ใช้ป้อนให้ไก่กินแต่ต้องคัดเลือกเอาขนาดที่ไม่โตเกินไป เพื่อไม่ให้ติดคอไก่ ทุบหรือบดละเอียดผสมอาหารให้ไก่ชนกินก็ได้ 3.8.1.4 เนื้อวัวหรือเนื้อควาย นำมาปิ้งหรือย่างกลางสุกกลางดิบแล้วหั่นเป็นชิ้นให้กิน หรือนำมาแช่น้ำผึ้งก่อนแล้วให้ไก่กินก็ได้ 3.8.1.5 เนื้อปลาช่อน นำมาปิ้งหรือย่างกลางสุกกลางดิบแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นให้กิน 3.8.1.6 หญ้าหรือผัก หญ้าที่จะนำมาให้ไก่ชนกินควรจะเป็นหญ้าแห้วหมู หญ้าขนและผักควรเป็นผักกาดหั่นเป็นชิ้นให้กิน เพื่อเป็นการเสริมวิตามิน 3.8.1.7 สมุนไพร เช่น บอระเพ็ด กระชาย ตะไคร้ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆให้ไก่กินทุกวันเป็นพืชสมุนไพรที่บำรุงกำลัง เมื่อให้อาหารไก่ชนแล้ว ต้องคอยสังเกตดูว่ามูลของไก่ชนมีลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าพบว่า มูลไก่ชนยังเหลวหรือเป็นก้อนแสดงว่าไก่ชนยังมีสุขภาพไม่ดี ยังไม่พร้อมที่จะออกชน ต้องรอจนกว่ามูลไก่จะเป็นก้อนกลมสีเขียวมียอดขาวถึงจะเริ่มใช้ได้ ให้เลี้ยงต่อไปอีก 15 วัน ก็พร้อมที่จะออกชนได้ การใช้สมุนไพรของชาวบ้านนี้เป็นการประหยัด หาสมุนไพรที่มีในท้องถิ่นมาใช้ สมุนไพรบางชนิดเป็นพืชผักที่ชาวบ้านกินได้ในสวนครัว เช่น ข่า ตระไคร้ กระชาย ขิง มะกรูดฯลฯ บางอย่างเกิดเองตามธรรมชาติ เช่น บอระเพ็ด ส้มป่อย หนาด เป้า มะขาม ไผ่ ฝรั่งบ้านฯลฯ สิ่งเหล่านี้ย่อมสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตการเลี้ยงไก่ชนของชาวบ้านเป็นแบบพึ่งพาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นลูกโซ่ในระบบนิเวศอย่างสมดุลเพราะพืชต่างๆที่ชาวบ้านปลูกนั้นชาวบ้านนำมาบริโภคได้และขณะเดียวกันนำมาเป็นยาและอาหารไก่ชนก็ได้ ส่วนไก่นั้นนอกจากเป็นอาหารของชาวบ้านแล้วยังกลายเป็นสินค้าทั้งในลักษณะไก่เนื้อและไก่ชน นอกจากนี้มูลของไก่ก็สามารถนำมาเป็นปุ๋ยให้กับพืชได้ทุกชนิดโดยไม่มีสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ดังนั้นการใช้สมุนไพรจึงนับว่าเป็นภูมิปัญญาที่บริหารการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัด มากด้วยคุณค่าแต่เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมไปในตัว 3.8.2 ยาบำรุงไก่ชน ยาบำรุงไก่ชนนี้มีมากมายหลายตำรับ ซึ่งผู้เลี้ยงไก่ชนได้คิดค้นและนิยมใช้สืบต่อกันมานาน ซึ่งผู้วิจัยได้รวบรวมภูมิปัญญาเกี่ยวกับยาที่ใช้บำรุงไก่ชน ของผู้เลี้ยงไก่ชนในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และภูมิปัญญาภาคกลาง ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 3.8.2.1 ภูมิปัญญาในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ตำรับที่ 1 เป็นของนายสถิตย์ หลวงนันท์ อยู่บ้านโนนทัน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นนำงูเห่ามาลอกหนังย่างไฟทั้งตัว เมื่อย่างแล้วให้ตัดหัวออก นำมาโขลกให้ละเอียดนำไปตากให้แห้ง จากนั้นเอาบอระเพ็ด หัวหญ้าแห้วหมู ขมิ้นขึ้น อย่างละ 1 ส่วน มาโขลกให้ละเอียด นำไปตากให้แห้ง แล้วนำมาโขลกรวมกับเนื้องูเห่าที่ตากไว้ให้ละเอียด ผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นลูกกลอน ตากแดดให้แห้งเก็บไว้ให้กิน ครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง ตอนเช้า (ถ้าเป็นฤดูหนาวให้ใช้งูเห่าแต่ถ้าเป็นฤดูร้อนให้ใช้งูสิงแทน) ตำหรับที่ 2 เป็นของ นายทองดี ชัยกำเนิด อยู่ชุมชนบ้านหัวถนน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นนำปลาช่อนมาขูดเกล็ดออกให้เกลี้ยง เอาตะไคร้หั่นละเอียด พริกไทย 5-10 เม็ดยัดใส่ปากปลาช่อนให้เต็มแล้วนำไปย่างให้สุก โขลกจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปตากแดดจนกรอบ(ใช้เวลา 5 -7 วัน) เอากระเทียม หอมหัวแดง อย่างละ 10 กลีบ หั่นเป็นฝอยแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นให้นำยาทั้งหมดมาโขลกรวมกันให้ละเอียด และใช้กลว้ยน้ำหว้าสุกกับน้ำผึ้งเดือนห้าโขลกรวมลงไปเพื่อเป็นตัวประสานตัวยาให้เข้ากันแล้วปั้นเป็นลูกกลอน นำไปตากแดดอีกที่หนึ่งจึงเก็บไว้ให้ไก่กินเช้า-เย็น จะทำให้ไก่มีกำลังดีมาก ตำหรับที่ 3 เป็นของนายสำเรียน เทพไกรวัลย์ อยู่บ้านหว้า ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ใช้นกกระจอกที่จับได้มาถอนขนและชำแหละเอาเครื่องในออกแล้วนำมาย่างให้สุก จากนั้นนำไปตากแดดจนกรอบ(ใช้เวลา 5-7 วัน) และนำบอระเพ็ดและตะไคร้มาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้งแล้วนำมาโขลกรวมกันจนละเอียดดีแล้วใช้น้ำผึ้งประสานยาเข้าด้วยกัน ปันเป็นลูกกลอนให้ไก่กินเช้า-เย็นเป็นประจำ ไก่จะบินดีกำลังไม่ตก ยังเป็นการกำจัดนกกระจอกที่ชอบมาแย่งกินข้าวไก่และเป็นพาหะนำโรคต่างๆมาสู่ไก่ได้อีกทางหนึ่ง ตำหรับที่ 4 เป็นของนายสำเริง ศักดิ์ศิริรัตน์ อยู่บ้านคำไฮ ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เคยเป็นผู้บริหารบ่อนคำไฮมาก่อนแต่ปัจจุบันนี้ได้ปิดกิจการไปแล้ว นำปลาไหลมาย่างทั้งตัวให้สุกนำไปตากแดดจนแห้งกรอบดีแล้ว นำบระเพ็ดและตะไคร้มาหั่นบางๆนำไปตากแดดให้แห้งแล้วนำมาโขลกกับปลาไหลย่างให้เข้ากัน เมื่อเห็นว่าละเอียดดีแล้วใช้น้ำผึ้งเดือนห้ามาเป็นตัวประสาน ปั้นเป็นลูกกลอนให้ไก่กินเช้า-เย็น ปลาไหลนั้นหากเป็นตัวเล็กๆ อาจนำมาหั่นให้ไก่กินสดๆเลยก็ได้ จะทำให้ไก่มีกำลังดีมาก ตำหรับที่ 5 ปลาช่อนกับเป็นของนายณรงค์ เทศงิ้ว เป็นพ่อค้าขายผลไม้อยู่ที่ตลาดพูนผล ถนนศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น บ้านเดิมของนายณรงค์อยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อก่อนเคยเป็นนายสนามไก่ชนที่อุตรดิตถ์มาก่อน มีความประทับใจกับไก่ชนพม่ามาก่อน แม้ในปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้วแต่ก็ยังชอบเลี้ยงไก่อยู่ จึงนำไก่สายพันธุ์พม่ามาเลี้ยงที่จังหวัดขอนแก่นอีกด้วย แต่เลี้ยงจำนวนไม่มากเพราะเป็นการเลี้ยงด้วยใจรักควบคู่ไปกับขาย ผลไม้ ยาบำรุงของนายณรงค์ใช้นกกระจอกกับปลาช่อนมาย่างอย่างละเท่าๆกัน นำไปตากแดดจนกรอบแล้วนำไปโขลกกับพริกไทยกับบระเพ็ดใช้น้ำผึ้งเป็นตัวประสานเนื้อยาให้เข้ากันแล้วปั้นเป็นลูกกลอนให้ไก่กินเช้า-เย็น จะทำให้ไก่กำลังดี กำลังไม่ตก 3.8.2.2 ภูมิปัญญาภาคกลาง ภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรในการบำรุงไก่ชนของทางภาคกลางที่ผู้วิจัยสืบค้นข้อมูลได้จาก ตำราของภาคกลางมีดังนี้ ตำรับที่ 1 หั่นบอระเพ็ดเป็นแผ่นบางๆ แช่น้ำผึ้งเดือนห้าไว้ แล้วให้กินทุกวัน ตำรับที่ 2 หัวไพล เจตมูลเพลิง ผักคราดหัวแหวน ตำให้ละเอียดนำมาผสมกับน้ำผึ้งเดือนห้า ปั้นเป็นลูกกลอนให้กิน ตำรับที่ 3 ให้กินเขียดหรือลูกหนูตัวแดงๆ ที่ยังไม่มีขน จิ้งจกหรือลูกปลา วันละ 1 ตัว เพื่อให้มีกำลังแข็งแรง ถ้าหายากอาจจะให้เนื้อสดวันละ 1 ชิ้นขนาดเท่านิ้วก้อยก็พอ ตำรับที่ 4 นำข้าวเหนียวมาเผาจนดำแล้วนำมาตำกับพริกสุก หอยขม ใส่ปลาป่นและน้ำอ้อย ปั้นเป็นลูกกลอนให้กิน ตำรับที่ 5 ใช้กระชาย พริกไทย ตะไคร้ ตำรวมกันให้แหลกแล้วนำมายัดใส่ปาก ปลาช่อนตัวใหญ่ 1 ตัว ใส่ให้เต็มท้อง แล้วนำปลาช่อนไปปิ้งให้สุก หลังจากนั้นตำหรือโขลก ปลาช่อนทั้งตัวจนละเอียดแล้วผสมน้ำผึ้งเดือนห้า ปั้นเป็นลูกกลอนให้ไก่ชนกิน จะทำให้ไก่ชนมีกำลัง ปีกแข็งแรงและบินสูง ตำรับที่ 6 ใช้บอระเพ็ด กระเทียม ปลาช่อน นกกระจอก ยาดำ หัวแห้วหมู พริกไทย นำมาบดรวมกันให้ละเอียดแล้วผสมน้ำผึ้งเดือนห้าปั้นเป็นลูกกลอนให้ไก่ชนกิน ก่อนนอนทุกวันจะทำให้ไก่ชนแข็งแรง ตำรับที่ 7 กล้วยน้ำว้าแช่น้ำผึ้งเดือนห้า หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ไก่ชนกินก่อนนอน ตำรับที่ 8 ใช้งูสิงหรือปลาช่อนตัวเล็กย่างให้สุกแล้วตากให้แห้ง นำมาบดรวมกับลูกมะกรูดแห้ง กระชาย ดีปลี มะขามเปียก แล้วนำมาผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน ให้ไก่ชนกิน ครั้งละ 2 3 เม็ด เช้า เย็น ตำรับที่ 9 นำปลาช่อนตัวเท่าแขนผู้ใหญ่ขอดเกล็ดย่างไฟให้สุก แล้วนำมาโขลกให้ละเอียด นำไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นเอาพริกไทย 5 เม็ด กระเทียม 7-8 กลีบ หอมแดง 2-3 หัว หั่นละเอียด นำมาโขลกให้เข้ากัน นำไปตากรวมกับปลาช่อนที่โขลกไว้ เมื่อแห้งสนิทดี นำมาโขลกรวมกับกล้วยน้ำว้าสุก ผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน ตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ให้กิน ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ผู้เลี้ยงไก่ชนจะไม่ละเลยหรือละทิ้งสมุนไพรของไทยในการที่จะนำมาบำรุงเลี้ยงไก่ชนของตัวเองให้มีความแข็งแรงและกระปี้กระเป่าอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตใจของคนเลี้ยงไก่ชนนั้นหากไก่มีความสดชื่นผู้เลี้ยงก็จะสดชื่นด้วย ถ้าไก่เป็นอะไรที่ไม่สบายแล้วผู้เลี้ยงก็ไม่สบายใจจนเป็นทุกข์แทนไก่ของตนเอง แม้ในปัจจุบันจะมียาบำรุงแผนปัจจุบันออกมาวางขายจำหน่ายอยู่ทั่วไปในท้องตลาดก็ตาม ไม่ทำให้ความนิยมในการใช้ยาสมุนไพรลดลงแต่อย่างใดเพราะสมุนไพรนั้นราคาถูกกว่ายาแผนปัจจุบันมาก และผู้เลี้ยงไก่ชนส่วนมากมีความเชื่อว่าสมุนไพรไม่มีผลเสียต่อร่างกายของไก่เป็นสิ่งไม่มีพิษภัย ส่วนยาแผนปัจจุบันนั้นเป็นสารเคมีที่สามารถตกค้างในร่างกายไก่และเป็นผลเสียกับไก่ได้ภายหลัง |
||
|