ปีที่ 2 ฉบับที่ 603 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ
ปุจฉา - วิสัชนา
หัวอกชาวพุทธ |
ขอระบายความอัดอั้นตันใจ เกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย ซึ่งถูกโจมตีกล่าวหา จากบรรดาสื่อทั้งหลาย ทั้งทางหนังสือพิมพ์บางฉบับ วิทยุ และโทรทัศน์ ทั้งที่สื่อเหล่านี้ อยู่ในประเทศไทย ที่ถือกันว่า เป็นเมืองพระพุทธศาสนา
เป็นที่ๆ คนไทยซึ่งนับถือศาสนาพุทธทุกคน ภูมิใจว่า เป็นประเทศที่มีศาสนาพุทธมั่นคงที่สุด และอาจจะเป็นศูนย์กลาง ของชาวพุทธทั่วโลก ในอนาคต ก็เป็นได้ หรือมีอะไรเคลือบแคลงแฝงอยู่ ไม่สามารถรู้ได้ เพราะข่าวสารที่นำมาเสนอ ไม่ทราบว่า ไปเอาข้อมูลจากไหน เป็นไปในทางลบทั้งสิ้น
ส่วนด้านความดีที่เค้าทำกันอยู่ ก็ไม่เอาออกมานำเสนอ พยายามบิดเบือนให้ไปในทางที่ไม่ดีอยู่ร่ำไป แต่ก็ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์บางฉบับ ที่ยังมีความเป็นธรรม เอาส่วนที่ดีมาลงให้ด้วย แต่บางฉบับที่ไม่มีจริยธรรม นอกจากเอาข้อมูลที่เป็นเท็จ มาลงแล้ว ยังพยายามชี้นำให้คนอ่าน เข้าใจวัด ไปในทางไม่ดี อีกด้วย มีการไปสัมภาษณ์ ผลที่ออกมา จึงคลาดเคลื่อน จากความเป็นจริง และเป็นทางลบเสียส่วนใหญ่ ผู้รู้เหล่านั้น ต่างพากันตกเป็นเครื่องมือ ของสื่อเหล่านั้น หลายรายผู้ที่รู้เรื่องดี ให้ สัมภาษณ์ในทางที่ดี ก็ไม่เอาออกมานำเสนอ สำหรับผู้ที่รู้เรื่องอยู่แล้ว พอทำเนา จะรู้ว่าสื่อเหล่านี้บิดเบือนความจริงและไม่หลงเชื่อ
แต่คนทั่วไปที่ไม่รู้ เมื่อได้รับข่าวดังกล่าว จะเริ่มมีอคติและมองวัดพระธรรมกาย ไปในทางลบ สื่อดังกล่าวยังพยายามชี้นำ ให้คนทั่วไป มีความคิดว่า คนในศาสนาพุทธที่เชื่อเรื่องบาป-บุญ นรก-สวรรค์มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ - ปาฏิหาริย์มีจริง พวกนี้เป็นพวก โง่-งมงาย - ปัญญาอ่อน และถูกหลอกลวง แล้วคิดว่า ตัวเองเป็นคนทันสมัย ฉลาด ไม่เชื่อใครง่ายๆ แต่ที่จริงแล้ว ถูกสื่อเหล่านี้ หลอกทั้งสิ้น การกระทำดังกล่าว ไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้ดำเนินการและมีจุดประสงค์อะไร
ผมไม่ใช่นักปราชญ์ราชบัณฑิต เรื่องธรรมะก็มีความรู้พื้นๆ ไม่ลึกซึ้ง การปฏิบัติธรรมก็ยังไม่บรรลุธรรมชั้นสูง จึงเกิดอารมณ์โต้ตอบ อยากจะแสดงความคิดเห็นบ้าง เพื่อให้นักปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย และสื่อต่างๆ ที่กำลังวิจารณ์ และเสนอข่าวสารให้สาธุชน ชาวพุทธทั้งหลาย เข้าใจผิดไป ขอให้รู้ว่า ท่านกำลังทำร้ายศาสนาพุทธของเราเข้าแล้ว ทำร้ายอย่างไรหรือ?
เริ่มต้นด้วยการกล่าวหาวัดพระธรรมกายเรี่ยไรมากไป นำเอาวิธีการขายตรงมาใช้ เท่านั้น ยังไม่พอ หลอกลวงประชาชน ด้วยการเอาบุญ มาขาย เอาสวรรค์มาล่อ เสร็จแล้วนำไปสร้างสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตเกินความจำเป็น
สร้างไปทำไม แล้วยังมาสร้างเอาตอนเศรษฐกิจไม่ดีอย่างนี้ เป็นวัดของคนรวยไม่สนคนจน
นอกจากนี้ยังมีการไปสัมภาษณ์นักปราชญ์ราชบัณฑิต ผู้รู้ทั้งหลาย ให้วิจารณ์ว่า การปฏิบัติธรรมก็ผิดเพี้ยน ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสนาพุทธ บอกว่า เป็นการหลอกลวง งมงาย หนักเข้าก็ลามปามไปถึง ครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ยังอยู่ก็ว่าสติไม่ดี เป็นอัลไซเมอร์บ้างละ เป็นหุ่นเชิด บ้างละ ร้ายไปกว่านั้น ปล่อยข่าวออกมาได้ว่า คุณยายที่อยู่นี้เป็นตัวปลอม ตัวจริงตายไปนานแล้ว
ยังไม่เจ็บพอ ดึงเอาพระผู้ใหญ่ออกมาย่ำยีให้เสียหายอีก ว่าเป็นนักธุรกิจบ้างละ มั่วสีกาบ้างละ เทศนาไพเราะเสียงนุ่มก็ไม่ได้ ว่าออดอ้อน เจ้าบทเจ้ากลอนดีนัก พอรองเจ้าอาวาสก็ว่า พูดเสียงดังเป็นนักเลง เอ๊ะ แล้วมันจะเอายังไงกันแน่? โดนว่าทั้งขึ้นทั้งล่อง มีเรื่องอะไรไม่ดี ก็พยายามลากเข้ามา ให้เกี่ยวกันกับวัดพระธรรมกาย เข้าไป ซึ่งผมอยากจะชี้แจงให้มันยืดยาวไปเลย ดังนี้
1. เรื่องเรี่ยไรเงินของวัดที่ว่ามากไปนั้น ผมว่าไม่มากเลย ถ้ามาเทียบกับกิจกรรมของวัด ซึ่งต้องต้อนรับสาธุชน เป็นเรือนแสน และอาจเป็นเรือนล้าน ในอนาคต ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น และผมขอกราบเรียนว่า ทุกวัดจะต้องมีการหาเงินเข้าวัด ทั้งนั้น และก็มาจาก ผู้มีจิตศรัทธาและใจบุญเท่านั้น จึงจะทำบุญให้วัด มิได้บังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด
มิเช่นนั้น วัดจะอยู่ได้อย่างไร แม้แต่วัดพระแก้ว ซึ่งเป็นวัดหลวง เมื่อถึงคราวปฏิสังขรณ์วัด ก็ยังต้องรับบริจาคจากประชาชนทั่วไป ที่มีจิตศรัทธาจะร่วมบุญด้วย
มาว่ากันถึงวิธีการหาเงิน วัดแต่ละวัด ก็มีวิธีการหาเงินแตกต่างกันไป บางวัดคิดค้นกิจกรรมที่คิดว่า ดีมีประโยชน์ และเชิญชวนให้คน มาร่วมกิจกรรม และร่วมบริจาค บางวัดมีพระเกจิอาจารย์ ที่ผู้คนเคารพนับถือเลื่อมใส ก็เอามาเป็นจุดหาเงินเข้าวัด
บางวัดพูดเก่งก็ใช้วิธีอัดเทปธรรมะขาย และรับนิมนต์เดินสายเทศน์ หาเงินเข้าวัด บางวัดมีพระพุทธรูป ที่คนเคารพบูชาว่า ศักดิ์สิทธิ์ ก็เอามาเป็นจุดขาย บางวัดใช้สิ่งก่อสร้าง ที่แปลกที่สวยงาม ดึงดูดความสนใจ บางวัดใช้การปฏิบัติธรรม ก็สามารถเรียกคนเข้าวัดได้ ซึ่งก็แล้วแต่ ความถนัดของแต่ละวัด
ส่วนวัดธรรมกาย เริ่มต้นด้วยการปฏิบัติธรรม ซึ่งก็มีคนเข้าวัดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการบอกบุญกันต่อๆ ไป ปากต่อปาก เมื่อมีคนมาเข้าวัด มากเข้า ก็บอกว่าเป็นการขายตรงไปอีก พูดให้เหมือนว่า เป็นการทำธุรกิจ
เอ้า ขายตรงก็ขายตรง ผมยอมรับ เพราะมันเป็นการบอกบุญกันอย่างตรงๆ อยู่แล้ว ไม่อ้อมค้อมกันแต่ประการใด คนโน้นรู้ก็บอกคนนี้ คนนี้รู้ก็บอกต่อคนนั้น ปากต่อปาก เมื่อมากขึ้นๆ ก็ต้องมีการจัดระบบให้ควบคุมได้
2. เมื่อมีคนมาปฏิบัติธรรมมากเข้า ก็ต้องสร้างศาลาใหญ่ เจดีย์ใหญ่ ว่าอีกแล้ว ทำไมต้องสร้างใหญ่โตอย่างนี้? เกินความจำเป็น มีที่ไหนกัน สร้างศาลาตั้ง 100 ไร่ เอ้า ก็มีที่ไหนละ มีคนมาปฏิบัติธรรมกันที เป็นหมื่นเป็นแสนคน แล้วจะให้ไปอยู่ที่ไหน เวลาฝนตก น้ำท่วม แดดออก ใครจะไปทนไหว ยังเป็นคนธรรมดาอยู่นี่ ทีแรกก็สร้างเล็กกว่านี้ มุงจากด้วยซิ แต่มันไม่พอ ก็จำเป็นมั๊ยล่ะ ที่ต้องมาสร้างให้ใหญ่แบบนี้
เจดีย์ก็เหมือนกัน ก็สร้างให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมได้ สร้างไว้สำหรับทุกคนในโลกนี้เลย มาจากประเทศไหนก็ได้ มาชมมาปฏิบัติธรรมกัน ไม่ได้สร้างไว้ เพื่อให้ใครคนเดียว จะได้สร้างเล็กๆ เอาไว้เก็บกระดูกแต่พอตัว และก็พยายามสร้างให้แข็งแรงที่สุด ทนที่สุด จะได้อยู่นานเป็นพันๆ ปีไปโน่นเลย
แทนที่จะมาช่วยกันสร้างให้เสร็จโดยเร็วไว ให้เป็นสมบัติของพุทธศาสนาสืบไป กลับมาว่าไม่ดีอีก โจมตีอีก แทนที่จะเข้ามาศึกษา มาดู มาปฏิบัติธรรมกับเขาด้วย ก็ไม่มา แล้วยังมาถามอีกว่า สร้างไปทำไม มีคำถามอีก ทำไมมาสร้างเอาตอนเศรษฐกิจไม่ดีอย่างนี้ ขอบอกว่า โครงการนี้ เริ่มต้นก่อนที่เศรษฐกิจ จะตกต่ำอย่างนี้ และเมื่อสร้างไปแล้ว จะให้หยุดได้อย่างไร ธนูออกจากแหล่งแล้ว ดึงกลับได้หรือ มันต้องปล่อย ให้วิ่งไปถึงเป้า ถึงจะถูกต้อง คนไหนที่ยังไม่ช่วย กรุณาช่วยกันด้วย จะได้ถึงเป้าไวๆ กรุณาอย่าโจมตีกันเลย
3. สำหรับท่านที่มีความรู้ นักปราชญ์ ราชบัณฑิตทั้งหลาย ก่อนวิจารณ์อะไร กรุณาเข้าไปศึกษาให้ละเอียดก่อนแล้ว ค่อยวิจารณ์ อย่าดูแต่ สื่อภายนอก แล้วเอาไปวินิจฉัย มันจะเพี้ยนไปหมด เหมือนด๊อกเตอร์ทำวิทยานิพนธ์ ถ้าไม่มีข้อมูลที่ดีพอ นั่งเทียนไปก็พลาดได้ จะได้ไม่ตกเป็น เครื่องมือของผู้หวังดี แต่ประสงค์ร้าย
4. อะไรคือแก่นแท้ของพุทธศาสนา? ข้อนี้เถียงกันไม่จบ อันนี้ผมยอมรับ เข้าไม่ถึงจริงๆ รู้แต่ว่าสุดยอดคือนิพพาน ซึ่งผมก็ไปไม่ถึง แต่ผมว่า ก่อนจะเข้าถึงแก่น ก็ต้องผ่านเปลือก ผ่านกระพี้ ผ่านเนื้อไม้ก่อนตามลำดับ ถึงจะเจาะถึงแก่นได้ และแก่น ก็ต้องอาศัยพวกนี้แหละ ถึงจะเกิดเป็นแก่นได้ อยู่ๆ ต้นไม้จะมีแต่แก่นมันเป็นไปได้
ก่อนจะนิพพานได้ ต้องสร้างบุญบารมีมาก่อน ต้องสร้างทาน มีศีล มีสมาธิมากพอจึงจะเข้านิพพานได้ จู่ๆ จะเข้าถึงนิพพานเลย เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าของเรา ยังต้องสร้างบารมี มาหลายร้อยชาติ ถึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ทางที่จะไปให้ถึง ที่สุดแห่งธรรม เห็นว่ามีตั้งหลายวิธี และมีหลายสำนัก แล้วแต่จริตของคนว่า ชอบวิธีไหน บางคนชอบพุทโธ บางคนชอบสัมมาอะระหัง บางคนชอบยุบหนอพองหนอ บางคนชอบ เพ่งน้ำ เพ่งไฟ แล้วแต่ อันนี้อย่าเถียงกันเลยว่าใครดีกว่า
5. บุญ-บาป นรก-สวรรค์ ปาฏิหาริย์ มีจริงหรือไม่ ที่เอามาเป็นจุดขายกันอยู่นี่นะ ส่วนตัวผมแล้วเชื่อว่ามีจริง คนไหนที่ไม่เชื่อเรื่อง บาป-บุญ นรก-สวรรค์ มีจริง ให้ระวังคนนั้นให้ดี เพราะว่าเขาจะสามารถทำความชั่วอะไรก็ได้ โดยไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป คนแบบนี้อย่าเข้าใกล้ ควรอยู่ห่างๆ ไว้ ห้ามคบค้าสมาคม โดยเด็ดขาด อาจถูกหักล้างเมื่อใดก็ได้ ตามที่เขาต้องการ
ส่วนปาฏิหาริย์นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ยังทรงตรัสไว้ว่า "เราไม่ควรตัดเสียเลยว่า ปาฏิหาริย์นั้นไม่มี ปาฏิหาริย์นั้น ย่อมมีได้ เพราะว่ามันเป็นของแปลกอยู่" (คัดเอามาจากคอลัมน์เหนือฟ้า-ใต้บาดาล ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 27 ธ.ค.41)
ยิ่งเป็นพระยิ่งแย่ใหญ่ ห้ามว่าเลย เพราะท่านเองต้องสวด ต้องให้พรอยู่ทุกวัน อย่างบทให้พรว่า ภะวะตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ - ธรรมานุภาเวนะ - สังฆานุภาเวนะ สะทาโสตถี ภะวันตุเต ที่แปลว่า ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทวดาทั้งปวง จงรักษาท่าน ด้วยอานุภาพแห่ง พระพุทธ - พระธรรม - พระสงฆ์ ทั้งปวง ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ
นี่นะ ไม่เชื่อจะไปเรียกเทวดาลงมารักษาทำไม ไปขออานุภาพมายังงี้ มันหลอกกันชัดๆ อย่างบทสวดพาหุง ยิ่งชัดใหญ่ มีหลายบท ที่เป็นปาฏิหาริย์ บทปราบมาร มารติเร ปราบช้างนาฬาคิริง ปราบองคุลีมาล หรือปราบพยานาคราชนันโทปะนัน นี่อิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์ล้วนๆ
6. สำหรับเรื่องข่าวทางเลวร้ายที่ทางสื่อที่ไม่หวังดี นำมาลงเสนอนั้น ถ้าท่านได้มาสัมผัสกับวัด มารู้จัก มาศึกษาอย่างจริงจัง จะรู้ว่า สื่อสร้างเรื่องใส่ร้าย ไม่เป็นความจริงเลย อย่างเช่นเสนอข่าวว่า มีคนของวัดพระธรรมกายมาจ้างให้บวชชี 3 เดือน คนละ 100,000 บาท จำนวน 200 คน ลองใช้ปัญญาคิดว่า จะมีเศรษฐีปัญญาอ่อนที่ไหนจ ะต้องมาทำอย่างนี้ มันได้ประโยชน์อะไร ต้องลงทุนตั้ง 20 ล้าน จ้างคนมาบวช 3 เดือน
ทำไมต้องไปทำอย่างนี้ แล้วผลสุดท้าย ไม่มีใครจ่ายเงิน เอ้า ก็ว่าเขาโกงอีก เอาทั้งขึ้นทั้งล่อง วางแผนกันหน้าด้านๆ อย่างนี้เลย แล้วเอามาลงข่าว โจมตีวัดธรรมกาย ใครไม่ทันคิดให้ดี อาจจะหลงเชื่อได้ง่ายๆ
แล้วกระทั่งการที่มีเศรษฐีมหาเศรษฐี มาทำบุญวัดนี้มากมาย ก็ยังเอาไปหาว่า วัดนี้มีแต่คนรวยมาทำบุญ แน่ะคนรวยมาทำบุญก็ไม่ได้ ก็จะไปว่าเขาได้ยังไง คนเขาทำธุรกิจ ทำมาค้าขาย ร่ำรวย แล้วเป็นคนใจบุญ นำเงินมาทำบุญก็ดีแล้ว ตัวเองไม่ทำแล้วยังจะไปหาเรื่องเขาอีกแน่ะ
พระของขวัญก็เหมือนกัน ตั้งชื่อให้เป็นสิริมงคล ให้เพราะก็ไม่ได้ พระมหาสิริราชธาตุ ก็ว่าเอาแร่ธาตุอะไร มาตั้งชื่อซะไพเราะเพราะพริ้ง เกินความจริง ล่อลวงให้หลง งามงาย พระรุ่นดูดทรัพย์ ก็เสียดสีว่าดูดได้จริงหรือเปล่า
ผมว่า ดูดได้หรือไม่ได้มันอยู่ที่คน เอาไปใช้ เอาไปแล้ว ขยันทำมาหากินก็ดูดได้ ขี้เกียจก็ไม่ดูด การตั้งชื่อในสิ่งที่เรารัก เราชอบ อย่างชื่อลูก ชื่อคนเราก็สรรแต่ชื่อดีๆ มาตั้งให้ ใครจะไปตั้งชื่อร้ายๆ มาทำไม ขืนไปตั้งชื่อพระรุ่น "ทิ้งทรัพย์" หรือ "ผลาญทรัพย์" แล้วเอาไปเป็นของขวัญ ใครเขาจะเอา
สำหรับท่านที่เป็นผู้บริโภคข่าวสาร กรุณาพิจารณาดูว่า ข่าวสารนั้นมาจากไหน ผู้ให้ข่าวเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร หวังว่า อาจจะมีประโยชน์ ในการทำให้บางคนเข้าใจ และหันกลับมามองตัวเองว่า กำลังทำอะไรลงไป เป็นผลดีหรือร้ายต่อพุทธศาสนา ทั้งที่อาจจะหวังดี แต่อาจจะทำให้เกิดการแตกแยก
ถ้าทำถึงขั้นสังฆเภท หรือทำให้สงฆ์แตกแยกกัน ก็เข้าขั้นอนันตริยกรรมเชียวนะท่าน ผลของอนันตริยกรรม คือการตกนรกหมกไหม้ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดเชียวนะ จะบอกให้
เพราะฉะนั้นกรุณาไตร่ตรองให้ดี และหันมาร่วมมือสามัคคีกัน สืบสานพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ดีกว่ามาหาเรื่อง ทะเลาะกันเอง ให้คนศาสนาอื่นดูแคลนได้ จริงไหมครับ
วีระพล
อุณวิไล