ปีที่ 2 ฉบับที่ 786 ประจำวันอังคารที่ 7 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542 |
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2542 ที่ผ่านมา วัดพระธรรมกาย ได้จัดงานทอดผ้าป่าถวายแก่วัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งได้มีการจัดพิธีมุทิตาสักการะแก่พระภิกษุ-สามเณร ผู้สอบได้ เปรียญธรรม 9 ประโยค ไปในโอกาสเดียวกันด้วย
ในวันนี้ ได้มีพระภิกษุ สามเณร จากจังหวัดต่างๆ เดินทางมาร่วมงานอย่างมากมาย ประมาณกว่า 10,000 รูป ท่ามกลางพุทธศาสนิกชน ผู้ศรัทธาทำบุญอีกร่วมแสนคน เป็นภาพงานบุญ ที่น่าปีติ และแสดงถึงความเจริญมั่นคงของพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น ได้มีกระแสขัดขวาง ต่อต้านจากทางการ โดยกรมการศาสนา และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล มีคำสั่งห้ามพระภิกษุ สามเณร จากทุกวัด มาร่วมงานดังกล่าว
ปรากฏการณ์ที่ปรากฏประการหนึ่ง เป็นเครื่องวัดพลัง ระหว่างอำนาจกับความศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศรัทธาที่รองรับด้วยปัญญา อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา ดูการเสนอ ข่าวของสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในครั้งนี้ พบว่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทั้งไทยรัฐ พิมพ์ไทย มติชน แนวหน้า เดลินิวส์ ข่าวสด บ้านเมือง และสยามรัฐ ต่างรายงานจำนวนพระภิกษุ สามเณร ที่มาร่วมงานใกล้เคียงกัน ระหว่าง 7,000 - 10,000 รูป และประชาชนระหว่าง 50,000 - 100,000 คน ซึ่งก็ไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงจนเกินไปนัก เพราะแน่นอนว่า คาดประมาณจำนวนคนเป็นหมื่น เป็นแสนนั้น ย่อมมีโอกาสผิดพลาดได ไม่มากก็น้อย
แต่การคาดประมาณของไอทีวี ที่เสนอข่าวว่า มีพระภิกษุสามเณรมาร่วมงาน เพียงแค่ 300 รูป ประชาชนเพียงแค่ 5,000 คนนั้น น้อยกว่าที่สื่ออื่นๆ เสนอหลายเท่าตัวนัก
ข้อมูลที่แตกต่างดังกล่าว ถือเป็นข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริงจนเกินไป หากเมื่อเทียบกับหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ จำนวนพระภิกษุ สามเณร ก็น้อยกว่าถึง 30 เท่าตัว จำนวนของ ประชาชนก็น้อยกว่าถึง 14 เท่าตัว นี่เป็นเพราะความบกพร่องทางสายตาของผู้สื่อข่าวและช่างภาพ? หรือเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคประการใด? หากเมื่อพิจารณา จากการเสนอข่าว วัดพระธรรมกาย ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา และโดยเฉพาะ เมื่อได้ยิน ได้ฟัง เรื่องราวของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ จากอีกหลายๆ ฝ่าย ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก อันใดเลย
จึงกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่า ไอทีวี ตั้งใจเสนอข่าวบิดเบือนความจริง โดยการกดตัวเลขผู้ที่มาร่วมงานให้ต่างจากความเป็นจริง ชนิดขาวเป็นดำ ให้ดูเหมือนว่า กิจกรรมแห่ง ความร่วมมือร่วมใจของพุทธบริษัทครั้งนี้ลมเหลว ราวกับว่า พุทธศาสนาในประเทศของเรานั้น ไม่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้กระนั้น !!!
ไอทีวี มีเจตนาใดในการเสนอข่าวเยี่ยงนี้? ไม่มีใครสามารถทราบได้ แต่ที่กล่าวได้แน่นอน ณ ที่นี้คือ ไอทีวีกำลังหลอกลวงประชาชน โดยนำเสนอข่าวที่บิดเบือนความจริง
ขณะที่หลายๆ คนเป็นแฟนรายการข่าวภาคต่างๆ ของไอทีวี ที่มีให้ดูตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงกว่าเที่ยงคืน บัดนี้หลายๆ คน ไม่เพียงประชาชนที่ศรัทธาในวัดพระธรรมกาย ยังมี บุคคล องค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ ที่เคยสัมผัสรับรู้ มีประสบการณ์ตรง กับไอทีวีมาก่อน ได้ดูข่าวไปบนพื้นฐานของความไม่เชื่อถือ ไม่แน่ใจไอทีวี ที่ประกาศตัวอยู่เสมอ ว่าเป็น ทีวีเสรีของประชาชนนั้น แท้จริงแล้วเป็นเสรีในการใช้ฐานันดร 4 ของใครกันแน่ ?
จุดกำเนิดของไอทีวี
จุดเริ่มต้นของการให้กำเนิดไอทีวี มาจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี พ.ศ. 2535ในเหตุการณ์นั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ซึ่งล้วนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ต่างนำเสนอ ข่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น มีประชาชนมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลแสนคน ก็รายงานข่าวว่า มีคนมาแค่ 2-3 หมื่นคนบ้าง รายงานความเป็นไปของเรื่องราว อย่างมีอคติ ทำให้ เกิด ความรู้สึกในแง่ลบกับผู้ชุมนุมบ้าง ทั้งๆ ที่ทุกคนมาชุมนุมกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งการรายงานข่าวที่บิดเบือนเช่นนั้น ถูกโจมตีจากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ อย่างรุนแรง ประชาชน เลิกให้ความเชื่อถือ รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ หันมาติดตามข่าวจากหนังสือพิมพ์ หรือไปดูเหตุการณ์พิสูจน์ความจริง ด้วยตาตนเอง ยิ่งทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมกัน เพิ่มจำนวน มากขึ้น และถือเป็นประวัติศาสตร์ หน้าสำคัญ อีกหน้าหนึ่งของการเมืองไทย
หลังจากเหตุการณ์สงบลง รัฐบาลลาออก และที่สุดมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ประชาชนมีความเห็นตรงกันว่า การนำเสนอข่าว ที่บิดเบือนความจริง ของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ นั้น ไม่ถูกต้อง และทราบว่า ที่เป็นเช่นนั้น เพราะสถานีโทรทัศน์ที่มีอยู่ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า น่าจะมีสถานีโทรทัศน์สักช่องหนึ่ง ที่เป็นทีวีเสรี นำเสนอ รายการข่าวเป็นหลัก โดยไม่มีอำนาจรัฐเข้าแทรกแซง เพื่อมิให้เกิดปรากฏการณ์เหมือนช่วงพฤษภาทมิฬอีก
ทีวีเสรีวันนี้ ไม่เป็นดังหวัง
แต่แล้ว ปีที่ผ่านมาของไอทีวี ซึ่งเน้นย้ำสโลแกนสวยหรูตลอดมาว่า ไอทีวี ทีวีเสรี ก็ไม่เป็นไปตามสังคมคาดหวัง ปัญญาชนหลายคน ถามกันเองว่า หรือไอทีวี ได้ละทิ้ง ปรัชญา แนวคิดอันเป็นจุดกำเนิดของตัวเองเสียแล้ว?
แม้ในยุคเผด็จการที่สถานีโทรทัศน์ของรัฐ ต้องเสนอข่าวไม่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อรับใช้ หรือสนองอำนาจรัฐ อย่างมากก็เสนอข่าวผิดจากความจริงไปสัก 4-5เท่า (ในกรณี จำนวนตัวเลข) ก็นับว่าผิดจรรยาบรรณมาแล้ว แต่ในยุคประชาธิปไตยที่เราแสนภูมิใจนี้เล่า ได้มีสถานีโทรทัศน์ที่เรียกตัวเองว่า ทีวีเสรี กล้าบิดเบือนความเป็นจริง หลายต่อหลาย เท่าตัวขนาดนี้
บนความเพลิดเพลินกับลีลาการเสนอข่าวที่ฉับไว ลีลาการรายงานข่าวของนักข่าว หรือการเสนอข่าวกึ่งสนทนาของผู้ประกาศข่าว . เราในฐานะประชาชน รู้สึกผิดหวัง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า เมื่อคิดลึกซึ้งไปว่า บนลักษณะที่เหมือนทีวีเสรีนั้น มีความไม่ถูกต้องแทรกซึมอยู่ร่ำไป
จากกรณีตัวเลขง่ายๆ ที่หยิบยกมาจากวงสนทนาครั้งนี้ ที่จริงก็ไม่อาจถือสา หรือนำมาเป็นอารมณ์ เพราะการทำข่าวโทรทัศน์ต้องอาศัยความรวดเร็ว ผู้ทำข่าว อาจไม่มีเวลา กลั่นกรองข้อมูลเพียงพอ แต่ตัวเลขที่คลาดเคลื่อนนี้ มันมากเกินไป มากจนเกินกว่าจะทำใจยอมรับได้ ยิ่งกว่านั้น ไอทีวี ยังรายงานตัวเลขที่สร้างขึ้นมา อย่างเสรีนี้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทุกๆ ช่วงข่าวก็คงยังยืนยันตัวเลขนี้เป็นหลักโดยตลอด
หรือไอทีวี กำลังพยายามใช้ศักยภาพในการเป็นสื่อโทรทัศน์ของตน ออกข่าวเป็นเชิงชี้นำ ด้วยลักษณะที่มีความรวดเร็วกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ ไอทีวีมุ่งหวังหรือไม่ ที่จะให้สื่อหนังสือ พิมพ์ เสนอตัวเลขผู้มาร่วมงานให้น้อยๆ ลงเช่นเดียวกับตน และเพื่อเหตุผลใด?
หรือต่อไปเมื่อประชานที่ฉุกใจได้คิด เมื่อดูข่าว ก็จะต้องพยายามคิดไปด้วยหรือเปล่าว่า หน่วยงานหรือองค์กรที่กำลังตกเป็นข่าวนั้น ไอทีวี ชอบหรือเกลียด? เราจะต้อง หยุดคิด พิจารณากี่รอบ แม้เมื่อข่าวจบไปแล้ว ต้องติดตามดูชะตากรรมของผู้ตกเป็นข่าวอย่างไร และในกรณีที่เป็นตัวเลข จะต้องเอาตัวเลขใดมาคูณหรือมาหาร เพื่อหาค่าเฉลี่ย ที่ใกล้เคียง กับความเป็นจริง
ฝากไว้ให้ไอทีวี
คุณค่าที่แท้จริงของสื่อมวลชน อยู่ที่ความน่าเชื่อถือ สื่อมวลชนที่ดีต้องวางตัวเป็นกลาง ประการสำคัญ ต้องนำเสนอข้อมูลที่เป็นจริงให้ประชาชนทราบ รู้จักตัวเองเสมอว่า สื่อเป็นเพียงผู้นำสารสู่ประชาชนส่วนการตัดสินเป็นหน้าที่ของประชาชน จึงไม่ควรที่จะยัดเยียดความคิดแก่ประชาชน ไม่ควรโน้มน้าว หรือยัดเยียด ความคิดใครให้เหมือนตน เมื่อใด ที่สื่อพยายามบิดเบือนความจริง เมื่อนั่นก็เท่ากับว่า สื่อกำลังทำลายความน่าเชื่อถือ อันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของตน
และสุดท้ายพึงระลึกเสมอว่า ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และภายใต้รัฐธรรมนูญ ทุกคนมีสิทธิเสรีภพ เท่าเทียม กัน ขอได้โปรดระลึกถึงสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นบ้าง อย่าได้ใช้ความมีเสรีทำลายใครเลย
"อิสรชน"