ปีที่ 2 ฉบับที่ 812 ประจำวันอาทิตย์ที่ 3 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

ชี้นิคหกรรมยุติ กม.ห้ามอุทธรณ์

พระเถระผู้ใหญ่แจง มส.แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่า พระธัมมชโยผิด อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่ผิด ถึงผิดก็ควรว่ากล่าวตักเตือนกันในหมู่สงฆ์ ไม่ควรให้ฆราวาสเข้ามาเกี่ยวข้อง บ่นอยากให้นิคหกรรมจบสิ้นโดยเร็ว ผวาสื่อมวลชนแตกประเด็นตีข่าวออกไปอีก เตือนสื่ออย่าเอาเรื่องพระนิพพานเป็นอัตตา-อนัตตา ไปถามพระ ให้ถามตัวเองว่า กิเลสของตัว มีมากน้อยแค่ไหน ด้านนักกฎหมายระบุ นิคหกรรมพระธัมมชโยจบแล้ว ศาลชั้นต้น ไม่รับฟ้อง ตามข้อ 15 (2) ซึ่งผู้กล่าวหา หรือคำกล่าวหาบกพร่อง ให้คดีเป็นที่สุด ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์-ฎีกา 

สืบเนื่องจากกรณีที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี สั่งไม่รับคำกล่าวหาของผู้กล่าวหา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระธัมมชโย) โดยความเห็นชอบของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น นักกฎหมาย ได้ให้ความเห็นว่า คำสั่งนั้น ถือเป็นที่สุดแล้ว ตามกฎนิคหกรรม ข้อ 15(2) ที่ระบุว่า ถ้าปรากฏว่า ผู้กล่าวหาในวรรคต้น หรือ คำกล่าวหานั้นบกพร่อง จากลักษณะดังกล่าว ในวรรคต้น ให้สั่งไม่รับคำกล่าวหานั้น โดยระบุข้อบกพร่องไว้ในคำสั่ง และแจ้งให้ผู้กล่าวหาทราบ

คดีถึงที่สุด
แต่ถ้าเป็นกรณีความผิดครุกาบัติ ให้สั่งไม่รับคำกล่าวหานั้น โดยความเห็นชอบของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ตามที่กำหนดไว้ในลักษณะ 2 แล้วแต่กรณี คำสั่งไม่รับคำกล่าวหา ดังกล่าวนั้น ให้เป็นอันถึงที่สุด ดังนั้น เมื่อถึงที่สุดแล้วจึงไม่สามารถอุทธรณ์ ฎีกา หรือพิจารณาอะไรได้อีก

เนื่องจาก เจ้าคณะใหญ่หนกลาง อยู่ในฐานะหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ ส่วนมหาเถรสมาคม อยู่ในฐานะผู้พิจารณาชั้นฎีกา แต่เรื่องนี้ อุทธรณ์ฎีกา ไม่ได้ เจ้าคณะใหญ่ หรือมหาเถรสมาคม จึงไม่มีอำนาจมาพิจารณา

ส่วนมติมหาเถรสมาคมที่มีมติให้ เจ้าคณะภาค 1 รายงานผลการปฏิบัติงาน ตามกฎนิคหกรรม เป็นการให้แจ้งเพื่อทราบเท่านั้น มิใช่รายงานเพื่อพิจารณาวินิจฉัยแต่อย่างใด

เจ้าคณะปทุมฯ ปฏิบัติชอบ
นอกจากนี้ มีการกล่าวหาว่า เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี บกพร่อง ปฏิบัติไม่ตรงกับกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ข้อ 17-40 นั้น ก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะกฎข้อ 17-40 เป็นเรื่องการไต่สวนมูลฟ้อง ไปจนถึงการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น แต่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ยังอยู่ในขั้นตอนการรับหรือไม่รับ คำกล่าวหา เท่านั้น

นักกฎหมายให้ความเห็นต่อไปว่า ฆราวาสย่อมเป็นโจทก์ฟ้องพระได้ ตามกฎข้อ 4(6) แต่ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรง ตามข้อ 4(5) ส่วนกรณีผู้กล่าวหา คฤหัสถ์สามารถกล่าวหาได้ ตามข้อ 4 (8) ข. แต่เมื่อกล่าวหาแล้ว ผู้พิจารณาไม่มีอำนาจรับคำกล่าวหา เพราะกฎข้อ 15 ให้ตรวจลักษณะของผู้กล่าวหาตามข้อ 4(8) ก. คือ ต้องเป็นพระภิกษุปกตัตตะ หรือ สามเณร และลักษณะของคำกล่าวหา โดยอนุโลมตามล้กษณะตามคำฟ้องที่กำหนดไว้ในข้อ 12 (1) ก่อน แล้วจึงสั่งรับหรือไม่รับคำกล่าวหา

สั่งไม่รับคำกล่าวหา 
แต่กฏฯ ไม่ได้ให้อำนาจที่จะรับคำกล่าวหาของผู้กล่าวหาที่เป็นคฤหัสถ์ ตามข้อ 4(8) ไว้แต่อย่างใด ดังนั้น เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี จึงสั่งไม่รับคำกล่าวหา ซึ่งถือเป็นคำสั่งที่ชอบ ด้วยกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 แล้ว

ด้านพระเถระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า ขณะนี้ ในมหาเถรสมาคม มีความเห็นแตกกันเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า พระธัมมชโย ประพฤติผิดพระธรรมวินัย อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่เห็นว่า เป็นความผิด จึงยันกันอยู่ แต่โดยส่วนตัวอาตมาแล้ว เห็นว่า ควรใช้การตักเตือนในหมู่สงฆ์ด้วยกันเองมากกว่า ไม่ควรปล่อยให้ฆราวาสมากล่าวหาพระสงฆ์

ในการประชุมมหาเถรสมาคมหลายครั้ง มีการโต้แย้งถึงการทำผิดพระธรรมวินัยของ พระธัมมชโย โดยเฉพาะเรื่องพิธีการถวายข้าวพระพุทธเจ้า ที่มีการอ้างว่า พระธัมมชโย สามารถ นำข้าวปลาอาหาร ไปถวายพระพุทธเจ้าในนิพพาน ซึ่งถือเป็นการหลอกลวงให้ประชาชนงมงาย และขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระพุทธเจ้า สอนให้พึ่งพา ตนเอง และพระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นปัจจัตตัง คือต้องปฏิบัติ และรู้ได้ด้วยตนเอง ดังนั้น ลัทธิการเชื่อคำสอนของอาจารย์ จงขัดกับพุทธบัญญัติ

สงฆ์เตือนกันเองได้
ในเรื่องนี้ แม้อาตมามองว่า ไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ ด้วยกันเอง สามารถว่ากล่าวตักเตือนกันได้อยู่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดบางอย่าง ซึ่งมีคำสอน เช่นนั้น ออกมา ซึ่งหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ก็ไม่ได้สอนในเรื่องถวายข้าวพระพุทธเจ้า เรื่องนี้ คงต้องรอให้สถานการณ์ต่างๆ เบาลงกว่านี้ อาจจะเรียกตัวพระธัมมชโย มาชี้แจงว่า ทำไมถึงสอนแปลกออกไปจากคำสอนเดิมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

ส่วนเรื่องนิคหกรรมที่ฟ้องพระธัมมชโยนั้น อาตมาอยากให้จบลงไป เพราะหากมีการยืดเยื้อมาก สื่อมวลชนก็จะเอาไปเป็นประเด็นกล่าวหาพระผู้ใหญ่ว่า อุ้มกันอีก จริงแล้วไม่ได้อุ้ม แต่เป็นเรื่องความชอบธรรม คือผู้ที่กล่าวหา ดำเนินการไม่รอบคอบเอง ศาลชั้นต้นท่านจึงยกฟ้งอ ถ้ายังไม่พอใจคำวินิจฉัย อาจจะตั้งโจทก์ตั้งประเด็นฟ้องขึ้นมาใหม่ก็ได้ นี่เห็นว่า พระอดิศักดิ์ ที่เป็นอดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย จะฟ้องร้องอีก ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า คำฟ้องและคุณสมบัติของผู้ฟ้องมีความเหมาะสมหรือไม่

พระผู้ใหญ่ไม่พูดอัตตา-อนัตตา
ด้านความเห็นเรื่องพระนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตานั้น ในเรื่องนี้ พระเถระผู้ใหญ่ไม่ค่อยพูดถึงกันมากนัก เพราะพูดแล้วก็จะถกเถียงกัน เนื่องจากต่างฝ่ายต่างเห็นกันไป คนละ แนวทาง ทางที่ดีต่างฝ่ายต่างปฏิบัติ ได้ผลอย่างไร ย่อมรู้อยู่กับใจตนเองดี และคงบอกคนอื่นไม่ได้ เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก อาตมาว่า ผู้สื่อข่าวอย่าเอาเรื่องนี้ มาถามอาตมาเลย ให้ถามตัวเองกันดีกว่าว่า กิเลสของแต่ละคน ลดลงกี่มากน้อย

ตร.หวั่น อัยการยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองปราบปรามว่า เรื่องการดำเนินคดีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้น ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกหนักใจมาก เนื่องจากพยานหลักฐานที่ส่งไปยัง สำนักงาน อัยการสูงสุด น่าจะไม่เพียงพอต่อการผูกมัด เอาผิดเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ ทั้งนี้ อัยการได้เรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก แม้ว่า จะมีหลักฐานการโอนเงิน มากมาย ก็ตาม แต่เนื่องจากในคดีความผิดที่ทางตำรวจกล่าวหา ยังไม่มีผู้เสียหายที่ชัดเจน จึงเกรงว่า อัยการจะสั่งไม่ฟ้องคดี

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทางตำรวจ ได้ขอร้องให้อัยการ เลื่อนการพิจารณาออกไป จากเดิมที่กำหนดวันที่ 4 ต.ค. ไปเป็นกลางเดือน ต.ค. ซึ่งเชื่อว่า เมื่อถึงวันนั้น จะมีการแจ้งข้อ กล่าวหาเพิ่มเติม เพราะในคดีหลังๆ ที่กำลังสืบอยู่นี้ มีพยานหลักฐานมัดแน่นมากกว่า


[หน้าหลัก][หน้า1][เจาะคน][วิวาทะ]