ปีที่ 2 ฉบับที่ 812 ประจำวันอาทิตย์ที่ 3 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
สำนักข่าวต่างดาว เปิดแถลงแจงสี่เบี้ย ว่าด้วยเรื่อง กรณีวัดพระธรรมกาย ที่นับวัน ข่าวจะสร้างซาลง เพราะทุกอย่างได้เข้าดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมหมดแล้ว อาจจะมีการชกประปรายบ้าง แต่ไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นแค่เพียง "อาฟเตอร์ช็อค" เท่านั้น แล้วทั้งหมดก็จะจบลง
เรื่องกรณีวัดพระธรรมกาย ร่ายกันมายาวเกือบปี ไปๆ มาๆ เหมือนยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าจะมีการดำเนินคดีกับพระธัมมชโย ทั้งคดีทางโลก และทางสงฆ์
แต่เชื่อเถอะว่า การดำเนินคดีดังกล่าว กว่าจะสามารถดำเนินการได้เสร็จสิ้น คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีดีดัก รอกันจนเหงือกแห้ง
ทีนี้มันมีการขยายประเด็นออกไปอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่อง พ.ร.บ.สงฆ์ และพ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ที่ภาพยังคลุมเครืออยู่ เนื่องจากปรากฏว่า มีตัวพ.ร.บ.ผุดขึ้นมา
ในนครสารขัณฑ์จริง แต่ไม่มีผู้ใดกล้ายอมรับว่า ตัวเองเป็นผู้ร่าง
ใครๆ ก็รู้ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็น "เผือกร้อน" เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมก็ไม่มี พระบวชยาก แต่สึกง่าย
รวมทั้งมีการอนุญาตให้ฆราวาส
เข้ามาดูแลทรัพย์สินของพระ
พระกิตติวุฑโฒ ท่านเรียกกฎหมายทั้ง 2 ฉบับว่า เป็นกฎหมาย "ล้วงย่ามพระ" ซึ่งก็ถือว่า เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
สำหรับสถานการณ์ล่าสุดขณะนี้ แม้ว่าจะยังคงมีการผลักดัน กม.สงฆ์ออกมาอีก แต่เชื่อเถอะว่า ในเนื้อหาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะประเด็นหัวดำคุมสงฆ์
เนื่องจากประเด็นนี้ เป็น "ฮ็อตอิสชู่" พระทั้งประเทศเขาไม่ยอมรับ แม้จะยังไม่ถึงขั้นเดินขวนออกมาคัดค้าน แต่ความเคลื่อนไหวในทางลึก ปรากฏว่า "กระแสต้านรุนแรงยิ่ง"
จะเห็นได้ชัดเจนจากท่าที่ของ "เสี่ยตือ" ที่ออกมาระบุว่า ถ้ากฎหมายสงฆ์จะออกมา จะต้องมีการทำสังฆาพิจารณ์ หาความเหมาะสม ให้เป็น "อุดมธรรม"
สรุปก็คือ จะต้องฟังเสียงสงฆ์ทั้งประเทศ เพราะกฎหมายฉบับนี้ คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ พระสงฆ์ ดังนั้น ควรจะให้พระเข้ามามีส่วนในการร่างด้วย
ไม่ใช่ปล่อยให้พวกหัวดำ ที่บ้าอำนาจ บ้ากาม บ้าตัณหา เข้ามาร่าง แล้วโมเมแอบบังคับใช้ แบบที่กำลังทำกันอยู่
ตอนนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า จะมีการ "สังฆาพิจารณ์" กันจริงแบบที่ "เสี่ยตือ" ว่าหรือเปล่า ก็ต้อง "เวท แอนด์ ซี"
ประเนที่แตกออกไปอีกก็คือ การขัดแย้งกันเรื่องธรรมะ โดยเฉพาะประเด็น นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา
เรื่องนี้สำนักข่าวต่างดา ได้แอบย่องไปถามท่านผู้รู้เรื่องพระนิพพาน ด้วยการปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น โดยท่านผู้รู้ท่านบอกว่า การตรัสรู้เป็นพระอรหันต์นั้น มี 4 แบบ
ตามที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ได้ประกาศธรรมเอาไว้คือ
แบบแรก สุขวิปัสโก คือ พระอรหันต์ที่หมดกิเลส แต่ไม่รู้ไม่เห็น
แบบที่สอง เตวิชโช คือ พระอรหันต์ ที่ได้วิชชา 3 มีตาทิพย์ หูทิพย์ เห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
แบบที่สาม ฉฬภิญโญ คือ พระอรหันต์ ที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้
แบบที่สี่ ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ พระอรหันต์ที่ได้วิชชา 8 ประการ ของพระพุทธเจ้า คือทั้งรู้ทั้งเห็นครบเครื่อง
ดังนั้นเมื่อมองแบบอย่างที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนไว้ ก็ต้องยอมรับว่า ถ้าโลกนี้มีพระอรหันต์จริง ก็ต้องมีทั้ง 4 แบบ แต่แบบที่ทั้งรู้ทั้งเห็นมีน้อย เพราะปฏิบัติได้ยาก
ส่วนแบบแรก คือ สุขวิปัสโก ทำได้ง่ายกว่า ทีนี้การปฏิบัติของชาวพุทธในยุคหลัง เน้นแบบนี้มากที่สุด เพราะไม่ต้องการฝึกจิตให้เนฌานสมาบัติขั้นสูงเสียก่อน
ดังนั้นในปัจจุบัน จึงเหลือพระอรหันต์แบบแรก ค่อนข้างมาก พอพวกลูกศิษย์เชื่อว่า อาจารย์ตนไม่เห็นในสิ่งที่เหนือโลก เหนือธรรมชาติ ก็เลยพลอยเหมาปฏิเสธ
การปฏิบัติในแบบ หลังๆ มันก็เลยเกิดข้อพิพาทขึ้นมา
แม้กระทั้งพระธรรมปิฎก ที่ถูกยกย่องเป็นปราชญ์แห่งพุทธ ก็มองว่า การฝึกสมาธิ เป็นการกล่อมจิต เหมือนการเสพย์ยาเสพติด เพราะเห็นว่า ฌานสมาบัติ ไม่มีความจำเป็น
โดยลืมเลือนไปว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงสอน ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไว้ครบถ้วน
ดังนั้น การตัดหัวข้อ "สมาธิ" ที่บัญญัติไว้ในไตรสิกขาออกไป จึงถือว่า เป็นการบิดเบือนพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า
ความจริงน่าจะหนุนให้ผู้สนใจธรรมะ เรียนให้ครบทั้งไตรสิกขา ถ้าใครไปไม่ไหว ทำสมาธิไม่เก่ง ก็อาจจะทำแค่ ศีล และปัญญา แบบสุขวิปัสโก เขาทำกัน ก็ไม่เสียหาย
การสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ควรสอนให้ครบ
ส่วนใครจะปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน ก็สุดแท้แต่บุญบารมีของแต่ละคน
สำนักข่าวต่างดาว มีความเห็นเป็นแบบนี้ หวังว่าท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก คงไม่กล่าวหาว่า เราเลอะเทอะนะครับ