ปีที่ 2 ฉบับที่ 814 ประจำวันอังคารที่ 5 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

อัยการสั่งฟ้อง ธัมมชโย 2 คดี

พระธัมมชโยป่วยหนักถูกอัยการบีบฟังคำวินิจฉัย สั่งฟ้อง 2 ข้อหา เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และยักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย วีระศักดิ์ วอนขอความเห็นใจ เจ้าอาวาสแก่แล้ว และมีอาการป่วย น่าจะให้หายดีก่อน ค่อยดำเนินคดียังไม่สาย ประกันตัวไปแล้ว วงเงิน 3 ล้าน ด้าน ถาวร พรหมถาวร ถูกกองปราบอายัดตัว ส่งดำเนินคดี ที่เชียงใหม่ ข้อหาบุกรุกป่าสงวน ด้าน เสี่ยตือ รับลูกตำรวจ เตรียมเสนอปลดตำแหน่งเจ้าอาวาส ร่อนหนังสือถึงเจ้าคณะตำบลคลองหลวง ลูกศิษย์ธรรมกาย ฮือบุกกองปราบ ต่อรองขอประกันตัวถาวร ตำรวจยึกยัก หาคนเซ็นอนุมัติไม่ได้

เวลา 13.00 น. นายวิระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกาย เปิดเผยว่า พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จะไม่เดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่อัยการนัดในครั้งนี้ (4 ต.ค.) ธัมมชโยกับนายถาวร พรหมถาวร มารับฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องใน ๓ ข้อหา ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี วันนี้(๔ ต.ค.) เวลา ๑๓.๐๐ น. เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ มา ๔ -๕ วันแล้ว

ธัมมชโยป่วยจริง
ทั้งนี้ แพทย์ประจำมูลนิธิธรรมกาย ได้ตรวจอาการแล้ว พบว่า พระธัมมชโยเกิดอาการหวัดลงคอ อย่างแรง จนไม่มีเสียงพูด อย่างไรก็ตาม หลังจาก พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ หัวหน้าคณะสอบสวน เดินทางมาพบเจ้าอาวาส ก็พยายามเกลี้ยกล่อม ให้เดินทางไปพบอัยการ ซึ่งทางเจ้าอาวาสได้ตอบว่า ขอเวลาซัก 2-3 วัน เพื่อให้อาการทุเลา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ฟัง โดยอ้างว่า มาทำตามหน้าที่ และอัยการเร่งรัดมา

ดังนั้น ตนจึงอยากร้องขอความเป็นธรรม ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยว่า พระธัมมชโย อายุ 54 ปีแล้ว ไม่ใช่พระหนุ่ม และก็เจ็บป่วยมาตลอด จึงควรให้ความเป็นธรรมกับท่านด้วย ขนาดตอนท่านเดินทางไป ยังต้องขอรถพยาบาลฉุกเฉิน ซึ่งตนได้ถามตำรวจไปว่า ถ้าพระธัมมชโยเป็นอะไรไป ในระหว่างเดินทาง ใครจะรับผิดชอบ ทุกคนก็เงียบกันไปหมด

วันนี้ ตัดสินคดีเรียกสินบนธรรมกาย
หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกาย กล่าวด้วยว่า เวลา 09.00 น. วันนี้ (5 ต.ค) ศาลธัญญบุรี ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีนายอรรถพล ขาวศักดิ์ ที่อ้างตัวว่าเป็น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มาเรียกร้องเงินจากวัดพระธรรมกาย 5 ล้านบาทเพื่อล้มคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น. นายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความวัดพระธรรมกาย ได้เดินทางมาพบ พนักงานอัยการ พร้อมด้วย นายถาวร พรหมถาวร พล.อ.อ.วีระวุธ เลาวะเปารยะ พร้อมด้วยแพทย์ประจำมูลนิธิธรรมกาย คือ นายแพทย์พรชัย พิญญพงศ์ เพื่อยืนยันว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายป่วย และไม่สามารถเดินทางมาพบอัยการได้

ขอเลื่อนไปวันที่ 20 ต.ค.
โดยนายแพทย์พรชัย พิญญพงศ์ เปิดเผยว่า พระธัมมชโยป่วยเป็นโรคเบาหวาน และโรคหลอดลมอักเสบ เนื่องจากติดเชื้อหวัด อย่างไรก็ดี หากอัยการไม่เชื่อ ก็ตัองไปรับตัวมาจากวัด แต่หากอัยการไม่เชื่อ และต้องพาตัวมา ก็อาจถึงขั้นช๊อกได้ ซึ่งจะขอเลื่อนฟังคำวินิจฉัยของอัยการ ไปในวันที่ 20 ธันวาคมนี้

นายสนธยากล่าวหลังเข้าพบพนักงานอัยการว่า ทางอัยการได้มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน สั่งทีมแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ ไปตรวจพระธัมมชโยว่า มีอาการป่วยจริงไม่ จึงยังไม่ทราบว่า จะมีการเลื่อนให้พระธัมมชโย มาพบพนักงานอัยการ ตามที่ร้องขอหรือไม่ อย่างไรก็ดี ยืนยันว่า ขณะนี้ พระธัมมชโยมีอาการป่วยอย่างรุนแรง ถึงขั้นต้องนอน ให้น้ำเกลือ ซึ่งต้องพักรักษาตัวอย่างน้อย 3 สัปดาห์

อัยการฟ้อง 2 ข้อหา
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า เมื่อเวลา 14.30 น. พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแล้ว ใน 2 ข้อหา คือ เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และเป็น เจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนนายถาวร พรหมถาวร ศิษย์ใกล้ชิดนั้นมีคำสั่งฟ้องในข้อหา สนับสนุนเจ้าพนักงาน ยักยอกทรัพย์ และสนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ทั้งนี้ พระธัมมชโยเดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อรับฟังคำสั่งฟ้องดังกล่าว โดยรถพยาบาลของโรงพยาบาลเอกปทุม ซึ่งถึงสำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อเวลา 15.30 น.

นายพันธ์ สุริยพร รองอัยการสูงสุด แถลงข่าวกรณีการพิจารณาคดี ซึ่งกล่าวหาว่า พระธัมมชโย ผู้ต้องหาที่ 1 และนายถาวร พรหมถาวร ผู้ต้องหาที่ 2 ได้กระทำความผิด ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ ได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้น เป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุน เจ้าพนักงาน ปฎิบัติ และละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ โดยทุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

โดนคดียักยอกทรัพย์
คณะทำงานฯซึ่งได้รับมอบหมายจากสำนักงานอัยการสูงสุด ได้พิจารณาสั่งคดีวัดพระธรรมกาย ได้ตรวจสำนวนการสอบสวน เฉพาะกรณีที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 กับพวก ได้ร่วมกันเบียดบังยักยอกเงินของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท เพื่อประโยชน์ของผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกแล้ว ได้มีคำสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ผู้มีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังเอาทรัพย์นั้น เป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติและละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด และให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ร่วมกันใช้เงินคืน หรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวข้างต้น แก่วัดพระธรรมกายผู้เสียหาย ด้วย

เหตุที่คณะทำงานฯ พิจารณาสั่งฟ้อง สำหรับกรณีที่ผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 ร่วมกัน เบียดบัง ยักยอกเงินของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาทนี้ก่อน เพราะคณะทำงานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำผิดที่ได้สั่งฟ้องนี้ อาจแยกออกจากการกระทำผิดกรรมอื่นๆ ได้

ดังนั้น เพื่อมิให้การดำเนินคดี ต้องล่าช้า คณะทำงานฯ จึงสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง เฉพาะกรณีนี้ไปก่อน ส่วนการกระทำผิดอื่น ที่ผู้ต้องหากับพวก ถูกกล่าวหานั้น จะพิจารณาสั่งคดีต่อไป

ทั้งนี้ตามมาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป้นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริต ยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปีหรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000 - 40,000 บาท

เจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติ
และมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฎิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฎิบัติ หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อเวลา 15.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระธัมมชโยเดินทางมาพบพนักงานอัยการ โดยรถพยาบาลภายใต้การควบคุมของ พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ หัวหน้าพนักงานสอบสวน และเมื่อมาถึง ก็ถูกนำตัวไปพบอัยการขณะเดียวกัน ญาติธรรมผู้ใกล้ชิด ได้เตรียมหลักทรัพย์จำนวนหนึ่ง รอยื่นประกันตัวต่อศาลอีกด้วย

ลูกศิษย์ให้กำลังใจ
ปรากฏว่า หลังจากที่พระธัมมชโยเดินทางมาถึงศาล ลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย จำนวนหลายร้อยคน ก็ได้เดินทางมาให้กำลังใจเจ้าอาวาส แต่เนื่องจากศาลได้ให้ประกันตัวเจ้าอาวาสเพียงองค์เดียว ส่วนนายถาวร ได้ถูกอายัดตัว ไปที่กองปราบปรามฯ เหล่าลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย จึงได้เดินทางไปให้กำลังใจ นายถาวร ส่วนพระธัมมชโยเดินทางกลับวัดไปตามปกติ

พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน คดีวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า แพทย์ได้ตรวจอาการพระธัมมชโยแล้วพบว่า ไม่ได้ป่วยมาก ถึงขนาดไปไหนมาไหนไม่ได้ ตนใช้เวลาไม่นานนัก เข้าไปพูดคุย ขอร้องให้มาพบอัยการ ตามนัดหมาย
พระธัมมชโย จึงตัดสินใจ มาพบอัยการ

สำหรับคำฟ้องที่อัยการยื่นฟ้องพระธัมชชโย และนายถาวร ต่อศาลอาญา มีความยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ ระบุว่า พระธัมมชโยจำเลยที่ 1 และนายถาวร จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับพวก ร่วมกันและสนับสนุนกัน เบียดบัง ยักยอกเอาเงินของวัดพระธรรมกาย ที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขารังสิต

ออกเช็ค 5 ใบ
โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเช็ค สั่งจ่ายเงิน ถอนเงินจากบัญชีวัดพระธรรมกาย โอนไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา วังทรายพูน จังหวัดพิจิตร แล้วเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ของจำเลยทั้งสองกับพวก โดยทุจริต โดยนำเงินไปซื้อ ที่ดินบริเวณเขาพนมพา อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ อันเป็นการร่วมกัน และสนับสนุนกันปฏิบัติ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่วัดพระธรรมกาย ผู้อื่น และประชาชน

การเบียดบังยักยอกเงินของวัดธรรมกาย ของจำเลยทั้งสอง มีขึ้นตั้งแต่ปี 2535-2536 รวม 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2535 มีการโอนเงินเข้าบัญชีนายถาวร จำนวน 1 ล้านบาท ครั้งที่ 2 จำนวน 1 ล้านบาท ครั้งที่ 3 จำนวน 3 แสนบาท ครั้งที่ 4 จำนวน 2 ล้านบาท และครั้งที่ 5 อีกจำนวน 2.5 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6.8 ล้านบาท ทั้งนี้ นอกจากอัยการจะยื่นฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 2 ใน 2 ข้อหาดังกล่าวแล้ว ยังได้ขอให้จำเลยทั้งสอง ชดใช้เงิน จำนวน 6.8 ล้านบาท คืนแก่วัดพระธรรมกาย ผู้เสียหายด้วย

สืบพยานครั้งแรก 18 พ.ย.
ในการยื่นฟ้องต่อศาลครั้งนี้ ไม่ได้มีการนำพระธัมมชโย ไปทำการชี้สองสถาน ในห้องพิจารณาคดีปกติ แต่มีการอ่านคำฟ้อง ให้จำเลยทั้งสองรับทราบ ซึ่งจำเลยทั้งสอง ให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ เวลา 09.00 น.

ส่วนการประกันตัว จำเลยทั้งสอง ใช้หลักทรัพย์เป็นสมุดบัญชีเงินฝาก ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ คนละ 3 ล้านบาท ขอประกันตัวจากศาล ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองคน แต่นายถาวรถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัว ไปดำเนินคดีในอีกคดีหนึ่ง ในข้อหาบุกรุกป่าสงวน ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่ สภ.อ.แม่แตง ขออายัดตัว เพื่อนำไปดำเนินคดีต่อไป

คุมตัว "ถาวร" เครียด 
บรรยากาศที่กองปราบปรามฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดาลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้พยายามต่อรองให้ตำรวจ อนุญาตประกันตัว นายถาวร ซึ่งสามารถตกลงกันได้ ในวงเงินประกัน 6 แสนบาท แต่ทางตำรวจที่มีหน้าที่ กลับไม่ยอมเซ็นอนุญาตประกัน โดยไม่ทราบว่า หายตัวไปไหน โดยทางลูกศิษย์ด ได้พยายามโทร.ติดตาม ก็รับปากว่า จะเดินทางมาโดยเร็ว ซึ่งปรากฏว่า จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. ก็ยังไม่ได้รับการประกันตัว

เข้าใจว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ คงพยายามดึงเรื่องไว้ เพราะจะต้องนำตัวนายถาวร เดินทางไปที่ สภ.อ.แม่แตง เพื่อดำเนินคดีที่เคยถูกแจ้งความว่า รุกป่าสงวนในตอนเช้าวันนี้

สมศักดิ์เตรียมปลดเจ้าอาวาส
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายหลังการหารือกับนายจรวย หนูคง ที่ปรึกษาด้านการศาสนา ว่า ได้รับรายงานทางโทรศัพท์จากพล.ต.ท.วาสนาแล้ว ว่า คดีของวัดพระธรรมกาย อัยการสูงสุด ได้ยื่นฟ้องพระธัมมชโย 2 ข้อหา และศาลจะนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกใน วันที่ 18 พฤศจิกายน 
ดังนั้น สามารถที่จะนำกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อ 56 มาดำเนินการกับพระธัมมชโยได้ ซึ่งตนจะนัดหารือกับนายวิชัย ตันศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาฯ วันนี้ (5 ต.ค.) เพื่อให้กรมการศาสนา มีหนังสือไปยัง เจ้าคณะตำบล ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย ให้พิจารณาตามกฏดังกล่าว ที่ระบุว่า พระสังฆาธิการรูปใด ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา และอยู่ระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยต่างๆ อยู่ 

หากผู้บังคับบัญชาเห็นว่า ถ้าคงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ ในระหว่างการพิจารณา จะเป็นการเสียหายแก่คณะสงฆ์ ให้สั่งพักตำแหน่งหน้าที่ได้ และการให้สั่งพักตำแหน่งนั้น ให้พักไปตลอด จนกว่าจะมีการพิจารณาแล้วเสร็จ และหากคดีสิ้นสุดแล้ว ปรากฏว่า พระสังฆาธิการที่ถูกสั่งให้พัก ไม่มีความผิด ไม่มีมลทิน ต้องสั่งให้พระสังฆาธิการรูปนั้น กลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิม

เมื่อมีการสั่งพักตำแหน่งแล้ว จะให้มีการรายงานไปตามลำดับชั้น จนถึงผู้ที่มีอำนาจในการแต่งตั้ง และแจ้งกรมการศาสนา ภายใน ๓๐ วันนับแต่ที่มีการสั่ง ถ้าหากพระสังฆาธิการไม่พบว่ามีความผิดแต่มีมลทินหรือมัวหมองก็ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งพิจารณาว่า ถ้าให้กลับเข้ารับหน้าที่อีก อาจเสียหายต่อพระสงฆ์ ก็ให้สั่งปลดจากตำแหน่งนั้นได้

นายพนม พงษ์ไพบูลย์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดข้อหาที่อัยการสั่งฟ้องพระธัมมชโย เพราะจะต้องดูว่า คดีที่อัยการสั่งฟ้องนั้น เป็นคดีทางแพ่งหรืออาญา เป็นเรื่องที่รุนแรงหรือไม่ และศาลพิจารณาให้ประกันตัวหรือไม่ ถ้ายังให้ประกันตัวได้ พระธัมมชโยก็ยังไม่ต้องพิจารณา ให้ละสมณเพศและสามารถสู้คดีได้ จนกว่าศาลจะตัดสินคดีถึงที่สุด

อย่างไรก็ตาม กรณีอัยการสั่งฟ้องนี้ ทางด้านพระธรรมวินัยสามารถนำความเห็นนี้ มาพิจารณาดำเนินการได้ แต่จะทำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะผู้ปกครอง

ถามว่าอัยการสั่งฟ้องแต่ศาลยังไม่ได้ตัดสินคดีถึงที่สุด คณะสงฆ์ทำอะไรได้ไหม ตอบว่าได้ แต่ท่านจะทำหรือไม่ ไม่ทราบ และการจะพิจารณา ไม่จำเป็นต้องให้ศาลสิ้นสุดก่อน ทางคณะปกครองตามสายบังคับบัญชาตั้งแต่เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่หน จะพิจารณาดูได้ตามพระธรรมวินัย ผมคิดว่า ท่านคงรอดูความผิดก่อนว่า รุนแรงขั้นใด ถ้าความผิดรุนแรงมาก คงจะพิจารณา ถ้าเป็นความผิดทางแพ่ง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ต่อข้อถามว่า จะเสนอให้คณะปกครองทางสงฆ์ พิจารณาหรือไม่ นายพนม กล่าวว่า ต้องเป็นหน้าที่ของกรมการศาสนา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มาปรึกษาตน ถ้าปัญหามีมาก ถึงไม่มาปรึกษาตน คงจะเข้าไปให้คำแนะนำ แต่นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา เป็นคนเก่งอยู่แล้ว ไม่น่าเป็นห่วง


[หน้าหลัก][หน้า1][เจาะคน][สหัสวรรษ][วิวาทะ]