ปีที่ 2 ฉบับที่ 818 ประจำวันเสาร์ที่ 9 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
เมื่อวานนี้ ผมเขียนเรื่องนิติธรรม หรือ Rule of law ซึ่งผมคิดว่า แม้นักกฎหมายรุ่นใหม่บางคนก็อาจไม่เข้าใจ ซึ่งอันนี้จะโทษไม่ได้หรอก เพราะสมัยที่ผมเรียนกฎหมายนั้น
โชคดีที่ อาจารย์ผู้สอน สมัยก่อนเป็นอาจารย์ระดับปรมาจารย์ ซึ่งได้ผ่านสังคมกฎหมายของโลกมาอย่างช่ำชอง เห็นโลกมากว้าง จึงอธิบายได้ลึกซึ้งกินใจ
อาจารย์ที่ให้คติเรื่องนี้ถ้าผมจำไม่ผิด มีสองท่านคือ ท่านอาจารย์บัญญัติ สุชีวะ ซึ่งภายหลังได้เป็นประธานศาลฎีกา และอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร
ซึ่งภายหลังเป็น
นายกรัฐมนตรี ของไทย ปัจจุบันเป็นองคมนตรี และอีกอาจารย์หนึ่งคือ อาจารย์วิกรม เมาลานนท์ ซึ่งภายหลังเป็นประธานศาลฎีกา เช่นเดียวกัน
นักกฎหมายรุ่นก่อนจึงได้เปรียบ เพราะอาจารย์ที่กล่าวถึงเหล่านี้ ขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา แต่มาให้วิทยาทานแก่นิสิตนักศึกษาด้วยความรักและเอ็นดู
แต่ประวัติการ ทำงาน
ของทุกท่าน ซึ่งยุคที่ผมเรียนนั้น โชคดีมาก เพราะอาจารย์ที่สอนภายหลังเป็นประธานศาลฎีกาเกือบทั้งสิ้น เช่น อาจารย์สุธรรม ภัทราคม อาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ ฯลฯ
แต่ที่น่าสนใจ อาจารย์เหล่านี้ มักจะจบจากอังกฤษ ซึ่งเป็นเป็นต้นแบบของกฎหมายไทย เพราะกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ท่านก็ทรงจบจากอังกฤษ
แล้วกลับมาร่างกฎหมายไทย
ที่เราใช้กันจนทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้คำว่า "จิตวิญญาณของกฎหมาย" จึงได้รับการถ่ายทอดมาอย่างถูกต้องตามหลักสากล และอาจารย์ที่จบ จากต่างประเทศทุกท่าน
จะอ้างอิง
กล่าวถึงหลักนิติธรรมเสมอ
ผมจำได้ว่า ท่านอุปมาอุปมัยดังนี้ คนไทยเราชอบเอาของต่างประเทศมาใช้ แต่ไม่ได้เอาวิญญาณของจริยธรรมของเขาตามมาด้วย เช่น คนไทยที่ร่ำรวย ซื้อรถมาขับ
เพราะมี สตางค์ ก็ซื้อได้ แต่มิได้ซื้อจริยธรรม และวัฒนธรรมในการขับรถของฝรั่งเขามาด้วย
จะเห็นว่าไทยขับรถเลวจนติดนิสัยจนทุกวันนี้ ไม่มีจริยธรรมและวัฒนธรรมของการขับรถ เพราะรู้แต่ว่า สตาร์ทเครื่องได้แล้วก็ไปให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจคนอื่น
เอาแค่ไม่ผิด กฎหมาย ถ้าผิดกฎหมายตำรวจจับได้ก็จ่ายค่าปรับ หรือไม่ก็จ่ายใต้โต๊ะ แล้วก็ขับปร๋อไป ถ้าใครทำผิดกฎหมาย แล้วตำรวจจับไม่ได้ ถือว่าเก่งมาก ประเทศไทยจึงยังถือว่า ไร้วัฒนธรรม และไร้จริยธรรมขับรถสากล
เพราะฉะนั้น คำว่า "จิตและวิญญาณของกฎหมาย" หรือ "หลักนิติธรรม-หลักกฎหมายแห่งกฎหมาย" จึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากของบรรดาผู้ใช้กฎหมายของไทย
ยกเว้นแต่ เจ้าตัว
เป็นคนมีธรรมะในใจอยู่เดิม ก็จะเข้าใจ โดยไม่ต้องเรียน
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องยาก ที่เราจะหาความยุติธรรมจากคนไร้ธรรมะ ไร้ศีลธรรม ไร้จิตวิญญาณแห่งความยุติธรรม ตรงกันข้าม บุคคลเหล่านี้
มักจะเอากฎหมาย
มาเป็นเครื่องมือ
ประกอบการใช้อำนาจแผ่นดิน ใช้อำนาจของรัฐให้เต็มมือตัวเอง ให้ทำอะไรได้ตามใจชอบ โดยไม่ต้องใช้หลักการของรัฐให้เต็มมือตัวเอง ให้ทำอะไรได้ตามใจชอบ
โดยไม่ต้อง ใช้ หลักการกฎหมาย หรือมิฉะนั้นก็ตีความกฎหมายตามใจตัวเอง
เพราะคงจะถือนโยบายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ถือหลักว่า "ฉันนี่และคือรัฐ" เหมือนนักการเมืองหลายคน ในวันนี้ ที่ถือว่าเป็นผู้ปกครองประเทศ เป็นผู้บริหารประเทศ
เป็นเจ้าของ ประเทศ อันมีอำนาจเต็มสมบูรณ์ ฉันนี่แหละ คือกฎหมาย กฎหมายเป็นของฉัน และฉันก็จะใช้กฎหมายและอำนาจรัฐนี่แหละ ทำลายล้างให้หมด ให้พ้นเส้นทาง
เหมือนหัวข่าว
หนังสือพิมพ์ที่น่าเบื่อทุกวันนี้
ต้องไปอ่านประวัติศาสตร์ให้จบนะครับ คนที่ถือคตินี้ สุดท้ายก็โดนกิลโยตินตัดหัวทุกคน ด้วยเครื่องมือที่ตัวเองคิดขึ้นมาเอง ผมอยากจะเตือนใจผู้มีอำนาจรัฐในมือบ้างว่า อย่านึกว่า กฎแห่งกรรมไม่มีนะครับ นี่ละคือความยุติธรรมแห่งจักรวาล ที่ไม่เคยละเว้นใครเลย เร็วหรือช้าเท่านั้น
ตัวอย่างของการตีความกฎหมายตามใจตัวเองนี้ชัดๆ เลยคือ มีการออกข่าวให้สัมภาษณ์ว่า จะปลดเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ทั้งที่ตัวเองก็อ้างอำนาจตามกฎหมายสงฆ์ ซึ่งกฎหมายสงฆ์เรื่องนี้ เป็นเรื่อง "ละเมิดจริยา" ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ "นิคหกรรม"
กฎเรื่องละเมิดจริยา เป็นระเบียบตามกฎหมายสงฆ์เรื่องการแต่งตั้ง ถอดถอน เรื่องการบริหารการคณะสงฆ์ของพระระดับสังฆาธิการ เมื่อวานผมพูดไปแล้วเรื่องกฎข้อ 56 ว่า ถ้าดูตามกฎหมาย ผู้บังคับบัญชายังไม่มีสิทธิถอดถอนแต่อย่างใด เพราะไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมาย ซึ่งถูกคุ้มครองด้วยสิทธิตามรัฐธรรมนูญอีกชั้นหนึ่ง เขียนไว้ชัดเจน ใครอยากรู้กลับไปอ่าน ฉบับเมื่อวาน ยกเว้นเจ้าตัวจะเกรงกลัวอำนาจมืด และตะแบงตีความตามใจตัวเอง
แต่ที่สำคัญก็คือ ถึงแม้ว่าจะหลับหูหลับตาตัดสินว่า จะพักงานเจ้าอาวาสชั่วคราวตามข้อ 56 ก็มิได้ถือว่า เป็นการปลดจากตำแหน่ง ยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม
แต่การจะ
ตั้งคนใหม่เข้ามาแทนนั้น ต้องกลับไปดูข้อ 5 ของกฎหมายฉบับเดียวกัน ที่เขียนไว้ว่า
"ในกรณีที่เจ้าอาวาสไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง ให้เจ้าคณะตำบล ด้วยความเห็นชอบของเจ้าคณะอำเภอ สั่งแต่งตั้งรองเจ้าอาวาสผู้ช่วยเจ้าอาวาส
หรือพระภิกษุ
รูปใดรูปหนึ่งที่เห็นสมควร เป็นผู้รักษาการแทนเจ้า ตามข้อเสนอของเจ้าอาวาส และรายงานตามลำดับจนถึงเจ้าคณะจังหวัด
ถ้าชาววัดอ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ ผมจะช่วยแปลง่ายๆ ดังนี้ ข้อแรก ตอนนี้คณะสงฆ์ยังสั่งพักงานไม่ได้ เพราะไม่เข้าเกณฑ์ แต่ถ้าตะแบงจะตีความให้ผิดกฎหมายสงฆ์
ผิด รัฐธรรมนูญ
ก็ต้องแต่งตั้งผู้รักษาการแทน ซึ่งจะตั้งใครก็ต้องเป็นไปตามลำดับที่กฎหมายเขียน และที่สำคัญที่สุดต้องตามข้อเสนอของเจ้าอาวาสเท่านั้น
ครับ ตามข้อเสนอของเจ้าอาวาสเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ ณ วันนี้ท่านยังมิได้ลาออก เพราะไม่มีความจำเป็น ตอนนี้ท่านไม่สบาย ท่านก็สามารถแต่งตั้งใครชั่วคราวได้
เป็นเรื่อง ภายในวัด เมื่อท่านสบายดีก็กลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิมก็เท่านี้แหละ
เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลว่า จะมีคนนอกมาทำอะไรในวัดเราหรอกครับ พระเถระผู้ใหญ่ก็พูดไว้ชัด "ถ้ายึดหลักกู ไม่ยึดหลักการ"
เราคงรักษาพุทธศาสนา
มาไม่ได้ถึงวันนี้
กาขาว