ปีที่ 2 ฉบับที่ 822 ประจำวันพุธที่ 13 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

สหัสวรรษที่ 3

ภาษิตชาวพุทธจักรวันนี้
อย่ากลัวคนเลว ให้กลัวคนดี

มีคำพูดที่ผมชอบที่สุดมาจากหนังทีวีเรื่องหนึ่ง คือ "พ่อผมสอนว่า อย่ากลัวคนเลว ให้กลัวคนดี" แล้วพระเอกหน้ายิ้มๆ ก็ยืนถือปืนจังก้า ต่อหน้าศัตรูที่ถือปืนรอบด้าน หนังทีวีเรื่องนี้ หลายสิบปีก่อน คนกรุงเทพฯ ติดกันงอมแงม ชื่อเรื่องว่า มาร์เวอริค แสดงโดย เจมส์ การ์เนอร์ ตอนนั้น ยังเป็นแค่หนังทีวีขาวดำ พระเอกที่ไปที่ไหน ก็โดนรังแกให้จับปืน ต้องสู้ด้วย ความจำใจทุกที

ผมคิดว่า คำพูดยอดฮิตนี้ นี่จะเหมาะกับเหตุการณ์ในประเทศไทยยุคนี้ เป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ พิมพ์ไทยเป็นหนังสือพิมพ์เล็กๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปากกระบอกเสียง ของวัด พระธรรมกาย ท่ามกลางปากกระบอกปืนใหญ่ที่ไม่รู้ว่า เป็นปากกระบอกเสียงของใคร เรียงรายเต็มไปหมด

ใครมีอารมณ์ขัน น่าจะทำสติ๊กเกอร์นี้ แจกไปให้ทั่วประเทศตอนนี้ เพื่อเป็นคติเตือนใจให้คนไทยทั้งประเทศ ได้ฉุกคิดได้บ้างว่า ถ้าคนดีท้อแท้ต่ออำนาจมืด ต่อคนพาลคนหลง ทั้งหลาย บ้านเมืองไทยก็สิ้นหวัง และอนาคตของเยาวชนของชาติ ก็ไม่รู้จากฝากไว้กับใคร

ในยุคที่กรุงศรีอยุธยาเสียกรุง ใครไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ ก็ลองกลับไปหามาอ่านดูว่า ทำไมพระเจ้าตาก จึงต้องตัดสินใจตีฝ่ากองทัพพม่า หนีออกจากกรุงฯ เพราะเป็นยุค ที่ บรรดาขุนนางประจบสอพลอ เป็นใหญ่ บ้านเมืองอ่อนแอ ผู้เป็นใหญ่ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ ทำร้ายกันเอง ทะเลาะกันเอง บ้านเมืองแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ

พระเจ้าตากไม่ยอมท้อแท้ ยอมถูกกล่าวหาว่า กบฏ แต่กล้ารวบรวมสมัครพรรคพวก ได้ 500 คน ตีฝ่าทัพพม่าออกไปตั้งตัวเป็นอิสระ เพื่อจะกลับมากู้กรุงใหม่ เพราะคติที่ว่า ไม่กลัว คนเลว คนชั่ว เพราะขืนอยู่ต่อไป ก็มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ และสภาพบ้านเมืองไฟไหม้ เสียงปืนใหญ่ ยิงทุกวัน พม่าก็ล้อมทำลายขวัญตัดเสบียงให้อดหยาก แต่ขุนนาง ผู้ใหญ่ก็ยังอยู่ กันสุขสบาย ทำทองไม่รู้ร้อน เฝ้าแต่ปลอบตัวเองว่า เดี๋ยวข้าศึกก็หมดแรงถอยไปเอง อยู่เฉยๆ ดีแล้ว

แต่พระเจ้าตากมิได้คิดอย่างนั้น กลับคิดว่า ขืนอยู่ไปอย่างนี้ สุดท้ายก็เสียกรุงและโดนฆ่าตายจนได้ และตายอย่างไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี เสียชาติเกิด แล้วกองทัพกู้ชาติน้อยๆ ก็ตีฝ่ากองทัพอันยิ่งใหญ่ของพม่า ออกไป ถือหลักคนกล้าตายหนเดียว คนขลาดตายหลายหน

ครับ อย่ากลัวคนเลว ให้กลัวคนดี เกิดมาชาตินี้ ไม่นานก็ตาย ถ้าจะตาย ขออย่าตายอย่างไรศักดิ์ศรี ตายอย่างปลาตายที่ไหนไปตามกระแสน้ำ กระแสความเลวร้ายของสังคม กระแสคนพาล กระแสคนชั่ว เพราะถึงมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนตายทั้งเป็น ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

ผมชอบใจคำพูดของพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ประกาศไว้ว่า "ถ้ายึดหลักกู ไม่ยึดหลักการ ต่อไปวันข้างหน้า เราจะรักษาพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร" และถ้าจะต้องแพ้ภัยพาล จะถูกปลด จากตำแหน่ง จะถูกสังคมประฌาม เพราะการทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ในเมื่อตัดสินใจบวชมาเป็นพระแล้ว จะไปติดยึดอยู่ทำไม อยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่เอาไปตัดหัว ก็ยังยืนหยัด ในหลักการ และความถูกต้องเหมือนเดิม

ผมอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อวานที่เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ตัดสินใจด้วยความกล้าหาญ ไม่ยอมโค้งหัวคารวะให้กับอำนาจเถื่อน และยังให้สัมภาษณ์ความในใจว่า ไม่ได้กลัวอะไร ยึดหลักการและความถูกต้อง ในเมื่อคนยังไม่ได้ทำผิด จะไปตัดสินล่วงหน้าแทนศาล ก็คงจะไม่ถูกต้อง

และท่านก็ออกคำชี้แจงไม่พักงานเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามกระแสอำนาจมืดที่คุกคามและก้าวก่าย และคำขู่ของฆราวาสเจ้าแห่งบาป ที่พยายามคุมคามขู่พระ จะใช้ อำนาจมืด โดยท่านให้เหตุผลง่ายๆว่า พิจารณาแล้ว ไม่ถึงขั้นทำความเสียหายให้แก่การคณะสงฆ์

ต้องกราบคารวะการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของท่าน เพราะที่ท่านทำไปนั้น เป็นสิทธิอันชอบธรรมของท่าน ตามกฎหมายทุกประการ และถือเป็นที่สุด ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา

ที่ชอบใจก็คือคำพูดตรงๆ ของท่าน วัดนี้ ก็อยู่ใต้การดูแลของท่าน ก็ติดตามดูแลมาตลอด ก็เห็นทำแต่ความดี มีคนมาทำบุญมากมาย มีการถือศีล ปฏิบัติธรรม มีพระที่จบนักธรรม กับเปรียญธรรมมากมาย สร้างวัดจากวัดเล็กๆ จนเป็นวัดใหญ่โตมีชื่อเสียง มีคนมีความรู้ มีคนมีกำลังทำบุญ เข้าวัดเยอะแยะ ก็เห็นทำแต่สิ่งที่ดี คนนอกไม่รู้เรื่อง ไม่เคยมาวัด ไม่เคยมาตรวจ

ตอนนี้มา ก็มาจับผิดอย่างเดียว เรื่องดีๆ ไม่ยอมพูดถึง อันนี้ ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น จะมาบังคับขู่เข็ญอะไรก็เฉยๆ ไม่ห่วง ไม่ติดอะไร ใครไม่เห็นด้วย ก็ว่ามาก็จะรับฟัง ถ้าผู้บังคับ บัญชา จะให้ไปชี้แจง ก็จะไป ไม่กังวลอะไร

ครับ ก็เข้าหลัก "อย่ากลัวคนเลว ให้กลัวคนดี" ที่ผมจ่าหัวไว้นั่นแหละ เพราะทุกวันนี้ ชีวิตมันสับสน เพราะเรากลัวแต่คนเลว คนชั่ว คนอันธพาล คนชอบข่มขู่ คำว่า ให้ร้าย ชี้หน้าด่า แม้กระทั่วพระสงฆ์องค์เจ้า ออกโทรทัศน์ แต่ละคน ล้วนแต่ไร้สมบัติผู้ดี จาบจ้วงพระผู้ใหญ่อย่างไม่เกรงใจ

สมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านจึงเตือนสติว่า พระสงฆ์เอง ก็อย่ากลายเป็นแมลงวัน ที่พยายามตอมของเหม็น แทนที่จะเป็นพระภิกษุ ที่พูดคุยแต่เรื่องเย็นๆ ให้กำลังใจชาวบ้าน ทำให้คน เลิกทะเลาะกัน ให้คนแผ่เมตตา กรุณา ฟังแล้วสบายใจ หลายองค์ ไปออกไมโครโฟนที่ไหน ก็เต็มไปด้วยความร้อนรุ่มเป็นไฟ เพราะจิตใจถูกเผาผลาญด้วยไฟธาตุ ที่แตกในตัว

ครับ พุทธศาสนาในปี 2000 ที่จะถึงนี้ จะเป็นอย่างไร ตอนนี้อยู่ในปีสุดท้าย ของช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เรากำลังจะก้าวไปสู่สากล เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา ให้ไปทั่วโลก หรือเราจะตีกันเอง จนหมดประเทศไทย ให้สมกับที่ผู้หวังร้าย ที่เขารอต่อคิวจะถอนรากพุทธศาสนาในเมืองไทยให้ได้

อนาคตพุทธศาสนา จะเป็นอย่างไร ก็อยู่ในวงการสงฆ์ยุคนี้ว่า จะยอมก้มหัวหรือไม่ ให้ฆราวาสเข้ามาแทรกแซงก้าวก่ายปกครอง เพราะกลัวนักการเมือง นักกวนเมือง อันธพาล อำนาจมืด ผู้มีอิทธิพล ซึ่งวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังขบวนการทั้งหมดนี้ มีกี่กลุ่ม และเจตนาอะไร

จะครบหนึ่งปีวันนี้ ก็ยังไม่เห็นผู้มีอำนาจในบ้านเมือง คิดจะสืบเสาะเบาะแสอะไร ถ้าเป็นตาชั่ง ก็เอียงกระเท่เร่ เพราะมุ่งเล่นงานฝ่ายเดียว แต่อีกข้างก็โอ๋กันจนน่าเกลียด

"กาขาว"


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ]