ปีที่ 2 ฉบับที่ 822 ประจำวันพุธที่ 13 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

วิวาทะ

เมื่อเรื่องกรณีธรรมกาย ถูกมองเป็นประเด็นร้อน ถึงความมั่นคง

ปัญหาวัดพระธรรมกาย กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที หลังจากที่ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ลงมาดูแลปัญหาอย่างใกล้ชิด และดูเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เมื่อ พล.ต.ท. สมบัติ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าชุดสอบสวน กรณีหนังสือของ เบ็ญจ์ บาระกุล ที่มีการระบุว่า มีเนื้อหาโจมตีพระธรรมปิฎก รวมถึงบทความที่ตีลงในหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยว่า มีเนื้อหาขัดต่อ พ.ร.บ.การพิมพ์หรือไม่ รวมทั้งคณะทำงานยังได้พิจารณา ถึงเรื่องความมั่นคงของชาติด้วย

พูดถึงเรื่องความมั่นคง หากเป็นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว คำๆ นี้ ทางการมักหยิบยกมาเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่บ่อยครั้ง แต่สมัยนั้น คำว่าความมั่นคงมักถูกหยิบยกไปใช้กับผกค. ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

หลังจากคำๆ นี้เงียบหายไป ก็มีการหยิบยกข้อกฎหมายพิจารณาถึงความมั่นคงอีกครั้งหนึ่ง ทว่า ไม่ใช่เรื่องคอมมิวนิสต์เสียแล้ว แต่เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

งานนี้ตำรวจสืบทราบมาว่า บุคคลที่ใช้ชื่อว่า เบ็ญจ์ บาระกุล มีตัวตนจริง เป็นผู้ที่เดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศไทยกับ แอลเอ. สหรัฐอเมริกา อยู่ตลอดเวลา 

ยืนยันด้วยว่า บุคคลผู้นี้อยู่ใน ประเทศไทย

ขณะที่กระแสข่าวบางแห่งยืนยันว่า เบ็ญจ์ บาระกุล อยู่ในสหรัฐอเมริกา 

บ้างก็ระบุว่า บุคคลผู้นี้ แปลงสัญชาติเรียบร้อยโรงเรียนไอ้กันไปแล้ว

คนนี้แหละครับ ที่มี กรีนการ์ด ตัวจริง ไม่ใช่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามที่สื่อมวลชนพากันคาดเดากันไป

เรื่องราวจะจบอย่างไรนั้น ต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม

ไม่มีใครยืนอยู่เหนือกฎหมายได้

หากรักจะอยู่ท่ามกลางสังคมคนหมู่มาก ต้องเคารพในกฎกติกา

โดยเฉพาะสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้

...ปัญหาคฤหัสถ์ฟ้องพระได้หรือไม่?

ยังคงเป็นประเด็นคาใจหลายฝ่าย แม้เจ้าคณะภาค 1 พระพรหมโมลี จะทำหนังสือชี้แจงถึงเหตุผลในการทำหน้าที่ผู้พิจารณาชั้นต้นไปแล้วก็ตาม

ทว่ากรมการศาสนา โดย สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ยังคงประกาศเดินหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ล่าสุดได้แต่งตั้ง มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสมาชิก ในฐานะผู้ชำนาญการด้านกฎหมาย และ วิษณุ เครืองาม เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เข้าไปช่วยดูแลปัญหา ที่ยังเป็นเรื่องค้าง คาใจอยู่ โดยเฉพาะเจตนารมณ์ของกฎมหาเถรสมาคม

โดยจะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ในวันที่ 19 ตุลาคม นี้

ผมค่อนข้างที่จะเชื่อมั่นในตัวของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ว่าจะสามารถทำหน้าที่พิจารณากรณีดังกล่าว เพราะก่อนที่ประธานวุฒิสมาชิก ได้แสดงจุดยืนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ไว้อย่าง ชัดเจนแล้ว

โดยเฉพาะความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ทั้ง 2 ฉบับว่า หาก พ.ร.บ.ฆราวาสปกครองสงฆ์ ผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรี เขาจะลาออกจากความเป็นพุทธทันที

เพราะเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องความเชื่อความศรัทธา การออกกฎหมายมาบังคับ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

ที่สำคัญ มีชัย ฤชุพันธุ์ บอกว่า การทำบุญนั้น เป็นเรื่องของศรัทธา เมื่อทำกับวัดใดแล้ว สบายใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไร หากทำไปแล้ว เดือดร้อนใจ ไม่สบายใจ ก็หาวัดใหม่ทำบุญ 

ถือเป็นเรื่องของวิจารณญาณ ของแต่ละบุคคล

เขายังยืนยันเสมอว่า เขาทำบุญไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน ทำบุญแล้วก็จบกัน พระจะเอาไปใช้ประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนาอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างไรก็ดี หากเห็นว่า ไม่เกิดประโยชน์ ก็หาที่ใหม่ทำ

แต่จะไปออกกฎหมายมาควบคุมพระ หรือยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติยืนยันว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร

เพราะคนออกกฎหมายตายก่อนกฎหมาย 

เปรียบเสมือนดาบกับเจ้าของดาบ

ส่วนใหญ่เจ้าของดาบจะตาย หรือสิ้นสลายก่อนดาบ

หากดาบนั้นตกอยู่ในมือคนชั่วอะไรจะเกิดขึ้น

ผมจำความเห็นของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ระหว่างการร่วมเสวนาถึง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ขึ้นใจ

เนี่ยละครับ อารมณ์หนึ่งจากมุมมองของนักกฎหมาย ที่ชื่อ มีชัย ฤชุพันธุ์

"โซตัส"


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ]