ปีที่ 2 ฉบับที่ 825 ประจำวันเสาร์ที่ 16 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

สหัสวรรษที่ 3

สังคมไทยขาดวิสัยทัศน์อะไร ในสายตาของนักคิดระดับโลก

หลายสิบปีมาแล้ว ผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง จากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งในเมืองไทยต้องถือว่าเป็นเศรษฐีมีอันดับของเมืองไทย แต่เป็นคนที่นิ่มนวล ผู้ดี มีการศึกษาสูง ถ้าออกชื่อก็คงรู้จัก ทุกคน ตอนที่ยื่นให้ผม ท่านก็บอกว่า ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และมีความคิดสร้างสรรสูง น่าจะต้องอ่านเล่มนี้ ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณ ใครให้หนังสือผมรักทุกคน เพราะรัก หนังสือดุจชีวิต

หนังสือเล่มนั้น ชื่อว่า "Lateral thinking" ของ ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอโบโน ถ้าจะแปลตรงๆ คงไม่เข้าใจ เพราะแปลวา ความคิดในทางขนาน หรือความคิดในทางราบ ผมเปิดหนังสือ ก็ยังงงๆ แล้วมันจะเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรอย่างไร

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้จัก ดร.เดอโบโน ที่นักบริหารรุ่นก่อน ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ยิ่งยงในทางความคิด บริษัทใหญ่ๆ ในเมืองนอกจะต้องเชิญแกไปบรรยายเรื่อง มหัศจรรย์ทาง ความคิดของมนุษย์ ความสามารถอันสูงส่งของมนุษย์ ที่มนุษย์เองก็ไม่รู้ศักยภาพของตนเอง

ผมจำได้ว่า เป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจยาก ต้องค่อยๆ อ่านทีละประโยค แล้วย้อนกลับไปคิด ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้ความรู้ ตอนหลังก็เลยซื้อมาอ่านอีกหลายเล่ม

อาทิตย์ที่แล้ว เมืองไทยโชคดี เพราะ ดร.เดอโบโน มาเมืองไทย เป็นข่าวใหญ่พาดหัวหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ และหนังสือพิมพ์ธุรกิจบางฉบับ ดร.เดอโบโน มาบรรยายเรื่อง ความคิดใหม่ๆ ในสหัสวรรษใหม่ และหลายคนก็สนใจความคิดเรื่องหมวก 6 สี 6 ใบ

ดร.เดอโบโน จบปริญญาเอก ทางจิตวิทยา และทางแพทย์เภสัช จึงมีความรู้เรื่องการทำงานในสมองมนุษย์ ทั้งกายภาคและจิตภาค จึงเป็นคนที่บรรยายเรื่อง "จิต" มนุษย์ได้น่า สนใจที่สุด สามารถแยกแยะการทำงานของ "จิต" มนุษย์ นำมาใช้ในการบริหารและมองปัญหาอย่างน่าสนใจ 

ผมคิดว่า น่าจะเอามาถ่ายทอดให้แฟนๆ สหัสวรรษเป็นความรู้แบบง่ายๆ ไม่ต้องเสียเงินหลายหมื่นไปฟังตัวจริงเสียงจริง อ่าน "พิมพ์ไทย" นี่ก็พอแล้วครับ จะได้รู้ว่า นักบริหารชั้นนำ ของเมืองไทย และทั้งโลกเขาคิดอะไรกัน

ดร.เดอโบโน ปูพื้นเรื่องความคิดของมนุษย์ไว้ดังนี้ การทำงานของสมองมนุษย์นั้น แยกเป็นสมองข้างซ้ายและสมองข้างขวา สมองด้านซ้ายทำงานด้วยระบบเหตุผล เป็นศูนย์ข้อมูล วิธีคิดจะเป็นระบบดั้งเดิม ระมัดระวัง ในขณะที่สมองด้านขวา จะทำงานด้วยระบบสร้างสรร ความคิดใหม่ๆ การมองโลกในทางบวก กล้าเสี่ยง คิดอะไรใหม่ๆ เสมอ

มนุษย์ที่จะทำงานประสบความสำเร็จ จะต้องใช้สมองด้านซ้ายเป็นตัวกลั่นกรองข้อมูล และใช้สมองด้านขวาเป็นตัวสร้างสรร สร้างความสำเร็จ

เพื่อเป็นการอธิบายให้ง่าย แกจึงเขียนเป็นทฤษฎี และใช้ภาพสวยงาม เป็นทฤษฎีหมวก 6 ใบ 6 สี การทำงานของจิตมนุษย์ จะทำงานเรียงสีไปดังนี้

หมวกใบที่ 1 เป็นหมวกสีขาว เป็นบทบาทของนักวิเคราะห์ นักวิจัย นักหาข้อมูล มีตัวเลข มีหลักฐานประกอบ ทันทีที่เราเห็นเรื่องอะไร สมองส่วนแรกคือการมองด้วยเหตุผลว่า คืออะไร เกิดอะไรขึ้น และพยายามใช้ข้อมูลเดิม กรอบความคิดเดิมวิเคราะห์ เช่น เห็นภาพคนกับพระมานั่งสมาธิเป็นแสนคน สมองจะสั่งการทันที คนกี่คน พระกี่คน เป็นแสนคน มาทำไม เพราะอะไร

หมวกใบที่ 2 เป็นหมวกสีแดง เป็นบทบาทของอารมณ์มนุษย์ ที่ว่องไวดุจสายฟ้า บางคนที่สามารถฟันธงไปเลยวา รู้สึกอย่างไรกับภาพที่เห็น บางคนใช้ลางสังหรณ์ บางคนใช้ อารมณ์และความรู้สึก เช่น ภาพแรก บางคนก็รู้สึก ตื่นตาตื่นใจว่าทำไมคนเยอะแยะอย่างนี้ ดีนะ เอามาได้อย่างไร บางคนรู้สึกไม่ชอบ การนั่งสมาธิทำไมต้องนั่งกันเยอะ ทำไม ไม่ไปวิเวก นั่งเงียบๆ 

หมวกใบที่ 3 เป็นหมวกสีดำ เป็นบทบาทของมนุษย์ที่มีความกลัว ซ่อนอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด การรู้สึกระวังภัย รู้สึกว่าจะมีอันตราย น่าจะมีสิ่งเลวร้าย เอ..คนมานั่งสมาธิอย่างนี้ นี่เป็นการสร้างบารมี อวดอำนาจ แสดงความยิ่งใหญ่ บางคนมองในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติไปโน่น บางคนเห็นวาเป็นขบวนการที่อาจไม่หวังดี อาจมีสิ่งไม่ดีแฝงอยู่

เชื่อไหมครับว่า หลายคนมาได้แค่ 3 ขั้นก็จอดป้ายแค่นี้ ตัดสินใจกลับไปใส่หมวกสีแดง เอาอารมณ์เข้าใส่ เอาสีขามาพิจารณาอีกที ถ้าโชคร้ายฝ่ายที่ป้อนข้อมูล แทนที่จะป้อนข้อมูล ที่โปร่งใส หรือสีขาว กลายเป็นป้อนข้อมูลสีดำ ก็จะมีการสรุปข้อมูลแล้วฟันธงไปเลยว่า นี่ต้องไม่ดีแน่นอน ขณะนี้เกิดเรื่องเลวร้ายในประเทศ ต้องกำจัดโดยทันด่วน

สิ่งที่น่ากลัวของจิตมนุษย์ก็อยู่ที่ตรงนี้แหละครับ บางคนมาได้แค่ 3 สถานี ก็จอดป้าย เอาแค่นี้แหละ ใช้แค่หมวก 3 ใบ ใช้อารมณ์และความเชื่อมั่นของตัวเอง ใช้กรอบความคิดเดิม ตัดสินสิ่งใหม่ๆ 

ดร.เดอโบโน ได้พูดถึงว่า มนุษย์จำนวนมาก จะตกอยู่ในที่คุมขังของกรอบความคิดของตัวเอง ไม่ยอมคิดอะไรใหม่ๆ ไม่ยอมแสวงหาสิ่งใหม่ ในอดีตจึงมีมนุษย์ที่หลุดไปเป็น นักประดิษฐ์ นักสร้างสรรโลกได้น้อยมาก เพราะคนส่วนใหญ่ จะใช้กรอบความคิดเดิม ในการตัดสินปัญหา

จะเรียกว่า มนุษย์สมองข้างซ้าย ที่ใช้สมองข้างเดียวก็เป็นไปได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ปรมาจารย์ท่านนี้ เขียนหนังสือกว่า 50 เล่ม เพื่อชี้ให้เห็นว่า ศักยภาพของมนุษย์นั้น ยังมีเหลืออีก มหาศาล แต่มนุษย์ไม่รู้จักตัวเอง ไม่ได้เอามาใช้ และแกต้องเดินทางไปรอบโลก เพื่อปลุกมนุษย์ให้ตื่นจากหลับ เพื่อลุกขึ้นมาสร้างสรรโลกต่อ เพื่อปลดแอกมนุษย์จาก ที่คุมขังทาง ความคิดเดิมๆ

แกจึงได้เขียนทฤษฎีของหมวก 6 ใบ โดยอีก 3 ใบที่เหลือ คือหมวกสีเหลือง ซึ่งหมายถึงความคิดในทางบวก ในทางสร้างสรร ในการสร้างโลก ทำให้โลกสดใส หมวกสีเขียว ซึ่งแสดง ถึงความเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ นั่นหมายถึง ความคิดใหม่ ๆ การพลิกแพลง การสร้างสรรค์ หรือที่ใช้คำว่า ครีเอทีฟ และหมวกใบสุดท้าย คือหมวกสีฟ้า ซึ่งหมายถึง ความสุขุม รอบคอบ เยือกเย็น ในการบริหาร และจัดวางความคิดให้เป็นระเบียบ ควบคุมความคิดให้ได้ประสิทธิผล ให้สู้เป้าหมายตามที่ต้องการ

ผมคิดว่า ชาวธรรมกายก็ต้องการมุมมองของหมวก 3 ใบหลังจากสังคมไทยนี้แหละ พรุ่งนี้อ่านต่อครับ ว่าวันนี้สังคมไทยขาดวิสัยทัศน์อะไร ตามทฤษฎีของ ดร.เดอโบโน

สิงห์ขาว


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ]