ปีที่ 2 ฉบับที่ 825 ประจำวันเสาร์ที่ 16 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

วิวาทะ

หิริโอตตัปปะ ความละอายต่อบาป ธรรมที่เป็นตัวหยุดอกุศลทั้งหลาย

ผู้ที่กล่าวตู่พระตถาคต มี 2 ลักษณะ พวกแรกคือพวกที่มีความโกรธ เกลียดชังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำราญจมปรักอยู่กับมิจฉาทิฏฐิ เป็นปฏิปักษ์กับพระธรรมคำสั่งสอน ของ พระพุทธเจ้า

ส่วนพวกที่สองนี่ ไม่คิดเป็นปฏิปักษ์กับพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไร้อารมณ์โกรธ เกลียดพระตถาคต แต่กลับเป็นผู้ที่กระทำจ้วงจาบ กล่าวตู่พระตถาคต และพระธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ โดยไม่รู้ มีอวิชชาครอบงำนั่นเอง

ครับ ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 9 เดือน ที่ผมเขียนคอลัมน์แห่งนี้ มีกระแสเสียงทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แสดงความเห็นผ่านมาทางจดหมาย โทรสาร โทรศัพท์มากมาย

นับว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม และน่าภาคภูมิใจที่พุทธศาสนิกชน ให้ความสนใจ เกี่ยวกับชะตากรรมพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก 

ความเห็นหลายท่าน บ่งบอกถึงความเป็นชาวพุทธ ผู้คงแก่เรียน และมีความห่วงใยพระพุทธศาสนาจริง แต่หลายท่าน แสดงความห่วงใย เพราะไม่เห็นด้วยกับความคิดของผม และยังบ่งชี้ด้วยว่า เขาผู้นั้น ไม่มีความเข้าใจในหลักของพระพุทธศาสนา หากแต่เป็นเพียงชาวพุทธในทะเบียนบ้าน ศึกษาพระพุทธศาสนา แบบลูบๆ คลำๆ

ขณะเดียวกัน ยังมีผู้หวังดี สละเวลาอันมีค่า ตัดบทความ ข่าวสารในหนังสือพิมพ์รายวันต่างๆ ที่นำเสนอข่าวเกี่ยวกับความร้อนแรงทางศาสนามาถึงผม

ก็ต้องขอขอบคุณในความหวังดี ที่ท่านสละเวลา และเงินทองติดแสตมป์

แต่อยากเรียนว่า ผมเป็นคนข่าว เป็นนักหนังสือพิมพ์ ทำงานอยู่บนถนนน้ำหมึกมากว่า 10 ปีแล้ว เดินเข้า เดินออกอยู่หลายสำนักพิมพ์ มีความเข้าใจเพียงพอต่อภาพการที่เกิดขึ้น ในวงน้ำหมึก และก็มีความรู้พอที่จะเขียนถึงความเป็นไปถึงพระศาสนา

มีสติรู้ดี รู้ชั่ว !

ผมไม่อยากให้ผู้ที่อ่านคอลัมน์นี้ เกิดความไม่สบายใจ เป็นทุกข์ แต่เรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เราไม่อาจเชื่อตามตำรา เราไม่อาจเชื่อตามคำบอกเล่า เราไม่อาจเชื่อ เพราะเขาเป็นอาจารย์

ทว่าความเชื่อของเรา จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติ ให้เกิดมรรค เกิดผลตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันนี้พุทธศาสนาของเรา เจ็บปวดมามากแล้ว เราจะเติมเชื้อให้เกิดไฟปะทุร้อนแรงขึ้นมาอีกทำไม

ผมไม่ปรารถนา เห็นหมู่สงฆ์แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย

และก็ไม่ปรารถนาเช่นกัน ที่ฆราวาสหัวดำ ชี้หน้าด่าพระ วางตัวเป็นผู้รู้ ทำมาทำไป ก็ลากพระสงฆ์องค์เจ้าท่านทะเลาะเบาะแว้งกัน

ขณะนี้เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่

เรื่องของพระพุทธศาสนา จะติดยึดอยู่ที่ตัวบุคคลไม่ได้ จะยกใครเป็นปราชญ์ไม่มีใครเขาว่า แต่อย่าละเมิดสิทธิ์ กล่าวประณามผู้อื่น ที่มีข้อวัตรปฏิบัติไม่เหมือนกับตน เป็นผู้สร้าง ความเสื่อมเสียให้กับศาสนา

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า สำนัก หรือสายปฏิบัติอื่น ท่านไม่เห็นนิพพานเป็นอนัตตา ท่านจะออกมาเคลื่อนไหว ยึดเอากระแสการเมือง เอากระแสสื่อมวลชน ดำเนินการทุกอย่าง เพื่อให้ เหล่าพุทธศาสนิกชน มีความเห็นเหมือนท่านนั้น

ขอบอกตรงๆ ครับว่า มันเป็นไปไม่ได้ ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า รวมถึงอดีตชาติด้วย

จะฝืนความเชื่อ ความเห็นแจ้ง ที่หลายท่านได้ค้นพบตามพระตถาคตว่า พระนิพพานจะไม่กลับไปอยู่ภายใต้ของอำนาจไตรลักษณ์ได้อย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

รู้ไว้เถิดว่า พระนิพพานเป็นของเที่ยงแท้ แน่นอน ทรงอยู่อย่างนั้น

ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา

หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา เข้าใจไว้อย่างนี้เถิด พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

พระพุทธองค์เปรียบ ลาภสักการะชื่อเสียง เหมือนกิ่งไม้ ใบไม้

ความสมบูรณ์ด้วย ศีล เสมือนสะเก็ดไม้

ความสมบูรณ์ด้วย สมาธิ เสมือนเปลือกไม้

ส่วนญาณทัสนะ หรือ ปัญญา นั้น เปรียบเสมือนกระพี้ไม้

ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ หรือที่ภาษาบาลี เรียกว่า "อกุปปา เจโตวิมุตติ" คือ แก่นไม้ นั่นหมายถึง แก่นของพระพุทธธรรมนั่นเอง

ฉะนั้นใครจะมองว่า สมาธิเป็นเหมือนฝิ่น เป็นยาเสพติด ก็สมควรที่จะกลับไปทบทวนไตรสิกขาให้จงหนัก

ส่วนแก้วแหวนเงินทองจักรพรรดิ ในโลกหล้านั้น แท้จริงแล้วก็คือกิ่งไม้ ใบไม้ ที่รอวันหลุดร่วงลงพื้นดินนั่นแล

ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจไว้ตามนี้เถิด

โซตัส


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ]