ปีที่ 2 ฉบับที่ 831 ประจำวันศุกร์ที่ 22 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

วิวาทะ

เจตนารมณ์ของกฎมหาเถรสมาคม เมื่อมติออกมาแล้วให้ถือเป็นที่สุด

สงครามไม่มีคำวา "แพ้" และ "ชนะ" มีแต่คำว่า "เสียกับเสีย" สงครามโลก ครั้งที่ 1 และสงครามโลก ครั้งที่ 2 แม้ว่าฝ่ายพันธมิตรจะประกาศว่า เป็นผู้ชนะ โดยเฉพาะสงครามโลก ครั้งที่ 2 พี่ใหญ่อย่างอเมริกันชน ผู้สำคัญเป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นตำรวจโลก คอยสำรวจความสงบสุขของประชาคมโลก รักเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นชีวิตจิตใจ

แต่พฤติกรรมของประเทศมหาอำนาจอเมริกันชน กับมีพฤติกรรมตรงข้ามกับหลักการของตัวเองมาโดยตลอด และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นทุกขณะ

การตัดสินใจกดปุ่มระเบิดปรมาณู ที่ "ฮิโรชิม่า" นั่นคือพฤติกรรมของผู้รักสันติภาพ และเคารพในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะ เรื่องของสิทธิมนุษยชน

มนุษย์จะต้องนำประวัติมากำหนดอนาคต ป้องกัน ป้องปราม ไม่ให้พฤติกรรมปากว่าตาขยิบซ้ำซากเกิดขึ้นอีก

สงครามไม่มีผู้แพ้ และผู้ชนะ เสียกับเสียด้วยกันทั้งคู่

แม้สหรัฐอเมริกาจะประกาศให้ชาวโลกยอมรับว่า เขาคือประเทศมหาอำนาจ ผู้ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง จากสงครามการทำลายล้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว กองทัพอเมริกันต้องสูญเสีย กำลังทหารไม่กี่หมื่นกี่พันนาย

ชีวิตไม่อาจประเมิน ตีราคากำหนดเป็นตัวเลขได้ จึงเป็นคำปลอบใจของผู้นำสหรัฐที่แหกตาประชากร พลเมืองอเมริกัน และชาวโลกที่โง่งมที่สุด

สงครามจึงไม่มีคำว่า แพ้ และชนะ ด้วยเหตุผลข้างต้น

หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ยุติลง ชาวโลกเกิดความตื่นตัว และเล็งเห็นถึงความสูญเสีย และพิษภัยของสงครามมากยิ่งขึ้น

แม้สงครามโลกจะยุติลงอยู่ที่ตัวเลขครั้งที่ 2 แต่ทว่าสงครามการสู้รบ ระหว่างประเทศ หรือระหว่างภูมิภาคทวีป ยังมีให้เห็นอยู่ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นับแต่สิ้นเสียงระเบิด ทำลายล้างเมื่อปีพุทธศักราช 2483

ล้วนแต่เป็นเรื่องของการแกร่งแย่งทรัพยากร ผลประโยชน์ของชาวโลกด้วยกันทั้งสิ้น ที่ลึกกว่านั้น ปมประเด็นแห่งความขัดแย้ง มาจากความต่างในการนับถือศาสนาทั้งสิ้น และนับวัน จะทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ

ประเทศไทยถือว่า โชคดีที่สุดในโลก ที่ไร้ความรุนแรงที่เกิดจากความต่างทางศาสนา

แม้ว่าเมืองไทยจะเป็นดินแดนที่มีผู้คนนับถือศาสนา ลัทธิ ได้อย่างอิสระเสรีที่สุดก็ตาม แต่เราก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา นั่นเป็นเพราะคนไทยให้เกียรติเคารพ ศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์นั่นเอง

ทว่าภาพการที่ว่านั้น กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะลัทธิ หรือศาสนาแห่งความมืดบอด!

พระพุทธศาสนาเบ่งบานที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ กำลังป่วยไข้ ผู้คนในสังคมพุทธเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง วงการสงฆ์ระส่ำระสาย อำนาจรัฐ แทนที่จะเข้าไป ยุติปัญหา ดังกล่าวด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ

ตรงข้าม นักการเมือง รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้นำประเทศที่ชื่อ "ชวน หลีกภัย" กลับทอดปัญหาดังกล่าว มองข้ามเหมือนปัญหาใหญ่โตที่ถูกมองข้ามมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน จนปัจจุบันปัญหาคอรัปชั่น  หรือฉ้อราษฎร์บังหลวง กลายเป็นรากเหง้าบ่อนทำลายบ้านเมืองที่ร้ายแรงที่สุด

ผมไม่เข้าใจว่า รัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชอบหยิบยกเรื่องหลักการ ข้อกฎหมายมาเป็นเกาะกำบังตัวเอง

มีเหตุผลอะไรถึงได้ปล่อยปละให้เกิดเรื่องที่ผิดกฎหมายเบ่งบานในยุคสมัยที่หมู่คณะท่านเรืองดอำนาจ

กรณีวัดพระธรรมกาย ที่ตกเป็นข่าวร้อนแรงมาเกือบขวบปี รัฐบาลก็ยังคงเดินเกมแก้ปัญหาแบบเช้าชามเย็นชาม โดยเฉพาะการเต้นตามกระแสสื่อ

ละทิ้งหลักเกณฑ์ กฎระเบียบของสังคม โดยเฉพาะกฎมหาเถรสมาคม และมติมหาเถรสมาคม

ภาพการเลวร้ายขึ้นเป็นลำดับๆ

เห็นได้อย่างชัดเจน กรณีที่ตัวรัฐมนตรีในกระทรวงศึกษาธิการเอง ประกาศตัวเองว่า เป็นลูกศิษย์ของพระธรรมปิฎก ดำเนินการ และเลือกปฏิบัติเพียงใดต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

การเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของคณะปกครองสงฆ์

การส่งมือกฎหมายเข้าไปชี้นำมส. กดดันถึงขนาดต้องออกมติใหม่ เพื่อลบล้างมติเก่า โดยไม่ได้ศึกษากฎของมส.ว่า มีมติถึงที่สุดแล้ว โดยเฉพาะสมเด็จพระสังฆราช ในฐานะ ประธาน มส. ทรงมีพระบัญชาก่อนที่จะมีปัญหารุนแรงก่อนหน้านี้ โดยตัดสินให้วัดพระธรรมกายเร่งรีบไปปรับปรุงแก้ไข 4 ข้อ ซึ่งทางวัดก็น้อมรับคำสั่งมส.ครั้งนั้นแต่โดยดี แต่ยังไม่ทันที่จะลงมือปฏิบัติ ก็เกิดกระแสกดดันจากสื่อ และพระที่จ้องจะล้มวัดพระธรรมกาย และล้มวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ

"สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระวินิจฉัยครั้งนั้นว่า มติมส.ครั้งนั้น ถือเป็นที่สุด และจะไม่นำมาพิจารณาอีกต่อไป"

ทุกคนลืมไปแล้วหรือครับ วันนี้ปัญหาบ้านเมือง ปัญหาปากท้อง ปัญหาสังคม ดังเงาทมึนยืนท้าทายความมืดบอด ต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเสียเอง

น่าเศร้าใจจริงๆ ครับ

นักกฎหมายต้องดูที่เจตนารมณ์ของกฎหมาย

กฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยระเบียบการประชุมมหาเถรสมาคมบัญญัติไว้อย่างน่าสนใจยิ่งว่า…

"ถ้าข้อปรึกษานั้นเกี่ยวกับกิจการพระศาสนา ซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในพระธรรมวินัยให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้ามีจำนวนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมชี้ขาด หรือจะ ให้ระงับเรื่องนั้นไว้ก็ได้"

แต่วันนี้เรากลับเห็นรัฐมนตรีที่มีชื่อว่าหมู เสี่ยตือ กำลังสร้างภาพ สร้างราคาให้กับตัวเอง ด้วยการล้มวัดพระธรรมกาย เดินตามกระแสชี้นำ มส.ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถูกต้อง หรือครับ

ผมขอตราหน้าคนอย่าง สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จะไม่สามารถแก้ไขปัญหากรณีธรรมกายได้ เนื่องจากไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

โซตัส


[หน้าหลัก][หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]