ปีที่ 2 ฉบับที่ 832 ประจำวันเสาร์ที่ 23 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
วิสัยทัศน์ของรัฐมนตรี มุมมองจากกรณีปัญหาธรรมกาย
กรณีวัดพระธรรมกาย ร้อนแรงขึ้นมาทุกขณะ โดยเฉพาะคดีทางโลก เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี กับบรรดาศิษย์ธรรมกายหลายคนด้วยกัน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่คดีทางธรรม หรือทางสงฆ์นั้น ก็ได้มีความพยายามของกรมการศาสนา รื้อกระบวนการนิคหกรรมขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง
ขอทุกฝ่ายอย่าได้วิตกกังวลจนเกินไปเลยครับ
เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามกฎระเบียบ กระบวนการยุติธรรม ทั้งทางโลกและทางธรรม ยังแข็งแกร่งอยู่ สามารถที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีต่อพระธัมมชโย และพระทัตตชีโวได้
หากใจเรามั่นคงในธรรมะของพระพุทธเจ้า ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายไปด้วยดี
ที่สำคัญต้องเชื่อในหลักของกฎแห่งกรรม ทั้งอดีตชาติ ปัจจุบัน และอนาคต
กรณีธรรมกาย ไม่ว่าจะจบลงเช่นไร พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ ก็บอบช้ำมากแล้ว
คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ก็ถูกเข้าไปก้าวก่าย โดยฆราวาส อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
สื่อมวลชนก็นำพระเถระในมหาเถรสมาคมมาขาย จนเกิดความเสียหายอย่างหนัก
คำว่า "อุ้ม" ช่วยเหลือ เห็นแก่ลาภสักการะ เงินทอง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบ และมักปรากฏกันในวงข้าราชการ หรือสามัญชนคนธรรมดา
กลับมีการนำเข้าไปก่นด่า พระเถระกันก็คราวนี้เอง
สมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือสมเด็จเกี่ยว อุปเสโน ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธาน แทนสมเด็จพระสังฆราช เพื่อพิจารณากรณีธรรมกาย ถูกสื่อมวลชนและพระยังเติร์ก
จ้วงจาบท่านอย่าง ต่อเนื่อง และรุนแรง
โดยที่รัฐบาลเอง หรือรัฐมนตรีที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพิกเฉย กับภาพการณ์ที่เกิดขึ้น
ตรงข้ามกับพระธรรมปิฎก ที่เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับสูง ยันระดับล่าง เข้าไปกราบนมัสการท่านด้วยตัวเอง เช่นที่ผ่านมา คุณชวน หลีกภัย ก็ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น อย่างเห็นได้ชัด
สื่อมวลชน โดยเฉพาะรายการของ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ตามหาแก่นธรรม มีท่วงทีดำเนินรายการที่ร้อนแรง หากเป็นความเห็นของนักการเมือง ที่จะนำมาวิวาทะ
เรียกคะแนนจาก
ประชาชนก็คงจะพอสมเหตุผล
แต่ตามหาแก่นธรรมที่นิยมความรุนแรง จับพระมาให้ฆราวาสด่ากลางจอทีวี กลับดูเป็นภาพที่งดงามของรัฐบาล
เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไม่เคยวงเล็บว่า เรื่องใดเป็นเรื่องของสงฆ์ เรื่องใดเป็นเรื่องของนักการเมือง
หลายคนอาจเข้าใจว่า ภาพลักษณ์รายการตามหาแก่นธรรม ที่อ้างตัวอยู่ตลอดเวลาว่า ปกป้องพระพุทธศาสนา
แท้จริงแล้ว เป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา หรือทำลายพระพุทธศาสนาอย่างโง่งมกันแน่?
เกือบขวบปี ปัญหาวัดพระธรรมกาย ขยายวงกว้าง ฟาดงวงฟาดงา สถาบันสงฆ์เพียงใด รัฐบาลต้องอาศัยความจริงใจ ในการแก้ไขปัญหา
ผมไม่อยากเห็นภาพของคนที่เพิ่งได้เป็นรัฐมนตรีว่าการสมัยแรก แก้ไขปัญหาพระพุทธศาสนาตามกระแส พร้อมกับยึดพระบางรูปเป็นเสาหลักในการทำงาน
ปัญหาแทนที่จะจบลงโดยเร็ว กลับขยายเป็นความขัดแย้งในหมู่สงฆ์
เนี่ยแหละครับ ปัญญาของผู้ที่เพิ่งได้เป็นรัฐมนตรี ตามระบบการเมืองน้ำเน่า ที่มักคำนึงถึงแต่คำว่า "โค้วตา" สัดส่วนตัวเลขพรรคการเมือง
ดังนั้นผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกว่า จึงถูกข้ามหัวข้ามหางไปหมด การพัฒนาประเทศชาติจึงดำเนินไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ
วิสัยทัศน์ของคนเป็นรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำได้แค่เพียงยึดแนวทางของพระบางรูป มาแก้ไขปัญหาธรรมกาย เรื่องที่ควรจะจบ เรื่องที่ควรจะหาข้อยุติได้
เรื่องที่ ควร
จะเร่งดำเนินการหาบทลงโทษที่เหมาะ ที่ควรได้นานแล้ว ก็ยังเป็นปัญหาคาราคาซัง
ซ้ำยังจะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ๆ ให้กับสถาบันสงฆ์เข้าไปอีก
โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ที่พยายามผลักดัน กฎหมายหัวดำปกครองสงฆ์ ไม่ทราบว่ามีความรู้ความเข้าใจในหลักของพระพุทธศาสนาเพียงใด
เพราะเห็นที่ปรึกษาแต่ละองค์แล้ว ชาวพุทธที่รู้เช่นเห็นชาติ ก็พากันส่ายหน้า พระท่านก็ทราบว่า ที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการบางคน มีพฤติกรรมล้วงเงินจากย่ามพระ
ผมบอกได้เลยว่า ข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำ กำลังสับสน และมีวิธีการแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
โดยเฉพาะ 2 เรื่องใหญ่ คือ 1) เรื่องนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา และ 2) วิชชาธรรมกาย
หากผู้ที่เกี่ยวข้องบ้าจี้ตามพระบางรูปที่รัฐมนตรีสมองตีบบางคน ยึดเป็นแบบแผนในการทำงาน
ผมกล้าพูดเลยว่า นั่นเท่ากับเป็นการทำลายล้างพระพุทธศาสนา และสถาบันสงฆ์ในประเทศไทยที่ร้ายแรงที่สุด
โซตัส